ภาคที่ 5 บทที่ 47 นางปกป้องเอง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

“ฝ่าบาทหายไปแล้วได้อย่างไร!”

ไทเฮาที่ได้ข่าวเสด็จมาท่ามกลางขันทีและนางกำนัลทั้งหลายที่ห้อมล้อม

“อาจไปจัดการราชกิจแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ก็ท่าทางปลื้มปิติอยู่บ้าง

“ฝ่าบาทประชวรยังขยันขันแข็งเช่นนี้ เป็นโชคดีล้นพ้นท่ามกลางโชคไม่ดี”

ขุนนางใหญ่ทั้งหลายจะพูดอะไรคล้อยตามก็มีขันทีโซซัดโซเซวิ่งเข้ามาจากด้านนอก

“ในตำหนักฉินเจิ้งของถูกเก็บเกลี้ยงแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”

พวกเขาตะเบ็งเสียงตะโกน คุกเข่าดังตึกบนพื้น

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทหนีไปแล้ว…”

ในห้องบรรทมของฮ่องเต้เงียบกริบ คนทั้งหมดล้วนตะลึง

“ฝ่าบาทหนีไปได้อย่างไร!” ไทเฮาได้สติพลันตะโกนเสียงแหลมขึ้นมาคนแรก “ไปหาอีกที…”

เสียงของนางยังไม่ทันจบ ขันทีไม่กี่คนนั้นก็เงยศีรษะขึ้นอีกหน

“ไทเฮา ราชลัญจกรหยกหายไปแล้ว พวกองครักษ์เสื้อแพรก็หายไปแล้ว หยวนเป่ากงกงก็หายไปแล้ว คนในตำหนักขององค์ชายสามบอกว่าองค์ชายสามก็หายไปแล้วเช่นกัน…” พวกเขาร่ำไห้เอ่ย

นี่หมายความว่าอะไร ผู้คนในตำหนักล้วนเข้าใจแล้ว ในใจเย็นเยียบ

ไทเฮาพลันทรุดนั่งลงบนเก้าอี้

“หนีไปแล้ว?” นางเอ่ยขึ้น “พาองค์ชายสามหนีไปแล้ว ทิ้งข้าไว้…นี่เป็นไปได้อย่างไร…”

นั่นเป็นลูกชายของนางนะ ให้กำเนิดมาเองนะ

นางให้กำเนิดเขา เลี้ยงดูเขา แล้วยังประคองเขาขึ้นบัลลังก์

เขาถึงกับทิ้งนางหนีไปตอนที่กองทัพใหญ่ของชาวจินมาถึงหรือ?

ไม่ ไยแค่ทิ้งนางไว้ เขายังจงใจอีกด้วย เขาจงใจแล้วยังให้คนหลอกนาง บอกชัดเจนว่าวันพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมนาง

เขาไม่รู้หรือว่าหากชาวจินบุกเข้ามา คนเหล่านี้ในวังหลวงจะมีจุดจบอย่างไร?

นี่ไม่ใช่เขาทอดทิ้งนาง นี่คือเขามอบนางให้ชาวจินชัดๆ

นี่คือลูกชายของนางนะ นางคือมารดาแท้ๆ ของเขานะ!

ไทเฮาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้สีหน้านิ่งอึ้งไม่อยากเชื่อ รู้สึกเพียงความคิดอลหม่าน

เสียงพึมพำของนางยังไม่จบ ความคิดยังไม่ทันกระจ่าง พลันมีขันทีอายุมากกรีดร้องออกมาแล้ว

“ฝ่าบาทหนีไปแล้ว! ชาวจินจะบุกเข้ามาอีกหนแล้ว!”

คำว่าอีกคำนี้ ปลุกฝันร้ายอันไกลโพ้นของผู้คนในวังขึ้นมา

ความทรงจำที่เคยประสบเหตุการณ์วังหลวงถูกตีแตกชาวจินเหยียบย่ำทำลายประหนึ่งน้ำหลากพริบตาท่วมทับวังหลวงทั้งหมด

เสียกรีดร้องเสียงร่ำไห้โหยหวน ทั้งวังหลวงตกอยู่ในความโกลาหล ความโกลาหลและความหวาดกลัวนี่ติดตามผู้คนที่วิ่งหนีออกไปแพร่กระจายไปสู่ด้านนอก

