พอรถม้าออกจากวังหลวง ถาวจวินหลันก็ถอนใจเฮือกใหญ่ จากนั้นเมื่อคิดว่าอีกสองวันจะได้ไปสวนแล้วก็ยิ่งรอคอยและยินดีมากกว่าเคย
ด้วยกลัวว่าซวนเอ๋อร์จะขยับตัวไปมาจนกดทับแผลของหลี่เย่ ถาวจวินหลันจึงให้แม่นมโจวพาซวนเอ๋อร์และหมิงจูไปนั่งรถม้าอีกคันหนึ่ง
ภายในรถม้ามีเพียงนางและหลี่เย่ หลี่เย่ก็เริ่มอยู่ไม่สุข ด้วยตอนที่อยู่ในวังหลวง สามีภรรยาทั้งสองคนแยกห้องนอนมาโดยตลอด ดังนั้นแม้ว่าปกติแล้วจะอยู่ด้วยกันทั้งวัน แค่ความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันมากนัก
แน่นอนว่าหลี่เย่ก็ไม่กล้ากระโตกกระตากภายในรถม้ามาก เพียงแค่โอบถาวจวินหลันเอาไว้ ทั้งสองคนนั่งแนบชิดกันพูดคุยเรื่องส่วนตัวเท่านั้น มากไปกว่านั้นก็เป็นเพียงแค่การแอบหยิบแอบจับเล็กๆ น้อยๆ
ด้วยอยู่ภายในรถม้าที่เว้นจากแผ่นไม้ไปนั้นก็เป็นคนที่เดินตามท้องถนน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงรู้สึกเขินอายอย่างมาก ในความขวยเขินก็ยังแฝงความตื่นเต้นเล็กน้อย ความรู้สึกเหล่านี้ทับซ้อนกันไปมาทำให้นางหน้าแดงก่ำทันที บนหน้าผากก็มีเหงื่อซึมออกมา แต่ก็กลัวว่าจะทับบาดแผลของหลี่เย่เข้า จึงไม่กล้าขยับมั่วซั่ว
หลี่เย่มั่นใจในเรื่องนี้ ดังนั้นท่าทางจึงดูอาจหาญอยู่หลายส่วน แล้วยังกล้ากัดติ่งหูของถาวจวินหลันที่ใส่ต่างหูไข่มุกอยู่ด้วย
“อ๊า” ถาวจวินหลันร้องเสียงดังออกมาอย่างอดไม่ไหว และคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้จึงรีบหุบปาก คราวนี้นางไม่กล้าให้หลี่เย่ทำตามใจอีก จึงยืดแขนออกไปดันเขาเอาไว้ ปากก็เอ่ยโทษว่า “นี่อยู่บนถนนใหญ่อย่าเล่นอีกเลยเพคะ หากว่าคนอื่นได้ยินไปแล้วจะทำเช่นไร?”
หลี่เย่หัวเราะร้าย กดเสียงลงพูดข้างหูของนาง “กลัวอะไรหรือ? กลัวว่าใครจะเห็น? ขอแค่เจ้าไม่ส่งเสียงก็ไม่มีใครเห็นแล้ว” พอพูดจบก็บีบเอวของนางอย่างคิดแกล้ง
ถาวจวินหลันถูกลมหายใจร้อนของหลี่เย่รดใส่ก็รู้สึกว่าทั้งร่างร้อนรุ่มวิงเวียนขึ้นมา เลือดทั้งร่างกายเหมือนถูกดูดขึ้นไปที่ศีรษะ ใบหน้าแทบจะมีเลือดซึมออกมา อีกทั้งบริเวณอ่อนไวตรงเอวที่ถูกหลี่เย่บีบก็ยิ่งทำให้ทั้งร่างอ่อนยวบและจั๊กจี้ ทนไม่ไหวจนคิดอยากจะบิดตัวหนีออกไป
หลี่เย่ไฉนเลยจะยอมให้นางหลบเล่า? กลับโอบนางเอาไว้แน่นมากกว่าเดิม ไม่อนุญาตให้นางหนีไปอย่างบ้าอำนาจ
ถาวจวินหลันถูกเขาหยอกล้อจนแทบจะร้องไห้ออกมา “ทำไมท่านเป็นเช่นนี้…” องค์ชายรองที่เป็นดั่งเทพเซียนมาตลอดนั้น ยามนี้กลับเป็นเหมือนพวกอันธพาลอย่างไรอย่างนั้น น่าระอาเป็นที่ยิ่ง
“ข้าไม่ได้ทำเช่นนี้กับคนอื่นเสียหน่อย” หลี่เย่หัวเราะออกมาเสียงเบา “เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าทำกับเจ้าเช่นนี้หรือว่ามีอะไรไม่เหมาะสมกัน?”
