ตอนที่ 390 ป่วยไข้ / ตอนที่ 391 ป่วยหนัก

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 390 ป่วยไข้ 

 

 

เป็นเพราะฮ่องเต้เรียกด่วนนางจึงไม่กล้าทำให้เสียเวลาจึงได้นำใต้เท้าเหอเดินไปยังตำหนักเจิ้งหยาง 

 

 

ฝนนี้ก็ช่างแกล้งคนนัก ตอนออกมาก็ไม่ตกหนักมาก แต่พอเดินไปได้ครึ่งทางก็เทลงมาห่าใหญ่จนทำให้เซียงฉือเปียกปอนไปทั้งตัว 

 

 

พอออกมาอีกครั้งจากกองราชเลขาฝนก็ซาลงอีก แต่ว่าครั้งนี้ตลอดทางได้ยินเพียงเสียงฝนพรำๆ หยาดฝนก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้น 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือกับเหอจิ่นเซ่อผ่านเข้าประตูตำหนักเจิ้งหยาง เซียงฉือได้กลิ่นไม้จันทน์หอมก็รู้ว่าหรงจิงที่ไม่ชอบความชื้นได้ใช้กลิ่นหอมแรงนี้มาไล่ไอชื้น 

 

 

นางยืนอยู่หน้าประตู บนร่างมีน้ำหยดลงเปาะแปะ นางจึงไม่เข้าไป เพียงยืนรายงานฮ่องเต้อยู่ด้านนอก 

 

 

“ฝ่าบาท ใต้เท้าเหอมาถึงแล้วเพคะ” 

 

 

เซียงฉือพูดจบ หรงจิงก็กวักมือโดยไม่ได้เงยหน้า เหอจิ่นเซ่อจึงเดินเข้าไป เซียงฉือเห็นดังนั้นจึงหมุนกายคิดจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า 

 

 

แต่หรงจิงก็เอ่ยปากขึ้นอีก 

 

 

“เซียงฉือ ไปนำรายงานพวกนั้นที่ข้าให้เจ้าดูเมื่อครู่มาให้ใต้เท้าเหอดู” 

 

 

เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็ไม่กล้าขัด รีบไปหามาให้ใต้เท้าเหอ เมื่อส่งถึงมือเหอจิ่นเซ่อแล้วจึงได้ออกไป 

 

 

แต่ร่างนางสั่นเทาราวกับสะท้านด้วยความเหน็บหนาว 

 

 

ฝนสารทฤดูตกแต่ละครั้งนำพาความหนาวมาเยือน ฝนสารทฤดูห่านี้ช่างหนาวเย็นจริงๆ ในห้องไม่มีอ่างอังไฟ ดังนั้นจึงเกิดไอเย็นห่อหุ้มขึ้นทั่วร่าง 

 

 

เซียงฉือกลับไปยังห้องของตนด้วยความหนาวสั่น นางผลัดเสื้อชุดเปียกออกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแห้งแล้วจึงเช็ดเส้นผม จากนั้นกลับไปตำหนักฉินเจิ้ง 

 

 

ใต้เท้าเหอดูรายงานพวกนั้นแล้วรายงาน หรงจิงพยักหน้า จากนั้นสั่งคนส่งเหอจิ่นเซ่อกลับไป 

 

 

เซียงฉือกลับไปนั่งคุกเข่าลงหน้าโต๊ะตนเองอีกครั้ง นางเขียนเอกสารต่อ แต่ละขีดแต่ละเส้นล้วนเขียนด้วยความตั้งใจ 

 

 

แต่ร่างกายนางเหน็บหนาว นางตัวสั่นเพราะทนไม่ไหวจึงทำให้หมึกในมือเลอะบนรายงาน นางตระหนกเล็กน้อย ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหมึกแล้วใช้น้ำเจือจาง 

 

 

ขณะนั้นหรงจิงเรียกนาง เซียงฉือจึงลุกขึ้นทันที 

 

 

แต่เบื้องหน้ากลับมืดมน ทรุดนั่งลงในที่เดิมดังพลั่ก นางรู้สึกมึนงงวิงเวียนศีรษะ ไม่มีเรี่ยวแรง 

 

 

หรงจิงตกใจ รีบเข้าไปดูว่านางเป็นอะไร และเรียกออกไปอย่างร้อนรน 

 

 

“เซียงฉือ เซียงฉือ?” 

