บทที่ 1824+1825

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1824 เกิดอะไรขึ้น?! เป็นใครกันที่กลั่นแกล้ง?!

ผ่านไปไม่กี่นาที ประตูสายรุ้งหลากสีบานหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศอีกครั้งหนึ่ง!

กู้ซีจิ่วดึงทั้งสองตัวมา “ไป!”

เมื่อกู้ซีจิ่วดึงทั้งสองตัวก้าวผ่านประตูสายรุ้งบานนั้นร่อนลงไปยังผืนดิน เธอก็โซซัดโซเซ!

เธอเหนื่อยล้าเกินไปแล้ว!

ในช่วงเวลาเกือบห้าวัน เธอแทบจะไม่ได้พักผ่อนสักเท่าใด ตอนท้ายยังต้องต่อสู้กับมังกรยักษ์ทั้งๆ ที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงเต็มที บัดนี้เรียกได้ว่าเธอกลายเป็นม้าตีนปลายแล้ว หลังจากร่อนลงพื้นดินก็แทบจะยืนไม่อยู่ เหงื่อเย็นวาบบนหน้าผากไหลผ่านขมับ…

เธอกลับไม่สนใจสิ่งใด กวาดตามองไปรอบด้านก่อน หมู่มวลพฤกษาอุดมสมบูรณ์ จันทราสว่างไสว บุปผารุกขชาติเหล่านั้นอาบแสงจันทร์ประหนึ่งหมอกเมฆา

ภูเขาเทียม ศิลายักษ์ ต้นไม้ใบหญ้า…

สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ได้แขวนม่านขาว…

หัวใจที่เต้นระรัวของเธอค่อยๆ สงบลง ตี้ฝูอีเป็นนายท่านของที่นี่ หากเขาดับขันธ์แล้ว ภายในตำหนักของเขาจะต้องประดับม่านขาวขึ้นทั่วทั้งสี่ทิศ…

ยามนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม หมายความว่าเขายังมีชีวิตอยู่กระมัง?!

ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน!

เนื่องจากเธอกลับมาในช่วงเวลาก่อนฟ้าสางพอดี สวนดอกไม้เงียบสงัดยิ่งนัก พวกสี่ทูตล้วนไม่อยู่

กู้ซีจิ่วไม่มีแม้แต่กำลังจะเคลื่อนย้ายในพริบตา เธอค้ำศิลาก้อนหนึ่งลงนั่ง มือที่สั่นเทาหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมาจากหน้าอกเพื่อติดต่อตี้ฝูอี…

เธอเก็บสมุนไพรมาให้เขาแล้ว! เขามีทางรอดแล้ว!

เธอต้องการให้เขามารับเธอ อุ้มเธอกลับไป เธอเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว และเธอก็คิดถึงอ้อมกอดของเขาแล้ว เธออยากบอกเขาว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนให้เขาเจ็บปวดหัวใจ…

เขาต้องเจ็บปวดหัวใจเป็นแน่…

นึกไม่ถึงทั้งๆ ที่เธอใช้คาถาเปิดยันต์ถ่ายทอดเสียง ทว่าครั้งนี้ยันต์ถ่ายทอดเสียงราวกับตายไปแล้ว ไม่แม้แต่จะเปล่งแสง

เกิดอะไรขึ้น?

หรือว่าตี้ฝูอีปิดยันต์ถ่ายทอดเสียงอีกแล้ว? เขาออกไปสถานที่เสี่ยงอันตรายอะไรอีกแล้วหรือ?

คงไม่ใช่กระมัง?! อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกห้าหกวัน เขาไม่ควรไปไหนมั่วซั่ว…

เธอต่อสายเจ็ดแปดครั้งติดต่อกัน ทว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากฝั่งนั้นเลย

บางทีเขาอาจจะนอนหลับไปแล้ว? อาจจะปิดยันต์ถ่ายทอดเสียงไปอย่างไม่ตั้งใจ…

เธอข่มอารมณ์ไว้ไม่ไหวแล้ว คร้านที่จะคาดเดาอีกต่อไป จึงตัดสินใจเคลื่อนย้ายพริบตาไปยังห้องนอนของตี้ฝูอีทันที

เธอเหน็ดเหนื่อยเกินไปจริงๆ เดิมทีเธอวางแผนจะเคลื่อนย้ายพริบตาเข้าไปด้านในห้องนอน ผลลัพธ์คือหยุดอยู่ด้านนอกของห้องนอนแทน…

เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ขณะที่กำลังจะเคลื่อนย้ายพริบตาเข้าไปอีกครั้ง เมื่อแหงนหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นป้ายของห้องนอนนั้น ฝีเท้าซวนเซเล็กน้อย!