……

……

ท้องนภาแสงเรืองๆ สว่างขึ้น ค่ำคืนถดถอยไป แสงสว่างอย่างไรก็ขับไล่ความหวาดกลัวทำให้หัวใจผู้คนเกิดกำลังได้เสมอ แต่เวลานี้แม่ทัพทั้งหลายที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองสีหน้ากลับไม่ดีขึ้นสักนิด ตรงกันข้ามกับซีดขาวไปหมด

ในเมืองเสียงเอะอะดังขึ้นอีกหน ผู้คนนับไม่ถ้วนแห่ไปยังประตูเมืองสี่ด้าน เทียบกับกลางราตรีเมื่อวานที่เห็นไม่ชัด เวลานี้นาทีนี้มองลงไปจากเบื้องสูงคลื่นมนุษย์ทำให้คนตกใจ

ที่ทำให้คนตกใจยิ่งกว่าก็คือถ้อยคำที่พวกเขาตะโกนออกมา

“ฮ่องเต้หนีไปแล้ว?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ หันหน้ามามองหนิงเหยียนข้างกาย “ใต้เท้าหนิง นี่เรื่องจริงหรือ?”

หนิงเหยียนไม่ใช่ขุนนางแล้ว ออกจากราชสำนักนานนักแล้ว แต่คนทั้งหมดล้วนยังคุ้นชินเรียกขานเขาเป็นใต้เท้า ยังถือคำพูดของเขาเป็นคำพูดทางการของทางการ

ริมฝีปากของหนิงเหยียนขยับ ชีวิตนี้เขาทำตามวิถีแห่งปราชญ์ กระทำการเปิดเผย ไม่มีคำพูดใดเอ่ยไม่ออก แต่นาทีนี้อ้าปากเอ่ยคำนี้ไม่ออกจริงๆ

เจ้าแผ่นดินที่พวกเขาเชื่อมั่น ปกป้อง ยามทัพข้าศึกประชิดเมือง แอบหนีไปเองแล้ว

หัวใจคนทลายแล้ว วุ่นวายแล้ว ฮ่องเต้ยังหนีไปแล้ว ทางการราชสำนักไม่มีสิ่งใดควรค่าเชื่อมั่นแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเขาที่ไม่ใช่ขุนนางคนนี้ ต่อให้ขุนนางมากกว่าเดิมก้าวออกมากล่อมปลอบประชาชนก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

เป็นตัวไร้ประโยชน์จริงๆ หนอ หนิงเหยียนอดไม่ได้แหงนหน้ามองฟ้าทอดถอนใจ

ต่อให้เจ้าจะหนีก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยสิ อย่างน้อยก็ไม่ให้คนค้นพบ หรือหารือกับขุนนางทั้งหลายดีๆ สักหน่อย หากสถานการณ์อันตรายจริงๆ แล้ว ไม่ต้องให้เจ้าพูด ขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็ย่อมขบคิดเพื่อบ้านเมือง กล่อมเจ้าลงใต้ กล่อมให้เจ้าหลบหนีแน่นอน เจ้าจะลอบหนีทำอะไรเล่า!

เป็นโคลนตมพยุงกำแพงไม่อยู่คนหนึ่งจริงๆ

ตอนนี้ทำอวดฉลาดเล่นไม้นี้ เดิมทีอันตรายที่ร่วมแรงร่วมใจข้ามพ้นได้ก็ถูกเขาทำลายหมดสิ้นแล้ว

ฝูงชนที่แห่แหนมาบีบเข้าใกล้ประตูเมือง ครั้งนี้ในนั้นไม่ใช่แค่ประชนชนธรรมดา ขุนนางไม่น้อยก็พาครอบครัวมาอยู่ในนั้นด้วย เทียบกับประชาชนพวกเขาดุร้ายยิ่งกว่า

คิดว่าเวลานี้ทางการราชสำนักคงวุ่นวายจนไม่มีคนสนใจแล้ว

ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าก็คือทหารองครักษ์ของเมืองหลวงก็ดี นายทหารรักษาเมืองก็ดี ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนเมืองหลวง ไม่ว่าลูกหลานผู้มีอำนาจหรือชาวบ้านที่เกิดโตจากบนดิน พวกเขาเห็นครอบครัวของตนเองวิ่งหนีอยู่ยังจะลงมือขวางได้หรือ?

