ตอนที่ 673 ปัญหาใหญ่

Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย

หลังจากเจียงเทียนชิงจากไป ชูฮันและกูเหลียงเฉินก็ใช้เวลาปรึกษาหารือกันเรื่องสถานการณ์ของค่ายเจียนอี๋ ชูฮันเองก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องที่เขาทำกับค่ายเจียนอี๋เลย กูเหลียงเฉินที่ได้ยินเรื่องราวกับตาโตอย่างตกใจจัด สติหลุดลอย ราวกับโดนชูฮันตบหน้า เรื่องที่หลูอี๋เจอมันเลวร้ายนัก!

 

ในเวลาเดียวกันกูเหลียงเฉินเองก็ได้เรียนรู้ถึงความกังวลของชูฮัน มันน่าจะหนักพอที่ชูฮันต้องวางกับดักเอาไว้ แม้ชูฮันจะไม่ได้พูดถึงบทสรุปแต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ความร้ายกาจของหลูอี๋จะถึงเสี้ยวของชูฮัน

 

ในขณะที่ปัญหาถูกชี้ออกมาให้เห็น กูเหลียงเฉินก็สังเกตได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ สถานการณ์ของค่ายเจียนอี๋ตอนนี้ดูเงียบสงบเกินไป แถมอารมณ์ของหลูอี๋ก็สงบเกินกว่าที่จะเป็นไปได้ แถมยังไม่มีการลงมือทำอะไรเลยสักนิด มันแปลกมาก มันไม่ถูกต้อง ถ้ามันมีอะไรสักอย่างเขาก็จะสามารถชี้แนวทางในการกระทำของอีกฝ่ายได้ แต่นี่มันไม่มีอะไรเลย

 

เพราะฉะนั้น หลูอี๋จะต้องมีแผนการลับบางอย่างแน่นอน!

 

แต่มันเป็นเพราะกูเหลียงเฉินก็ไม่ได้อยู่ตอนที่เกิดเรื่องที่ผ่านมา และกูเหลียงเฉินก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ชูฮันจึงทำได้แค่เชื่อใจและปล่อยให้กูเหลียงเฉินรับมือกับสถานการณ์ต่อไป มันเป็นการเดินหมากที่ไร้หนทาง เพราะชูฮันจะต้องไปเมืองหนานตู้เดี๋ยวนี้เขาไม่มีเวลาแล้ว

 

หลังจากจัดการวางแผนทุกอย่างเรียบร้อยแล้วซึ่งใช้เวลาสักพัก ตอนนี้มันก็มาถึงช่วงเวลาพลบค่ำ ซึ่งชูฮันพึ่งจะเดินออกมาจากห้องที่ปรึกษากับกูเหลียงเฉิน เขากำลังจะกลับไปที่ที่พักของเขา ทันใดนั้นชูฮันก็เหลือบเห็นบางอย่าง มันเป็นอาคารสองชั้น สภาพดูทรุดโทรม ซึ่งมันเป็นที่ที่เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงค่ายเขี้ยวหมาป่าให้ความสนใจพอสมควร มันคือศูนย์กลางควบคุมของค่ายนั่นเอง

 

ชูฮันยืนอยู่ด้านนอก ทั้งอาคารและในบริเวณนี้มืดสนิท แต่มันมีห้องหนึ่งที่มีแสงสว่าง

 

“หวังไค” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของชูฮันทำให้ขนหวังไคลุกพรึบ “หลูเหวินเฉิงมีกินเลี้ยงหม้อไฟที่บ้านพักของเขาเย็นนี้ แกไปขโมยมา”

 

“จริงดิ?” หวังไคประหลาดใจมาก มันค่อยๆถามช้าๆ “แกจะไม่ไป?”

 

“แล้วฉันจะขโมยมายังไง?” ชูฮันมองหน้าหวังไคด้วยสายตาว่างเปล่า “ฉันไม่รู้ว่าเปิดหม้อแล้วมาให้นายได้ยังไง?”