ป้ายของห้องนอนนี้เขียนด้วยลายมือของตี้ฝูอี ชื่อว่า…ตำหนักจันทรามายา

อักษรสามตัวนั้นเขียนได้อย่างมีชีวิตชีวาและอิสระเสรี ดังหงส์ร่อนมังกรรำ สวยสดงดงามเป็นที่สุด

ตอนนั้นที่กู้ซีจิ่วเพิ่งมาถึงที่นี่ยังเพ่งพิศพิจารณาอักษรสามตัวนั้นอยู่พักใหญ่ ดังนั้นจึงตราตรึงอย่างลึกซึ้ง

ทว่าตอนนี้ อักษรสามตัวนั้นหายไปแล้ว!

มีเพียงป้ายจารที่ว่างเปล่าอยู่ตรงนั้น สีพื้นของป้ายเป็นสีทองอ่อน อักษรเป็นสีม่วง ยามนี้กลับกลายเป็นสีทองอ่อนทั้งแผ่น เสมือนไม่เคยมีใครเขียนอะไรไว้

เกิด…เกิดอะไรขึ้น?

เหตุใดตี้ฝูอีจึงลบอักษรบนป้ายจาร?

หัวใจของเธอพลันเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง มือและเท้าอ่อนยวบยาบ

ในสมองมีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น

เธอปฏิเสธที่จะคิดถึงเรื่องไม่ดีต่างๆ!

สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินเข้าห้องนอนไป จากนั้นก็เหม่อลอยอยู่ตรงนั้น

ห้องนอนยังคงเป็นห้องนอนนั้น ทว่าสิ่งของภายในกลับเปลี่ยนแปลงอย่างน่าประหลาดยิ่ง

ลวดลายวิหคบุปผาบนฉากกั้นที่เคยมีหายไปแล้ว…

ม่านเตียงที่เคยเป็นลายดอกเหมยน้ำหมึกกลายเป็นม่านเตียงสีเรียบ ลายดอกเหมยด้านบนหายไปแล้ว…

ตี้ฝูอีเป็นจิตรกรที่สง่างาม วาดภาพได้เยี่ยมยอด รูปวาดบนเครื่องเรือนในห้องนอนเขาล้วนเป็นเขาที่วาดมันขึ้นมา ทว่ายามนี้สิ่งที่เขาวาดไว้ทั้งหมดกลายเป็นความว่างเปล่า…

สมองของกู้ซีจิ่วก็เกือบว่างเปล่า ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าซีดเผือด มองดูตรงนี้แล้วมองดูตรงนั้น บ่นงึมงำว่า “เกิดอะไรขึ้น?! เป็นใครกันที่กลั่นแกล้ง?!”

——————————————————————–

บทที่ 1825 ท่านอยู่ที่ไหน

ตี้ฝูอี? ตี้ฝูอีเล่า?

เธอมองไปที่เตียง บนเตียงมีเพียงเครื่องนอนของเธอ ไม่มีแม้แต่เงาเครื่องนอนของเขา…

หรือกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตี้ฝูอีในที่แห่งนี้หายไปจนหมดสิ้น! เสมือนเขาไม่เคยอยู่ที่นี่

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!

ฝันร้ายหรือ?

นี่เธอกำลังฝันร้ายหรือ?

เธอหยิกหน้าขาตัวเองด้วยมือที่สั่นเทา เจ็บ! ไม่ใช่ความฝัน…

เธอรู้สึกเหมือนขาข้างหนึ่งก้าวสู่ขุมนรกที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ยืนทึมทื่ออยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง แล้วพุ่งตัวออกไป…

เธอกระวนกระวายจนสะดุดธรณีประตูเสียงดังโครมคราม

เสียงลมดังขึ้นจากที่ไกล คนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น เมื่อมองเห็นกู้ซีจิ่วที่ล้มคะมําอยู่บนพื้นก็ตกใจ รีบพรูลมหายใจคำนับต่อนาง “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว!”

หัวเข่าที่ล้มกระแทกพื้นของกู้ซีจิ่วเจ็บปวด ผิวหนังที่ฝ่ามือถลอกปอกเปิก เธอเงยหน้าขึ้นทันใด มองเห็นมู่เฟิงยืนอยู่เบื้องหน้า “เจ้า…เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไร?”