 

 

เซียงฉือไม่ได้ขานรับ หรงจิงมองดูหน้าผากนางไม่เห็นบาดแผลที่ตรงไหน แต่เพียงมือสัมผัสก็ตกใจขึ้นทันใด 

 

 

“เด็กๆ ไปกองโอสถเรียกข้าราชสำนักสตรีมาตรวจรักษาเซียงฉือ เดี๋ยวนี้!” 

 

 

หรงจิงออกคำสั่งให้ขันทีไปตามข้าราชสำนักสตรีมาทำการรักษา 

 

 

เซียงฉือวิงเวียน เพียงรู้สึกว่าร่างกายบัดเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน ทรมานยิ่งนัก 

 

 

หรงจิงใช้มือแตะหน้าผากนาง รู้สึกถึงความร้อนบนหน้าผากนางรุนแรงยิ่ง เมื่อขันทีออกไปแล้ว เขารีบอุ้มนางเข้าไปทางด้านหลัง 

 

 

เซียงฉือป่วยแล้ว เป็นเพราะฝนห่านี้เช่นนั้นหรือ ไม่ใช่เสียทีเดียว ร่างกายของเซียงฉือตลอดมายังดีอยู่ แต่ระยะนี้นางทำงานหักโหมจริงๆ เหนื่อยทั้งจิตใจทั้งสมองล้าไปทั้งกายใจ 

 

 

ก่อนหน้านี้นางก็ได้รับข่าวร้ายจากทางบ้าน นางกล้ำกลืนความเสียใจไม่ปริปาก ได้แต่แอบหลั่งน้ำตา และเพราะจินกุ้ยเฟยรังแกกันเกินไป ถึงจะรู้สึกไม่ยินยอมพอใจ แต่ก็ได้เพียงอดทน อีกทั้งพอดีกับช่วงนี้เป็นเดือนแปดเดือนเก้า ดังนั้นจึงเกิดอาการอัดแน่นหน้าอก ไฟหลบแทรกอยู่ในร่างกาย และยังเพราะฝนห่าใหญ่ในครั้งนี้อีก จึงทำให้ป่วยหนักขึ้นมาอย่างแท้จริง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 391 ป่วยหนัก 

 

 

มีข้าราชสำนักสตรีอ่อนเยาว์หน้าตาพริ้มเพราจากกองโอสถมาคนหนึ่ง นางสวมชุดชาววังสีเหลืองอ่อน เมื่อทำการคารวะหรงจิงแล้วก็เดินไปข้างกายเซียงฉือทำการตรวจวินิจฉัยโรคแก่นางอย่างละเอียด 

 

 

นางชื่อสวีฝู เป็นข้าราชสำนักสตรีก่อนเซียงฉือรุ่นหนึ่ง เป็นขุนนางขั้นที่หกเช่นเดียวกับสวี่อี้ รับผิดชอบงานในกองโอสถ ถึงการแสดงออกของนางจะไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด นางได้รับงานด้านถวายยาเพราะมีหน้าตาหมดจด ผู้หลักผู้ใหญ่จึงให้ความสำคัญ ให้อยู่รับใช้ในตำหนักเจิ้งหยางตลอดมา 

 

 

นางรีบเร่งมาในครั้งนี้โดยไม่รู้ว่าผู้ป่วยก็คืออวิ๋นเซียงฉือซึ่งเป็นข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้า 

 

 

เซียงฉืออยู่ในสภาพมีไข้สูง สวีฝูมาถึงจัดแจงตรวจชีพจรให้นางก่อน เมื่อเห็นไข้สูงขนาดนั้น จึงเรียกนางกำนัลคนหนึ่งให้วางถุงน้ำแข็งแก่นาง จากนั้นเขียนใบสั่งยาส่งให้ข้าราชสำนักสตรีคนอื่นไปจัดยา 

 

 

เมื่อวินิจฉัยและจัดการเสร็จสิ้นจึงได้ออกไปรายงานเบื้องหน้าหรงจิง 

 

 

“ข้าราชสำนักขั้นที่หกจากกองโอสถสวีฝู ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” 