หนิงเหยียนมองใต้ประตูเมือง มีคนไม่น้อยวิ่งมาใกล้ตรงหน้าแล้ว

นายประตูเมืองกับนายทหารกลุ่มหนึ่งด่าทอขัดขวาง เพียงแต่เทียบกับเมื่อคืนวานเรี่ยวแรงของพวกเขาอ่อนแอลงมากนัก ยิ่งมีคนถูกชาวบ้านที่บีบเข้าใกล้คว้าไว้

“เจ้าสาม เจ้ายังขวางทำอะไรอีก เจ้าไม่สนพ่อแม่เจ้าแล้วหรือ? อาของเจ้าฉวยโอกาสขนอาหารแห้งของบ้านเจ้าไปหมดแล้ว” ชาวบ้านคนนั้นตะโกน “รอพวกเขาแย่งรถไปได้ เจ้าคนเดียวจะแบกพ่อแม่เจ้าหนีหรือ?”

นายทหารคนนั้นได้ยินพลันหน้าซีด ทิ้งหอกยาวในมือวิ่งไปในเมือง

การขัดขวางหน้าประตูเมืองกลายเป็นหละหลวม อย่างไรผู้คนล้วนมีครอบครัวคนใกล้ชิดที่ห่วงใย

“รีบเปิดประตูเมือง ไม่หนีอีกจะไม่ทันแล้ว”

“ฮ่องเต้ยังหนีไปแล้ว พวกเจ้ายังโง่ขวางอะไร?”

คนยิ่งมากขึ้นทุกที เสียงตะโกนเสียงด่าทอก็ยิ่งมากขึ้นด้วย นายทหารที่เฝ้าประตูเมืองถอยหลังทีละก้าวๆ ราวไม้ที่ขวางชาวบ้านอยู่หน้าประตูเมืองถูกฝูงชนที่แห่มาผลักจนหงายล้มไปด้านข้าง เห็นฝูงชนกำลังจะพุ่งไปที่ประตูเมืองแล้ว

“ไม่ได้ เปิดประตูเมืองไม่ได้” หนิงเหยียนตวาดเสียงดัง โบกมือให้ชาวบ้านใต้กำแพงเมือง “ชาวจินเข้ามาใกล้แล้ว หากเปิดประตูเมือง ถึงเวลาปิดไม่ทัน หรือถูกสายลับชาวจินปะปนเข้ามา ถ้าเช่นนั้นเมืองหลวงก็จบสิ้นแล้ว”

แต่ครั้งนี้ไม่มีคนฟังคำพูดของเขาอีกแล้ว

“ใต้เท้าหนิง เมืองหลวงจบสิ้นไปแล้ว!”

“ฮ่องเต้ก็หนีไปแล้ว!”

“พวกเจ้าคนหลอกลวงเหล่านี้! พวกเจ้าจะหลอกให้พวกเรารั้งอยู่ที่เมืองหลวงล่อชาวจินเข้าเมือง!”

“ทุกคนรีบหนีสิ!”

ใต้ประตูเมืองเสียงด่าเสียงตะโกนระงม

“เปิดประตูเมือง! เปิดประตูเมือง!”

เสียงโหวกเหวกยิ่งดังขึ้นทุกที คล้ายไม่อาจขวางได้

นายทหารทั้งหลายหน้าประตูเมืองถอยหลังทีละก้าวๆ ใกล้จะพังทลาย

ทันใดนั้นพลันมีเสียงกีบเท้าม้ารีบเร่งลอยมา พร้อมกับเสียงแส้หวดดังกังวาน

“ห้ามเปิดประตูเมือง!”

พร้อมกันนั้นก็มีเสียงสตรีตวาด

แวบแรกที่ได้ยินเสียงตะโกนนี้ ในสายตาของหนิงเหยียนก็ปรากฏเงาร่างสีแดงเพลิงร่างหนึ่ง แม้ยังมองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่มือที่กำแน่นอยู่ของเขาก็คลายออกอย่างไร้สาเหตุ

ถูกต้องแล้ว ในเมือง ยังมีนางอยู่

เสียงตะโกนห้ามนี้ทำให้ชาวบ้านทั้งหลายโกรธแค้นอย่างยิ่ง

“เจ้าเป็นใคร! เจ้ายุ่งได้รึ!” เสียงด่านับไม่ถ้วนดังขึ้นตาม ซัดสาดโถมใส่หน้า

แต่ผู้ที่มาไม่ได้หวาดกลัวเพราะเหตุนี้

“ข้าคือจวินจิ่วหลิง” คุณหนูจวินชักม้าอยู่ท่ามกลางฝูงชน สายตามองผู้คน “พวกเจ้าเชื่อข้าหรือไม่?”