พอถาวจวินหลันมองดูท่าทางพูดฉอดๆ อย่างคิดว่าตนเองมีเหตุผลและท่าทีน่าระอาของเขาแล้ว นางก็ยื่นมือไปหมายจะหยิกเขา “แต่นี่อยู่บนถนนใหญ่! ไม่ได้อยู่ภายในจวน กลางวันแสกๆ เช่นนี้…” ยื่นมือออกไป แต่สุดท้ายก็ทำใจหยิกไม่ลงจึงหดมือกลับไปอีกครั้ง
หลี่เย่ยิ้มร้ายออกมา น้ำเสียงเบาลงเรื่อยๆ และแฝงความเกี้ยวพาราสีเอาไว้ “เช่นนั้นกลับจวนไปก็ทำได้อย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันรู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่ใช่ความหมายนี้ แต่ก็กลัวว่าเขาจะทำเรื่องที่เยอะกว่านี้อีก จึงพยักหน้าอย่างเขินอายและไม่คิดถึงผลที่ตามมา
ที่จริงแล้วหลายวันมานี้หลี่เย่เบื่ออย่างยิ่ง ตอนแรกก็ยุ่งวุ่นวายเรื่องการแต่งงานของถาวจิ้งผิง แล้วยุ่งเรื่องการสืบสวน สุดท้ายก็ได้รับบาดเจ็บกะทันหัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้พอคิดแล้วกลับกินเวลาไปกว่าครึ่งเดือน ดังนั้นวันนี้บนรถม้าได้กลิ่นหอมอบอวลที่มาจากตัวของถาวจวินหลัน เขาถึงทำเรื่องเช่นนี้อย่างทนไม่ไหว
แต่ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนหรือผลลัพธ์หลี่เย่ก็แสดงออกว่าพอใจอย่างมาก อย่างน้อยได้อาหารเรียกน้ำย่อยจานนี้ก็พอให้หายอยากไปได้บ้าง แม้จะบอกว่าพอกินอาหารเรียกน้ำย่อยแล้ว ใจของเขาก็แทบจะอดทนต่อไม่ไหวก็ตามที
ตอนที่หลี่เย่คิดจะกลับไปเรือนเฉินเซียงเพื่อจัดการชายารองของตนเอง กลับได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายมาจากด้านนอก
นอกจากเสียงกีบม้าที่เร่งรีบแล้ว ยังมีคนส่งเสียงตะโกนให้ระวังเสียงดัง และยังมีคนกรีดร้อง เสียงทั้งหมดนี้ผสมผสานเข้าด้วยกันจนคนที่ได้ยินรู้สึกใจไม่ดี
หลี่เย่โอบถาวจวินหลันให้เข้ามาใกล้ตามสันชาตญาณ
ถาวจวินหลันยังไม่ทันได้สติว่าเกิดอะไรขึ้น พลันรู้สึกว่ารถม้าถูกชนเข้าอย่างแรงทีหนึ่ง ทั้งร่างของนางกระเด็นกระดอนไปตามแรงสั่นของรถม้าอย่างควบคุมไม่ได้
ที่โชคดีก็คือรถม้าล้มไปทางด้านถาวจวินหลัน ดังนั้นหลี่เย่จึงไม่เป็นอะไร มีเพียงถาวจวินหลันที่หลังและไหล่กระแทกเข้ากับผนังรถม้า ฉับพลันนั้นนางก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อน
แต่หลี่เย่ไม่ได้ถูกกระแทก นางกลับรู้สึกสบายใจ ไม่ได้รู้สึกว่าเจ็บปวดอะไร
เมื่อได้สติกลับคืนมา ถาวจวินหลันกำลังจะเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น รถม้ากลับเพิ่มความเร็วกะทันหัน ด้วยไม่ได้ตั้งรับไว้ก่อน ถาวจวินหลันและหลี่เย่จึงกระเด็นหงายหลังไป
ครั้งนี้ถาวจวินหลันและหลี่เย่ส่งเสียงร้องด้วยความจุกพร้อมกัน การกระแทกครั้งนี้แม้จะเบากว่าครั้งที่แล้ว แต่ท่าทางที่ทั้งสองคนกระแทกนั้นไม่ถูกต้อง ต่างก็กระแทกถูกไหล่และมือ
ข้อมือของหลี่เย่ยังมีบาดแผล แม้ว่าตอนนี้บาดแผลจะสมานตัวเข้าหากันแล้ว แต่ก็ยังรับการกระแทกที่รุนแรงเช่นนี้ไม่ไหว ฉับพลันนั้นหลี่เย่ก็รู้สึกเจ็บบาดแผล แล้วความชื้นอุ่นๆ กระแสหนึ่งก็ทำให้เสื้อผ้าเปียก เขารู้ดีว่าแผลเปิดแล้ว
ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ไหล่ทั้งสองข้างถูกกระแทก รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปหมด
หลี่เย่ไม่ถามสถานการณ์ของถาวจวินหลัน เขาก็ใช้มือข้างหนึ่งโอบป้องกันถาวจวินหลันไว้ด้วยสีหน้าดำคล้ำ “คิดว่าม้าที่ลากรถคงตกใจ” ด้วยแรงกระแทกที่รุนแรง ม้าของพวกเขาจะตกใจก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ปกติแล้วม้าที่ตื่นตกใจจะออกแรงวิ่งเต็มกำลังอยู่ครู่หนึ่งถึงสงบลงได้ แต่ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่บนถนนที่คนพลุกพล่านมากที่สุด ม้าวิ่งเช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำให้คนได้รับบาดเจ็บ รถม้าเองก็ชนเข้ากับของอย่างอื่นง่ายมากขึ้นเลย พูดแค่ว่าม้าจะรู้สึกตื่นตกใจอยู่ตลอดจนไม่สามารถสงบลงได้เองดีกว่า
ดังนั้นถึงพูดว่าสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก
ถาวจวินหลันหน้าซีดเผือด ไม่รู้ว่าเพราะเจ็บหรือว่าตกใจ นางเองก็สังเกตเห็นว่าแผลตรงข้อศอกของหลี่เย่เริ่มมีเลือดไหลออกมา ไม่จำเป็นต้องพูดในใจก็ต้องรู้สึกเป็นกังวลอย่างไม่สามารถเทียบได้อยู่แล้วเป็นแน่
แต่ในใจของนางรู้ดีถึงสถานการณ์ที่หลี่เย่พูด จึงรีบส่งเสียงออกไปถามคนบังคับรถม้าที่อยู่ข้างนอกทันที “มีวิธีหยุดหรือไม่!”
ด้านนอกไม่มีเสียงตอบรับแม้แต่น้อย
ถาวจวินหลันคิดว่าคนบังคับรถม้าไม่ได้ยินจึงส่งเสียงถามอีกรอบ แต่กลับถูกหลี่เย่ดึงเอาไว้ ทำท่าบ่งบอกไม่ให้นางเอ่ยพูดอีก “ไม่ต้องถามแล้ว คนขับรถม้าคงจะไม่อยู่แล้ว”
ถาวจวินหลันตะลึงไป สถานการณ์ในตอนนี้คนบังคับรถม้าไม่อยู่แล้วจะทำเช่นไร?
หลี่เย่กลับโซซัดโซเซจะลุกขึ้นออกไปนอกรถ ถาวจวินหลันรีบจับเขาเอาไว้ “นี่ท่านจะทำอะไร? ขาของท่านยังเจ็บอยู่เลยนะ!”
หลี่เย่หน้านิ่ง “ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้แล้ว หากไม่หยุด วันนี้พวกเราสองคนต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่เป็นแน่!” รถม้าเหวี่ยงโยนไปมาเช่นนี้ หากถูกเทออกไป หรือว่าไปกระแทกกับอะไรเข้า พวกเขาคงจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
แน่นอนว่าเป็นไปได้ว่าม้าที่ตกใจอาจจะไปเหยียบคนจนเสียชีวิต หรือว่าไปชนคนจนเสียชีวิตได้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใดก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดี อีกอย่างก็คือคงไม่สามารถปล่อยให้ม้าบ้าคลั่งวิ่งไปทั่วอยู่ตลอดได้ ที่นี่คือเมืองหลวง นี่เป็นถนนที่เจริญรุ่งเรือง คนพลุกพล่านมากที่สุด
“ข้าไปเอง ท่านนั่งอยู่นี่” ถาวจวินหลันดึงหลี่เย่เอาไว้แน่น ขัดขวางไม่ให้เขาออกไป
หลี่เย่นิ่งไป “เจ้าทำไม่ได้” รถม้าของพวกเขาใช้ม้าสองตัวและยังตกใจอยู่ ไม่มีทางที่ผู้หญิงบอบบางอย่างถาวจวินหลันสามารถบังคับได้ และยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ไม่แน่ว่าเมื่อคลานออกจากรถม้าไปก็อาจจะกระเด็นตกรถม้าไปได้ เขาจะปล่อยให้ถาวจวินหลันไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไรกัน?
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รออยู่ข้างในนี้” ถาวจวินหลันกัดฟันแน่น ตัดสินใจอย่างเห็นแก่ตัว “ไปชนคนอื่นพวกเราก็จ่ายค่าชดใช้ได้ เลี้ยงดูคนในครอบครัวแทนพวกเขาได้! แต่ท่านจะเป็นอะไรไปไม่ได้!”
