ตอนที่ 379 โอกาสยังมาไม่ถึง / ตอนที่ 380 แย่งอาหาร

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 379 โอกาสยังมาไม่ถึง

 

 

เมื่อฉินซื่อหลานถามจน จึงพูดกลบเกลื่อนอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเสี่ยวฝูเอ๋อร์นะ แต่วันนี้ได้ยินเขาบอกฉันแก่ก็อดเสียใจไม่ได้อะ”

 

 

“ชิ” เหยียนเค่อที่พูดไปตั้งเยอะก็รู้สึกเหนื่อย จึงนอนพิงหมอนอิงแล้วหลับตา

 

 

ฉินซื่อหลานก็ไม่ได้พูดออกมาสักคำจริงๆ ว่าเขาคิดอะไรเกินเลยกับเสี่ยวฝูเอ๋อร์ แต่ทุกประโยคทุกคำถามของเขาต่างก็เอ่ยออกมาเพราะเขานั้นคิดอะไรเกินเลยกับเสี่ยวฝูเอ๋อร์ไปแล้ว

 

 

“นี่ ทำไมนายถึงไม่ยอมรับว่าชอบซย่าเสี่ยวมั่วสักทีล่ะ” ฉินซื่อหลานบอกเล่าความทุกข์ใจของตนจบก็เริ่มจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง

 

 

เหยียนเค่อไม่อยากอธิบายให้คนอื่นฟัง ในเวลาแบบนี้เขาปกป้องดูแลซย่าเสี่ยวมั่วได้ไม่เต็มที่ ถ้าแสดงความรักใครชอบพอนี้ออกไปล่ะก็ เหยียนเฟิงก็อาจจะทำร้ายซย่าเสี่ยวมั่วได้ตลอดเวลา แล้วอีกอย่าง ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ได้ชอบเขาสักหน่อยนี่

 

 

“ตอบสิ” ฉินซื่อหลานเร่งเร้าอย่างนึกรำคาญ

 

 

เหยียนเค่อขมวดคิ้ว ดวงตาปิดสนิท

 

 

ฉินซื่อหลานเห็นเวลาในตอนนี้จากเครื่องปรับอากาศที่อยู่ด้านบน ก่อนจะนั่งบนพื้นต่อไปอย่างเอือมระอา นี่ยังไม่ถึงสามทุ่มเลย เหยียนเค่อหลับลงได้อย่างไรกันเนี่ย

 

 

สวีอิ๋งอิ๋งหาเหยียนเฟิงไม่เจอแถมยังต้องเก็บงำความโกรธที่ได้รับมาจากบ้านตระกูลเหยียนมาอีก ดื่มจนเมามายแล้วจึงโทรไปหาเหยียนเค่ออย่างบ้าคลั่ง พอโดนตัดสายก็ตวาดด่าโทรศัพท์เสียงดัง สุดท้ายก็นอนฟุบไปกับโต๊ะ

 

 

เหยียนเค่อได้รับโทรศัพท์จากสวีอิ๋งอิ๋งก็ยังสงสัยว่าเธอไปโดนกระตุ้นอะไรมาหรือเปล่า แต่เขาหาได้สนใจไม่ เขาไม่ได้ว่างถึงขนาดไม่มีอะไรทำเสียหน่อย ไม่สนใจไยดีว่าสวีอิ๋งอิ๋งจะเป็นหรือตายเลยสักนิด

 

 

บางคนมึนเมาราวกับอยู่ในโลกแห่งความฝัน ส่วนบางคนก็มีชีวิตที่งดงามเหมือนกับได้ฝันหวาน เดิมทีก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว ถึงจะเกี่ยวข้องกันก็เข้ากันไม่ได้อยู่ดี

 

 

ส่วนเสี่ยวฝูเอ๋อร์กำลังนั่งดูซีรีส์เป็นเพื่อนซย่าเสี่ยวมั่ว ยังไม่ถึงห้าทุ่ม ซย่าเสี่ยวมั่วก็จัดการอาหารที่เหลือของตัวเองจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะนั่งดูเว็บซีรีส์อย่างอิ่มเอมใจ