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไงขอรับ เทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นอะไรไป? อา ท่านได้รับบาดเจ็บแล้ว!” มู่เฟิงเดินเข้าไปหา ในมือถือยาสมานแผลอยู่

กู้ซีจิ่วไร้ซึ่งวาจา

เธอจ้องมองมู่เฟิงตาเขม็ง เกือบจะสงสัยว่าเขาเป็นคนอื่นปลอมตัวมา!

ทว่าใบหน้า สุ้มเสียง กิริยาท่าทางของเขา…ทั้งหมดทั้งมวลคือมู่เฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย

ฝ่ามือใต้แขนเสื้อของเธอสั่นเทาอย่างทนไม่ไหว เธอสูดลมหายใจเข้าลึก “มู่เฟิง ข้าถามเจ้า ตี้ฝูอีเล่า? เขาอยู่ที่ไหน?”

มู่เฟิงฉงนงงงวย “ตี้ฝูอี? ผู้ใดคือตี้ฝูอี?”

กู้ซีจิ่วเหมือนถูกสายฟ้าฟาดผ่า สีหน้าซีดเผือด กล่าวออกมาทีละคำ “มู่เฟิง เจ้าฟังให้ดี ข้าไม่มีกะใจจะล้อเล่นกับเจ้า! เขาอยู่ที่ไหน?! เขาออกกลอุบายอะไรอีก? เจ้าไปบอกเขาเดี๋ยวนี้ หากเขายังหลอกลวงข้าเช่นนี้อีก ข้าจะเกลียดเขาชั่วชีวิต! ไม่สิ ข้าจะเกลียดเขาทุกภพทุกชาติ!”

สีหน้ามู่เฟิงเต็มไปด้วยความงุนงง เขาเกาศีรษะเล็กน้อย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าน้อย…ข้าน้อยจะกล้าล้อเล่นกับท่านได้อย่างไร? ข้าน้อยไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้เลยขอรับ…”

กู้ซีจิ่วเดือดดาล “มู่เฟิง เจ้าล้อเล่นอะไร? เขาเป็นนายท่านของพวกเจ้า เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง! เจ้าอย่ามาล้อเล่นกับข้าเช่นนี้ ไม่ตลกเอาเสียเลย!”

เสียงนางแหลมเล็ก ระเบิดอารมณ์ในพริบตา มู่เฟิงหวาดกลัวจนตัวสั่น คุกเข่าลงไปตรงที่เดิมด้วยใจเต้นตึกตัก “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่าน…ท่านเห็นภาพลวงตาอะไรมาในเขตหวงห้ามใช่หรือไม่? นายท่านของพวกข้ามีเพียงท่านผู้เดียวมาตลอด ตี้ฝูอีผีสางอะไร? เขาจะเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงได้อย่างไร?”

เขาไม่วางใจ ยังหยิบโอสถพ่นออกมาจากหน้าอกหลอดหนึ่ง “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่คือยาสลายภาพลวงตา ท่านลองใช้พ่นดูสักหน่อย”

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน เธอถอยหลังติดต่อกันไปหลายก้าว

มือและเท้าของเธอเย็นวาบ สีหน้ามู่เฟิงไม่เหมือนเสแสร้ง คล้ายไม่เคยได้ยินชื่อตี้ฝูอีผู้นี้จริงๆ เขาเหมือนลืมเลือนตี้ฝูอีไปจนหมดสิ้นแล้ว…

เธอสูดลมหายใจเข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ในใจเหมือนคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว เพียงแต่ไม่กล้ายอมรับ ไม่กล้าเผชิญหน้า

เธอเหมือนคนจมน้ำที่พยายามไขว่คว้าหาที่พึ่งสุดท้ายอย่างสุดชีวิต ยืนทึมทื่ออยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก รีบหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของ กระดาษปึกนี้เป็นข้อมูลบางอย่างที่ตี้ฝูอีเขียนในช่วงหลายวันมานี้ ตอนนั้นกู้ซีจิ่วไม่อยากให้เขาเขียน จึงดึงปึกหนึ่งวางไว้ในช่องมิติเก็บของของตัวเอง…

บัดนี้เธอหยิบมันออกมาเพื่อใช้เป็นหลักฐาน “นี่เป็นข้อมูลบางวิชาที่เขาเขียน เจ้าดูสิ…” เธอพลันอึ้งงันเมื่อกล่าวถึงตรงนี้ จ้องมองกระดาษปึกนั้นตาเขม็ง ลมหายใจก็เกือบจะถูกสกัดเอาไว้

เดิมทีกระดาษปึกนี้เป็นตัวอักษรที่ตี้ฝูอีเขียนขึ้นมากับมือ ยามนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นกระดาษว่างเปล่า!

—————————–