 

“เข้าใจแล้ว! ถ้างั้นฉันจะกลับไปนอน” หวังไคกระโดดออกมาจากกระเป๋าที่ซุกตัวอยู่ทันที มันหายไปในความมืดราวกับลมหมอก

 

ทันทีที่หวังไคจากไป ชูฮันก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาทันที เขากระโดดขึ้นไปบนทันที ค่อยๆมุ่งหน้าไปตรงจุดที่มีแสงส่องโดยไม่ส่งเสียงใดๆทั้งสิ้น แม้แต่ลมหายใจก็ยังแผ่วเบาโดยไม่มีใครจับเสียงได้แน่นอน

 

เพราะมันยังไม่ได้เข้าสู่ช่วงหน้าร้อน อุณหภูมิในช่วงกลางคืนจึงค่อนข้างเย็น ประตูหน้าต่างทั้งหลายถูกปิดสนิทเพื่อกันลมหนาวเข้ามา ในตอนนี้ชูฮันอยู่ที่ด้านนอกขอ

งหน้าต่าง สายตาจับจ้องเข้าไปด้านในตัวอาคาร

 

ที่นี้คือห้องทำงานของซางจิ่วตี้…

 

ในเวลานี้ ซางจิ่วตี้กำลังทำการคัดแยกข้อมูลประชากร 20,000 ของค่ายเขี้ยวหมาป่า มันเป็นงานที่ค่อนใหญ่ข้างและเยอะและเพราะว่าเกิดข้อมูลรั่วไหล เธอจึงต้องระวังขึ้นไปอีก เธอจำเป็นต้องจัดการกับข้อมูลเบื้องลึกของประชากรทุกคนในค่ายด้วยตัวเองจนถึงกลางดึกอย่างนี้เองคนเดียวโดยไม่ได้พัก

 

แสงภายในห้องทำงานของเธอนั้นไม่สว่างมากพอ แสงสีเหลืองสลัวๆสะท้อนให้เห็นภาพเงารูปร่างของซางจิ่วตี้ ผมยาวสลวยของเธอถูดมัดรวมเป็นมวยอยู่กลางศีรษะ เผยให้เห็นลำคอหงส์และผิวขาวเนียน แก้มที่มีสีแดงปรั่งตลอดเพราะสุขภาพดี ตาที่ไม่โตมากหากหางตัวของเธอนั้นสร้างความเย้ายวนแก่ผู้ที่สบตากับเธอ ริมฝีปากฉ่ำแดง ขณะนี้เธอกำลังใจจดใจจ่อกับงานตรงหน้า ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นฟันสีขาวเรียงตัวสะอาดสะอ้าน

 

เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ ชูฮันก็ไม่ได้ที่จะใจเต้น ซางจิ่วตี้เย้ายวนเขาเหลือเกิน!

 

จากนั้นชูฮันก็เลื่อนสายตาลงต่ำ มันเป็นเพราะมือของซางจิ่วตี้ที่ขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาทำให้ไหล่เสื้อของเธอค่อยๆตกลง ลำคอของชูฮันแห้งผาก เขากลืนน้ำอึกอย่างฝืดคอ

 

อุณหภูมิในเดือนพฤษภาคมยังคงต่ำอยู่ อากาศข้างนอกก็เย็นจนต้องใส่เสื้อคลุม และเมื่อเสื้อคลุมของซางจิ่วตี้ตกลงไป ทำให้ชูฮันเห็นว่าวันนี้ซางจิ่วตี้ใส่…

 

แค่ก แค่ก!

 

ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าเค้าให้กับชูฮัน กลางดึกที่ไม่มีใครสักคน ซางจิ่วตี้ที่จัดการกับงานมากมายตรงหน้าคนเดียวท่ามกลางความมืด มันมีทั้งความสับสนและความตื่นเต้นผสมกัน อุณหภูมิในร่างของชูฮันเหมือนจู่ๆก็ปะทุขึ้นมา

 

ซางจิ่วตี้หลงใหลในตัวเขา และเขาเองก็สนใจในซางจิ่วตี้เช่นกัน เมื่อคนสองคนมีความรู้สึกเดียวกัน…

 

ในขณะที่ชูฮันกำลังจะลอบเข้าไปหาซางจิ่วตี้อย่างตื่นเต้น มันก็มีเสียงกระซิบดังขึ้น “พี่ชูฮัน ผมกลับมาแล้ว!”