 

 

เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวฝูเอ๋อร์เห็นเต็มตาว่าเข็มสั้นของนาฬิกาได้ผ่านพ้นเลขหนึ่งไปแล้ว จึงหันไปถาม

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่ว “พี่คะ ยังไม่ง่วงอีกเหรอ”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหน้า ก่อนจะกลับไปดูซีรีส์ต่ออย่างใจจดใจจ่อ

 

 

“พี่คะ พี่ทำแบบนี้มันไม่ดีต่อการขับสารพิษและบำรุงผิวพรรณนะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์อยากนอนเต็มทน

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วตบไหล่เธอ แต่ดวงตายังไม่ละจากหน้าจอ “เธอรีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ นอนบนเตียงฉันไปได้เลย”

 

 

เสี่ยวฝูเอ๋อร์เดินลากเท้าไปที่ขอบเตียง ต่อให้พรุ่งนี้ฉินซื่อหลานไปส่งเธอที่โรงเรียน เธอก็คงไม่เข้าเรียนหรอก ง่วงจะตายอยู่แล้ว!

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วดื่มกาแฟที่มีคนส่งมาให้คนเดียวจนหมด จึงดูต่อไปอย่างอิ่มเอมใจ

 

 

เมื่อซีรีส์เรื่องแรกจบก็ปาไปดึกมากแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วอ้าปากหาวยาวเหยียด เผลอนึกถึงคราวก่อนที่เธอกับเหยียนเค่อโต้รุ่งดูหนังด้วยกัน ตอนนั้นพวกเขาก็หลับไปโดยไม่รู้ตัวกันทั้งคู่

 

 

เธอหาวอีกครั้ง ห้ามความคิดเลอะเทอะของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะคลี่กางผ้าห่มผืนบางที่เสี่ยวฝูเอ๋อร์เอามาให้แล้วห่มให้ตัวเอง ทนนอนบนโซฟาแก้ขัดไปก่อน

 

 

เป็นอีกหนึ่งคืนที่เบลล์ไม่อยากนอน เธอไม่รู้ว่าระหว่างเธอกับเหยียนเฟิงนั้น นอกจากความสัมพันธ์ทางกายแล้วยังมีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก แต่ตอนนี้เขากลับกำลังนอนห่มผ้านิ่งๆ อยู่บนเตียงโดยไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น

 

 

“จะให้ฉันทรมานเธอตายก่อนใช่ไหม เธอถึงจะนอนได้น่ะ” เหยียนเฟิงรวบคนดื้อมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะพลิกให้เบลล์มาอยู่ใต้อาณัติของตน

 

 

เบลล์สบเข้ากับดวงตาล้ำลึกของเขาก็รีบเบนสายตาหลบ ก่อนจะรับปาก “ฉันไม่ขยับแล้วค่ะ จริงๆ”

 

 

เหยียนเฟิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งพลางรวบตัวเธอเข้ามากอด เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความอ่อนล้า “เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนเถอะ”

 

 

เบลล์ไม่พูดอะไรต่อ แกล้งหลับต่อไปเงียบๆ แต่สมองกลับตื่นตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอรู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจทั้งสองดวง และเสียงหายใจเข้าออกของเหยียนเฟิงได้อย่างชัดเจน

 

 

นี่มันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ยิ่งเงียบสงบมากเท่าไรก็จะเกิดเรื่องราวใหญ่โตมากขึ้นเท่านั้นไม่ใช่หรือ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 380 แย่งอาหาร

 

 

ปลายฤดูใบไม้ร่วงใกล้จะมาถึง เหยียนเค่อตื่นแต่เช้า เมื่อพลิกตัวเข่าก็ไปกระแทกกับของแข็งอย่างหนึ่ง ยังไม่ทันได้ลืมตาดูก็ได้ยินเสียงของสิ่งนั้นตกลงบนพื้น