จวินจิ่วหลิง

คุณหนูจวินนี่เอง

ชาวบ้านที่เดิมทีจะอ้าปากด่าลั่นต่อกลืนกลับไปโดยไม่รู้ตัว คนมากกว่าเดิมก็ล้วนมองมา

คุณหนูจวินไม่ลงจากม้า

“ข้าคือจวินจิ่วหลิง” นางเอ่ยอีกครั้ง “พวกเจ้าฟังข้า อย่าออกจากเมือง ไม่ต้องเปิดประตูเมือง อยู่ที่นี่”

“คุณหนูจวิน” มีชาวบ้านสีหน้าโศกเศร้าคับแค้นอ้าปาก “พวกเราอยู่ที่นี่แล้วยังทำอย่างไรได้อีก? ฮ่องเต้ยังหนีไปแล้ว ชาวจินจะบุกมาแล้ว พวกเราล้วนต้องตายแล้ว”

“พวกเจ้าจะไม่ตาย” คุณหนูจวินไม่รอเขาเอ่ยจบก็เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าอยู่ที่นี่จะไม่ตาย ถึงฮ่องเต้หนีไปแล้ว ชาวจินก็บุกเข้ามาไม่ได้ พวกเราล้วนจะไม่ตาย”

หน้าประตูเมืองจำนวนคนมากมาย เสียงเอะอะ แต่คุณหนูจวินไม่ได้ตะเบ็งเสียงตวาดเอ่ยวาจา เสียงของนางอ่อนโยนดั่งที่เป็นมาเสมอ ไม่รีบร้อนไม่ลนลาน เมื่อลอยเข้าไปในหูของชาวบ้านรอบด้านกลับทำให้คนรู้สึกสงบอย่างประหลาด

พวกเจ้าจะไม่ตาย ชาวจินก็ไม่มีทางบุกเข้ามาได้ นางพูดมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ แน่นอนเช่นนี้เชียว

ชาวบ้านทั้งหลายมองนาง ชั่วขณะตะลึงอยู่บ้าง

นางเอาความมั่นใจจากที่ไหนมารับประกันกับทุกคนเช่นนี้?

“ข้าคือจวินจิ่วหลิง พวกเจ้าจงเชื่อข้า” คุณหนูจวินมองผู้คนแล้วเอ่ยขึ้น “คำที่ข้าพูด ตลอดมาไม่เคยลวง”

นางคือจวินจิ่วหลิง คำที่นางเอ่ยตลอดมาไม่เคยลวง

นางคือจวินจิ่วหลิง คำที่นางเอ่ยตลอดมาไม่เคยลวง

นางบอกว่าฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดีรักษาโรคที่ไม่อาจรักษา โรงหมอจิ่งหลิงจึงสร้างชื่อที่เมืองหลวง

นางบอกว่าฝีดาษรักษาได้ ฝีดาษโรคร้ายเช่นนี้ยังถูกค้นพบยาดีมากดไว้ได้

ส่วนที่ว่าชาวจินบุกมาไม่ได้ นางเคยประมือกับชาวจินด้วยตนเอง เป็นนางที่แย่งประชาชนสามเมืองของแดนเหนือที่ตกอยู่ในมือของชาวจินจากการเจรจาสงบศึกคุ้มครองกลับมา เป็นนางนำทหารวิ่งไปยังดินแดนของชาวจินช่วยเฉิงกั๋วกงที่ตกอยู่ในวงล้อมออกมา

คุณงามความชอบเหล่านี้ไม่ใช่ของปลอม ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ราชสำนักป่าวประกาศ แต่ชาวบ้านเห็นด้วยตาตนเองเล่ากันปากต่อปาก

คุณหนูจวินหรือ

คุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงหรือ

คุณหนูจวินพลิกกายกระโดดลงจากม้า

“พวกเจ้าจงเชื่อข้า”

นางมองผู้คนรอบด้าน ก้าวทีละก้าวมาข้างหน้า

ชาวบ้านทั้งหลายถอยหลังหลีกทางให้ช้าๆ

“ข้าจะปกป้องเมืองไว้”

คุณหนูจวินเดินผ่านชาวบ้านที่หลีกทาง เดินไปยังประตูเมือง

“ข้าจะไม่ให้ชาวจินบุกเข้ามา”

นางเดินไปยังประตูเมือง ยืนอยู่ตรงหน้าราวไม้ที่ถูกพลิกล้ม

“ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าตาย พวกเราใครก็จะไม่ตายทั้งนั้น”

