“แย่มาก ทำเกินไปแล้ว เวลาที่ท่านพูดถึงฮวางแทจา หรือฮวังฮู เรารู้สึกว่าท่านกำลังขีดเส้นกันระหว่างเราอยู่ เรารู้สึกอึดอัดและกระวนกระวายใจ ท่านชอบพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับล้อเล่นอยู่ตลอดเวลา สรุปแล้วท่าน…”
“คิดอย่างไรใช่หรือไม่ขอรับ”
กโยซึลไม่สามารถพูดให้จบได้ พอได้ระบายอารมณ์ออกมาก็ได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควร นางเป็นพระชายาฮวางแทจาที่สุภาพเรียบร้อย และที่จริงแล้วตนก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อเขานั้นคืออะไร จนถึงตอนนี้การที่ได้พบเจอกับรูแฮ ก็พูดได้เพียงว่าเป็นการพบปะกันระหว่างเพื่อน แต่ถ้านางพูดประโยคนั้นให้จบทั้งสองอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็เป็นได้ แต่รูแฮหาได้รู้ว่ากโยซึลกำลังอดกลั้นที่จะไม่พูดคำนั้นออกมา
“ถ้ายูอึลจินเป็นฮวางแทจาก็คงจะดี”
ในที่สุดกโยซึลก็พูดความคิดที่เก็บมานานตั้งแต่คืนเข้าหอที่ถูกบีพาอันทอดทิ้งออกมา หยดน้ำตาหลั่งไหลออกมาจากดวกตาของนาง รอยยิ้มที่มักอยู่บนใบหน้าของรูแฮก็เริ่มหายไป เขาเดินโซเซเข้าไปหากโยซึล และคุกเข่าต่อหน้านาง
***
ณ ทางเข้าสวนหลังวังฝ่ายนอก แม่นมกำลังยืนรอกโยซึลอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ บางครั้งแม่นมก็ก้มๆ เงยๆ เหมือนกับดอกทานตะวัน ชะเง้อหน้ามองเข้าไปในประตูใหญ่นั้นเพื่อดูว่ากโยซึลจะออกมาเมื่อไร การรอเจ้านายเป็นงานอดิเรกของนางไปแล้ว
แม้ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่บนที่สูงจะดูเล็ก แต่แสงของมันก็ส่องกระจายไปทุกซอกทุกมุมทั่วโลก ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างไสวจนแยกไม่ออกว่ามันเป็นแสงสีขาว สีเหลือง หรือสีแดง แม่นมที่กำลังเงยหน้ามองดวงอาทิตย์อยู่นั้นได้ยินเสียงใครบางคนวิ่งเข้ามาหา นางจึงลดสายตาลง แต่ดวงตาที่จ้องมองดวงอาทิตย์ที่สว่างก็ทำให้นางเห็นจุดดำ ๆ เหมือนกับดวงอาทิตย์อยู่ในตาของตนจึงทำให้มองไม่เห็นว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเป็นใคร นางอึ้งไปชั่วขณะ และรีบก้มหัวลง
ต้องรู้ก่อนว่าเป็นใครถึงจะทำความเคารพได้เหมาะสม แต่ตอนนี้กลับหาได้รู้ไม่ เราจะทำอย่างไรดี
ในระหว่างที่แม่นมกำลังก้มหัวอยู่ด้วยความตกใจ เสียงฝีเท้านั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง
“เจ้าเป็นใคร”
“เพคะ หม่อมฉันคือแม่นมที่ติดตามพระชายาฮวางแทจา กโยซึล นามว่าจาโมเพคะ ตอนนี้พระชายาฮวางแทจาอยู่ในสวนหลังวังฝ่ายนอก หม่อมฉันกำลังรอพระองค์อยู่เพคะ”
“อย่างนั้นหรือ”
เสียงตอบรับที่ดูไม่ใส่ใจจางหายเข้าไปหลังประตูใหญ่พร้อมกับเสียงฝีเท้า แม่นมถอนหายใจและเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงเย็นยะเยือกแบบนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แม่นมลืมเลือนไปว่าตนเพิ่งมาอยู่ที่นี่ใหม่ จะไปได้อย่างไรที่ตนจะรู้จักเจ้านายในวังนี้
แม้ว่าสวนหลังวังฝ่ายนอกจะสร้างมาเพื่อรองรับทูตผู้แทนพระองค์กับคนที่ทำงานในพระราชวัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเชื้อพระวงศ์ก็มักจะมาเดินเล่นที่นี่กันเป็นประจำ และเนื่องจากสร้างมาเพื่อต้อนรับทูตต่างอาณาจักร ที่นี่จึงสร้างและตกแต่งอย่างหรูหราอลังการเพื่อให้คนที่มาได้เห็นความสง่างามของจักรวรรดิมกกุก จึงทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์เองก็ชอบมาเดินเล่นกันที่นี่ด้วย และที่ที่ถูกยกให้เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสวนนี้ก็คือเนินเล็กๆ กลางสวนที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่หนึ่งต้น ที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของโลกเลยก็ว่าได้ ท่ามกลางต้นไม้และดอกไม้หลากสีสันที่บานสะพรั่งอยู่ด้านล่างเนินเขานั้นมีต้นไม้สูงตระหง่านที่ดูไม่หวือหวาแต่โอ่อ่าสวยงามตั้งอยู่