 

 

เขาเปิดเปลือกตาช้าๆ ภาพในปรากฏสู่สายตาก็คือฉินซื่อหลานที่หล่นไปกองอยู่ที่พื้น

 

 

“ฮะ? ท่านอนใหม่เหรอนั่น” เขาพึมพำเสียงเบา ก่อนจะโยนผ้าห่มบนเตียงใส่ร่างของฉินซื่อหลาน ฉินซื่อหลานคว้าผ้าห่มไว้แน่น ก่อนจะหลับต่อไปบนพื้นห้อง

 

 

โชคดีที่เมื่อคืนเขาหนาวก็เลยเปิดแอร์ ไม่อย่างนั้นวันนี้ฉินซื่อหลานคงต้องมารักษาโรคให้ตัวเองแล้วล่ะ

 

 

เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วตื่นขึ้นก็มีผ้าห่มมาคลุมร่างไว้อีกชั้นหนึ่ง เสี่ยวฝูเอ๋อร์คนขยันวิ่งลงไปซื้ออาหารเช้ามาไว้ตั้งนานแล้ว

 

 

“พี่คะ พี่ยังเจ็บขาอยู่ไหม” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ดันอาหารของซย่าเสี่ยวมั่วไปไว้ตรงหน้า

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วคลุมผ้าห่มมองอาหารตรงหน้าของตน ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ทำไม ไม่อยากเห็นหน้าฉันแล้วเหรอ”

 

 

“เปล่านะคะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์รีบปฏิเสธ เธอก็แค่อยากถามอาการของคนป่วยก็เท่านั้น ไม่มีความหมายอื่น

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า “ก็คงหายแล้วมั้ง รู้สึกว่าตอนนี้ถ้าเดินก็ยังเจ็บนิดหน่อย แต่งอขายืดขาได้ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

 

 

“งั้นก็คงใกล้หายแล้วล่ะค่ะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์เอ่ยอย่างเสียดาย

 

 

“เหมือนเธอจะไม่อยากให้ฉันหายนะ ”ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินน้ำเสียงของเธอจึงเอ่ยหยอกล้อ

 

 

ความเศร้าของเสี่ยวฝูเอ๋อร์นั้นธรรมดามาก “ถ้าพี่หายแล้วพี่เหยียนก็คงไม่มาที่นี่แล้ว ฉันก็คงไม่ได้เจอพี่เหยียนอีก”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเลิกคิ้วแล้วมองเธออย่างประหลาดใจ “เหยียนเค่อมาหาฉินซื่อหลานเพราะว่างไม่มีอะไรทำไม่ใช่เหรอ เธอเจอเขาได้ตลอดเวลาแหละ”

 

 

“ซะที่ไหนล่ะคะ!” เสี่ยวฝูเอ๋อร์แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเธอไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริง “พี่เหยียนรำคาญเวลาเจอฉินซื่อหลานจะตาย”

 

 

ความจริงเหยียนเค่อรำคาญเสิ่นจิ้งเฉินเป็นที่สุด แต่หลังจากเมื่อคืนที่ฉินซื่อหลานเอาตัวข้ามาใกล้เขาไม่หยุดแล้ว คนที่เขารำคาญมากที่สุดตอนนี้ก็คือฉินซื่อหลาน

 

 

เสี่ยวฝูเอ๋อร์กำลังจะวิเคราะห์เรื่องนี้กับซย่าเสี่ยวมั่วต่อ ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกหลังจากเสียงเคาะประตูสามครั้ง

 

 

เหยียนเค่อยืนบังอยู่หน้าฉินซื่อหลาน เห็นว่ายายโง่อย่างซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ด้านในจึงเบี่ยงตัวหลบออกไปแล้วเดินเข้าไปด้านในห้อง

 

 