หลี่เย่พูดอะไรไม่ออก มองดูท่าทีเด็ดเดี่ยวยึดมั่นของถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วก็พยักหน้า ก่อนใช้เท้าข้างที่ใช้งานได้ยันผนังรถม้าเอาไว้ พยายามไม่ให้ตนเองกระแทกเพราะว่ารถม้าที่เหวี่ยงไปมาอีก
ถาวจวินหลันกลับโอบเขาไว้ในอ้อมกอด เขาไม่สนใจมือข้างที่ได้รับบาดเจ็บ แผลเปิดเขาเพียงแค่รักษาให้ดีก็ได้แล้ว ขอแค่คนปลอดภัยก็เพียงพอ
ถาวจวินหลันจับของเพื่อยึดร่างตัวเองเอาไว้แม่นมั่น พยายามไม่ให้ตัวเองกระแทกหลี่เย่ แม้ว่าจะพยายามทำให้ตัวเองใจเย็น แต่ว่านางก็ยังหวาดกลัวมากอยู่ดี
“ขอแค่พวกเราไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว แม้ว่าคนบังคับรถม้าจะโดนหวี่ยงตกไป แต่ย่อมต้องหาวิธีไล่ตามมาได้แน่นอน” เพื่อเป็นการปลอบใจตนเอง ถาวจวินหลันจึงฝืนยิ้มให้หลี่เย่ แต่กลับไม่รู้ว่าใบหน้าที่ซีดเผือดของนางยามนี้ได้บ่งบอกความคิดในใจของตนไปหมดแล้ว
หลี่เย่กลับรู้สึกสงบนิ่งจริงๆ เขาพยักหน้า พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “อืม ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ตรงนี้”
แม้ว่าหลี่เย่จะเป็นคนป่วย แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เย่ที่ว่า “มีข้าอยู่ตรงนี้” แล้ว ถาวจวินหลันพลันวางใจไปไม่น้อย
หลี่เย่เม้มริมฝีปาก คิดอย่างเ**้ยมโหดว่า ไม่ว่าครั้งนี้จะเป็นเพราะอุบัติเหตุหรือมีคนตั้งใจ เขาก็ไม่มีทางออมมือเป็นแน่!
ความเป็นจริงแล้ว แม้สถานการณ์เคร่งเครียดเช่นนี้ หลี่เย่ก็คิดวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่าเรื่องวันนี้บังเอิญเกินไป แต่ที่จริงแล้วก็น่าแปลก เพราะว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่รถม้าของเขากำลังเดินทางผ่านทางนี้พอดี
ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนบังคับม้ากลับไม่อยู่ แม้จะบอกว่าดูจากสถานการณ์แล้ว น่าจะถูกกระแทกจนร่วงตกรถม้าไป แต่หลี่เย่กลับรู้สึกเหมือนคนบังคับรถม้าแกล้งทำเป็นโดนกระแทกหล่นลงไปเอง
อย่างไรวันนี้รถม้าที่มารับพวกเขากลับก็เป็นของวังหลวง ไม่ใช่ของจวนตวนอ๋อง หากเป็นคนขับของจวนตวนอ๋องเหล่านั้น หลี่เย่กลับมีความเชื่อใจเป็นอย่างมาก อย่างน้อยแรงกระแทกเช่นนี้ก็คงไม่ทำให้คนบังคับรถตกลงไปเป็นแน่
ดังนั้นหลังจากที่รวมหลายอย่างประกอบเข้าด้วยกัน ในใจของหลี่เย่ก็ยิ่งคิดว่ามีคนยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอันตรายไม่เหมาะที่จะเผยรอยยิ้มออกมา ก็เกรงว่าเขาคงจะอดยิ้มเย็นไม่ได้ เขาเพิ่งออกจากวังหลวงมาก็บังเอิญพบเรื่องเช่นนี้ ช่างน่าบังเอิญเสียจริง!
แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครที่อยากลงมือกับเขาอย่างอดรนทนไม่ไหวเช่นนี้?
และทางด้านฮ่องเต้ หากเสด็จพ่อที่เจ้าอารมณ์คนนั้นรู้เรื่องนี้เข้าจะโมโหมากเพียงใด?
ตอนที่รถเหวี่ยงไปมา หลี่เย่ก็คิดขึ้นได้ว่า ดูเหมือนว่าวันเวลาต่อจากนี้ไปคงไม่มีทางสงบเป็นแน่ คลื่นใต้น้ำพัดเข้ามาแล้ว ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ใหญ่บนผิวน้ำ! เห็นได้ชัดว่าเขาจะหลบก็คงไม่พ้น ได้แต่เผชิญหน้า!
กลัวอย่างนั้นหรือ? หลี่เย่พ่นลมหายใจออกมา สายตาเย็นเยียบ