นางยืนอยู่ตรงหน้านายทหารรักษาเมืองทั้งหลายที่กำหอกยาวสีหน้าวิตกหวาดหวั่นแล้วหมุนตัวมองผู้คน

“ขอให้พวกเจ้าเชื่อข้า”

และในเวลาเดียวกันนี้ประตูเมืองสามแห่งที่เหลือก็กำลังมีคนต่างๆ กันไป ตัดผ่านฝูงชนห้ามปรามเสียงดัง

……

……

หน้าประตูเมืองทิศใต้ ฟางจิ่นซิ่วที่พุ่งเข้าไปท่ามกลางพนักงานทั้งหลายที่ห้อมล้อมวางป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงหนักๆ บนพื้นดินพิงด้านหน้าร่างไว้

“นางบอกว่าปกป้องเมืองไว้ได้แน่นอน” นางตวาดเสียงดัง ชี้ป้ายโรงหมอ “พวกเจ้าไม่ต้องเชื่อข้า พวกเจ้าจงเชื่อนาง! เรื่องทั้งหมดนางรับผิดชอบ!”

……

……

หน้าประตูเมืองตะวันตก เฉินชีความมั่นใจไม่พออยู่บ้าง ป้ายโรงหมอก็ถูกฟางจิ่นซิ่วเอาไปแล้ว เขาก็ไม่มีสิ่งใดให้คว้า ได้แต่ด้านหน้าเอาใบหน้าดวงนี้ของตนเองออกมา

“ข้า ข้าคือเฉินชีแห่งโรงหมอจิ่งหลิงไง” เขาเอ่ย “พวกเจ้าฟังข้า…”

พูดถึงตรงนี้ก็เห็นแววตาประหลาดของชาวบ้านตรงหน้า เขากลืนน้ำลายคำแล้วคำเล่าอีกหน ยื่นมือถือขวดกระเบื้องขวดหนึ่งขึ้นมา

“พวกเจ้าดู นี่คือยาลูกกลอนที่คุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงทำเองกับมือ นางบอกว่ายาเหล่านี้ได้ยาโรคหาย พวกเจ้าใครเคยกิน พูดสิว่าพูดคำไหนคำนั้นจริงหรือไม่?” เขาเอ่ยเสียงดัง

ชาวบ้านตรงหน้าส่ายศีรษะ

“ไม่เคยกิน” มีคนเอ่ยตอบเสียงดัง “ไม่มีเงินกิน”

เฉินชีสำลักแล้ว ใช่แล้ว ยาของโรงหมอจิ่วหลิงราคาพันตำลึงทอง ไม่ใช่ใครๆ จะมีเงินกินจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้า…” เขาติดอ่างอยู่บ้าง

“คุณหนูจวินอยู่หรือ?” ชาวบ้านตรงหน้าเอ่ยถามขัดเขา

เฉินชีพยักหน้า

“อยู่ นางไปประตูเมืองตะวันออกแล้ว” เขาเอ่ยเสียดัง

ชาวบ้านทั้งหลายวุ่นวายนิดหนึ่ง นี่ทำให้เฉินชีเคร่งเครียดอยูบ้าง หากคนเหล่านี้พุ่งเข้ามา ร่างกายนี่ของเขาคงขวางไม่อยู่ ถูกเหยียบแบนได้ทันที

“คุณหนูจวินบอกว่าปกป้องเมืองได้รึ?“

แต่ชาวบ้านไม่ได้แห่เข้ามา ตรงกันข้ามยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบ กลางฝูงชนเสียงตั้งคำถามดังขึ้น

เฉินชีกำขวดกระเบื้องในมือแน่น

“ได้!” เขาพยักหน้าหนักๆ

“คุณหนูจวินตัวคนเดียวจะทำได้อย่างไร” สตรีเฒ่านางหนึ่งเช็ดน้ำตาเอ่ยขึ้น

เฉินชีก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งมองสตรีเฒ่าคนนี้

“ไม่ ไม่ใช่คุณหนูจวินคนเดียว!” ดวงตาของเขาเปล่งประกายพลางตะโกน

ไม่ใช่คุณหนูจวินคนเดียว? ถ้าเช่นนั้นยังมีใครอีก?

……

หน้าประตูเมืองทิศเหนือ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยื่นมือปักธงผืนใหญ่ลงบนราวไม้ที่ถูกพลิกล้มอย่างหนักหน่วง

“ยังมีกองทหารชิงซานด้วย” เขายกมือชี้ธงผืนใหญ่ที่โบกสะบัดแล้วเอ่ยขึ้น