ฉินซื่อหลานผลักเหยียนเค่อออกอย่างหงุดหงิด ปากก็พึมพำไม่หยุด “ไม่ให้คนอื่นซย่าเสี่ยวมั่ว แล้วถ้าเสี่ยวฝูเอ๋อร์เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นายจะรับผิดชอบเหรอ”

 

 

เหยียนเค่อปรายตามองเขา “หุบปาก”

 

 

ฉินซื่อหลานหงุดหงิดในใจ จึงหันตัวเดินไปแย่งอาหารซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

“นายจะทำอะไร แย่งไปหน้าตาเฉยไม่พูดไม่จา!” ตอนแรกซย่าเสี่ยวมั่วยังนั่งกอดผ้าห่มมองพวกเขาเดินเข้ามาอยู่ แต่เมื่อโดนฉินซื่อหลานแย่งอาหารของเธอไปกินก็สะดุ้งตกใจ ยื่นมือออกไปกันไว้โดนไม่รู้ตัว แถมยังนั่งคุกเข่าลงบนโซฟาอีก เจ็บจนเธอตัวบิดเอียง ฉินซื่อหลานไม่เห็นถึงความผิดปกติอะไร เมื่อแย่งอาหารมาได้แล้วก็รีบปลีกตัวหลบ เหยียนเค่อทำหน้ารังเกียจท่าทางลำพองใจของคนถ่อยอย่างฉินซื่อหลาน จึงหันไปทางอื่นเพราะไม่อยากเห็นหน้าเขา เมื่อเหลือบไปมองซย่าเสี่ยวมั่วจึงรู้สึกว่าท่าทางของเธอดูแปลกไป

 

 

“เธอเป็นอะไรไป” ไม่กล้าขยับตัวเธอตามอำเภอใจ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

 

 

ตอนนี้ซย่าเสี่ยวมั่วนิ่งค้างอยู่ท่านั้น อยากขยับแต่ก็ไม่กล้า ได้ยินเสียงเหยียนเค่อก็ไม่สนแล้วว่าเสียงเขาจะฟังดูแย่แค่ไหน ก่อนจะทอดมองเหยียนเค่อด้วยแววตาน่าสงสาร “ฉันนั่งทับเข่าไปแล้ว…”

 

 

“พี่ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ก็ถามอย่างเอาใจใส่

 

 

ฉินซื่อหลานที่ทำให้เกิดความฉิบหายในครั้งนี้ไม่ได้รู้สึกละอายใจเลยสักนิด “ต้องกดทับสักหน่อย เป็นผลดีที่ทำให้แผลหายช้ำนะ”

 

 

เหยียนเค่อหยิบตะเกียบบนโต๊ะขว้างใส่เขาจนฉินซื่อหลานสะดุ้งตกใจแล้วรีบหลบ

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ซย่าเสี่ยวมั่วฝืนยิ้มให้เสี่ยวฝูเอ๋อร์ เจ็บจนวิญญาณจะออกจากร่างอยู่แล้ว เธอยิ้มได้ดูแย่เสียยิ่งกว่าตอนร้องไห้อีก

 

 

“สมน้ำหน้า ไม่เห็นต้องแย่งเลย จะไปแย่งทำไม” เหยียนเค่อปากพร่ำสั่งสอน แต่ก็ยังโน้มตัวลงไปให้เธอใช้แขนโอบรอบคอเขาไว้แล้วยกตัวเธอขึ้นมา

 

 

“อ่อ” ซย่าเสี่ยวมั่วแล่เนื้อฉินซื่อหลานในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง รีบกอดคอเหยียนเค่อไว้แล้วเคลื่อนย้ายตัวเองออกไปจากตรงนี้

 

 

เหยียนเค่อรู้สึกจากใจว่าซย่าเสี่ยวมั่วอ้วนขึ้นอีกแล้ว ไม่ถึงกับว่าอุ้มไม่ขึ้น เพียงแต่เมื่อก่อนสามารถอุ้มขึ้นได้อย่างสบายๆ แต่ตอนนี้รู้สึกได้ถึงความหนักได้อย่างชัดเจน