และใต้ต้นไม้นั้นก็มีชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งยืนอยู่ พวกเขาคือกโยซึลและรูแฮนั่นเอง รูแฮคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ต่อหน้ากโยซึล ส่วนเข่าอีกข้างตั้งชันขึ้นและก้มหัวอยู่ ดูเหมือนเป็นการปฏิบัติต่อหน้าทหาร และก็ดูเหมือนกับชายหนุ่มที่ปฏิบัติต่อคนที่รัก
“ขออภัยขอรับ กระหม่อมล้อเล่นมากเกินไป จึงทำให้พระชายาฮวางแทจาไม่สบายใจ”
กโยซึลที่กำลังตกใจในการกระทำของรูแฮไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร นางกระพริบตาเล็กน้อยและวางมือลงบนศีรษระของรูแฮอย่างระมัดระวังและลังเลนิดๆ ผมของเขาช่างนุ่มนวลเหมือนกับรอยยิ้มนั่น กโยซึลที่กำลังแตะศีรษะของรูแฮอยู่พูดขึ้นมาว่า
“ยูอึลจิน…”
“โอ้โฮ ความสัมพันธ์ถึงขั้นเรียกกันเพียงชื่อแล้วงั้นหรือ”
อยู่ดีๆ เสียงของใครบางคนก็แทรกขึ้นมา
กโยซึลและรูแฮหันไปมองที่มาของเสียงนั้นด้วยท่าที่ตกใจ บีพาอันยืนอยู่บนเนินเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน รูแฮลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่หมองลง แล้วโค้งคำนับบีพาอันพร้อมกับพูดว่า
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันปีพันปี เข้าเฝ้าฮวางแทจาฝ่าพระบาท”
หากรูแฮเป็นเพียงข้ารับใช้ในวัง เขาเองก็จะต้องทำความเคารพต่อฮวางแทจาโดยการคุกเข่าเหมือนที่ทำต่อกโยซึลก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะว่ารูแฮคือองค์รัชทายาทอันดับที่สาม การโค้งคำนับนั้นจึงเป็นทั้งหมดที่เขาต้องทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ และเขาก็ไม่เคยบอกกโยซึลเลยว่าตนเป็นฮวางเซจา และเมื่อครู่เขาเพียงต้องการแกล้งกโยซึลโดยการคุกเข่าลงไปทำความเคารพเพียงเท่านั้น บีพาอันไม่มองรูแฮเลยสักนิด เขาเดินไปหากโยซึลอย่างมึนตึง
“ชายาไม่ทำถวายคำนับหรือ”
“อา ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันปีพันปี เข้าเฝ้า….”
กโยซึลยกมือขวามาวางที่หน้าอกของตน และกำลังจะย่อเข่าลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ แต่บีพาอันก็ยกมือมาขวางไว้
“ชายา ไม่รู้หรือว่าในมกกุกนั้นการเรียกชื่อกันโดยไม่เรียกนามสกุลมันหมายความว่าอย่างไร”
นี่เป็นน้ำเสียงที่เยือกเย็นที่สุดตั้งแต่ที่เคยได้ยินมา กโยซึลเริ่มรู้สึกว่าตัวของตนกำลังสั่นเครือ เมื่อเช้าที่ไม่ได้เจอหน้าบีพาอัน ตนนั้นรู้สึกเสียใจ ทว่าพอได้เจอหน้าเขาก็ไม่สามารถสบตาเขาได้ ทำไมชายผู้นี้ถึงได้น่ากลัวเช่นนี้กันนะ ทำไมตนถึงหวาดกลัวเขาเช่นนี้ กโยซึลค่อยๆ พูดด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก
“ไม่ทราบเพคะ”
หึ
บีพาอันยิ้มที่มุมปาก แม้กโยซึลจะตอบคำถามที่บีพาอันถามแต่นางก็ไม่เข้าใจในคำพูดของเขาเลย
ตนทำเช่นนั้นเมื่อไรกัน ตนไม่เคยเรียกใครเพียงแค่ชื่อแล้วไม่เรียกนามสกุลเลยสักครั้ง ปกติตนก็เรียกว่ายูอิลจินมาเสมอ แล้วบีพาอันก็พูดไขความสงสัยให้กโยซึล
“ถ้าเช่นนั้นแล้วใยไม่เอ่ยเรียกสกุลดันมกของยูอึลจินออกมาด้วย”
“…ว่าอย่างไรนะเพคะ?”
กโยซึลเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ดวงตากลมโตที่ขยายออกอย่างเต็มที่ของกโยซึลสบตากับดวงตาอันเยือกเย็นและแข็งทื่อของบีพาอัน นางรู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิดเพราะความเยือกเย็นนั้น แต่จะว่าไปแล้วยูอึลจินก็บอกด้วยตัวเองว่าเป็นเพียงเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง
แต่ทว่าสกุลนั้นคือ ‘ดันมก’ มิใช่ ‘ยู’
สายตาที่งุนงงสลายไปเมื่อบีพาอันส่ายหัว บีพาอันเดินไปหารูแฮที่ยังคงคุกเข่าอยู่ และแล้ว
เพียะ!
บีพาอันใช้มือตบหน้ารูแฮอย่างแรง