 

เหมือนกับน้ำเย็นที่สาดเข้าหาของชูฮัน นี่มันเจียงเทียนชิงที่เขาส่งไปให้สืบข่าว?

 

หน้าของชูฮันเปลี่ยนดำมืดราวกับก้นหม้อ เจียงเทียนชิงกลับมาภายในเวลาไม่ถึงห้าชั่วโมง?

 

“เอ่อ…พี่ชูฮัน พี่มาทำอะไรที่นี่?” เจียงเทียนชิงไม่รู้ตัวเลยว่าได้ขัดจังหวะชูฮัน เขาถามชูฮันอย่างใสซื่อ

 

ดังนั้น ห้านาทีต่อมา…

 

เจีนงเทียนชิงที่หน้าปูดบวมช้ำนั่งลงเผชิญหน้ากันในบ้านร้างหลังหนึ่ง บรรยากาศทั้งอึดอัดและแปลกๆ

 

เจียงเทียนชิงสีหน้ามึนงง เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น หน้าที่ถูกชูฮันอัดก็บวมปูดขึ้นอย่างน่าเกลียด เอ่ยถามขึ้นอย่างเสียใจ “ผมเป็นพรสวรรค์ความเร็วระยะ 4 แน่นอนว่าผมใช้เวลาไม่นาน”

 

ชูฮันเหลือบตามอง “แล้วยังไง? เร็วดีนี่ เจออะไรที่ค่ายเจียนอี๋มั้ย?”

 

“เจอครับ” เจียงเทียนชิงตอบพร้อมวางจดหมายลง “พอพูดถึง มีคนส่งข่าวคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปหาหลูอี๋ ผมวิ่งไปและชิงจดหมายนี่มาจากคนคนนั้นมาและรีบกลับมาที่นี้ทันที ค่ายเจียนอี๋เป็นอย่างที่พี่คิด มันเป็นเพราะผมกลับมาเร็วเกินไป พี่เลยต้อนรับผมอย่างนี้เหรอ?”

 

ชูฮันพูดไม่ออก

 

หลังจากรับจดหมายมา ชูฮันก็เบิกตากว้าง เลิกคิ้วขึ้น สีหน้าจริงจัง

 

“พี่อยากจะเรียกกูเหลียงเฉินมามั้ย?” เจียงเทียนชิหดคอด้วยความกลัวว่าจะถูกชูฮันลากไปซ้อมที่มุมห้อง “ผมรับผิดชอบแค่หาข่าวเท่านั้น ผมไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”

 

ชูฮันถอนหายใจอย่างโล่งอก “ไปบอกให้กองกำลังใต้ดินที่ซ่อนตัวอยู่ในค่ายเจียนอี๋ของเหมิงชีเหว่ยเตรียมตัวให้พร้อม คอยดูการเคลื่อนไหวในค่ายให้ดี มันมีการส่งข่าวกันครั้งแรกมันก็ต้องมีครั้งต่อไป”

 

“ครับ” เจียงเทียนชิงรับคำสั่ง

 

“ไปเรียกกูเหลียงเฉินมา คืนนี้คงไม่ต้องนอนกันแล้ว” สีหน้าของชูฮันจริงจังอย่างมาก ในหัวของชูฮันตอนนี้กำลังคิดถึงมาตรการรองรับเต็มไปหมด เขาไม่คิดว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ขนาดนี้กับค่ายเจียนอี๋ นี่เป็นปัญหาใหญ่แล้ว!

 

ในเวลาเดียวกัน หวังไคที่กระโดดเข้าในที่พักของหลูเหวินเฉินก็กำลังสอดสายมอง ไหนล่ะหม้อไฟ?

 

ทันใดนั้นมันก็นึกบางอย่างขึ้นได้ มันเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่มืดสนิท สีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม…

 

ใครกันมันจะมากินหม้อไฟกลางดึกขนาดนี้? ชูฮัน นายหลอกฉันอีกแล้ว!