 

 

สวีฝูเข้ากองโอสถมาได้ห้าปีจัดเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในที่นั้น นางมาจากตระกูลขุนนางด้านยาและการรักษาโรค เมื่อมาศึกษาจึงไม่ต้องเหนื่อยยากมาก ตอนนี้เมื่อเห็นสีหน้าหรงจิงเต็มไปด้วยความกังวล จึงได้ก้าวช้าๆ เข้าไปย่อกายรายงาน 

 

 

หรงจิงเบื่อที่จะฟังคำพูดเกรงใจพวกนั้นจึงสะบัดมือแล้วเอ่ยปากถามขึ้นตรงๆ ว่า 

 

 

“เซียงฉือเป็นอะไร เหตุใดจู่ๆ จึงได้ป่วยหนักเช่นนี้ได้” 

 

 

หรงจิงมองดูนางกำนัลที่ดูแลเซียงฉือ เห็นนางเปลี่ยนน้ำเย็นอ่างแล้วอ่างเล่าก็ยิ่งกังวล เขาตำหนิตัวเอง เมื่อครู่เพิ่งได้ยินจากซูกงกงว่าข้างนอกฝนตกหนักมากและตอนนี้ก็ไม่ใช่ฤดูร้อนแต่เป็นฝนสารทฤดูที่นำความหนาวเย็น คิดไม่ถึงว่าจะทำให้นางล้มป่วยเช่นนี้ 

 

 

ใบหน้าเซียงฉือแดงก่ำแต่ร่างกายเย็น ความทรมานเป็นระลอกทำให้คิ้วของนางขมวดลึก 

 

 

สวีฝูได้ยินคำถามของหรงจิง จึงตอบอย่างนอบน้อมว่า 

 

 

“ทูลฝ่าบาท ระยะนี้เป็นเพราะใต้เท้าอวิ๋นมีความกังวลมากเกินไปจนความเครียดลงกระเพาะ และคิดว่าคงจะทานอาหารน้อยร่างกายผ่ายผอม พื้นสุขภาพก็ไม่ดีนักอยู่แล้ว และวันนี้ตากฝนเข้าอีกจึงทำให้ความหนาวเย็นเข้าสู่ร่างกายขณะที่ภายในร้อนระอุ จึงทำให้เป็นไข้ตัวร้อนเพคะ” 

 

 

“หม่อมฉันได้ใช้ยาต้มหมาหวงทังช่วยให้นางขับเหงื่อ ดื่มยาเพียงเทียบเดียวก็สามารถเห็นผลการรักษาแล้วเพคะ เมื่อพ้นจากอาการฉุกเฉินนี้แล้วค่อยๆ บำรุงรักษาก็จะหายดีเพคะ” 

 

 

พอนางพูดจบ ใจของหรงจิงจึงได้สบายขึ้น เขาอยู่ในวังมานานพอจะเข้าใจบรรดาข้าราชสำนักสตรีได้ดีในระดับหนึ่ง 

 

 

หากไม่ใช่เพราะมีความมั่นใจแน่แล้ว พวกนางจะไม่กล้าพูดออกมาสบายๆ เช่นนี้ 

 

 

ซึ่งทำให้จิตใจสงบลงได้อีกไม่น้อย เขากลับไปนั่งยังเก้าอี้ มองดูความวุ่นวายภายใน 

 

 

“ใต้เท้าสวีฝู หมาหวงทังต้มเสร็จแล้ว ไม่ทราบว่าจะป้อนใต้เท้าอวิ๋นได้เลยหรือไม่เจ้าคะ” 

 

 

นางกำนัลน้อยคนหนึ่งยกชามยาน้ำสีดำวิ่งเข้ามาข้างกายสวีฝูแล้วถามขึ้น สวีฝูตักหมาหวงทังขึ้นช้อนหนึ่งเบาๆ แล้วดมกลิ่น นางผงกศีรษะตอบว่า 

 

 

“ป้อนให้นางดื่ม แล้วห่มผ้าเพิ่มอีกชั้นด้วย” 

 

 

หมาหวงทังขับเหงื่อ นางได้ใส่ตัวยาแรงส่วนหนึ่งซึ่งนางคิดว่าเมื่อดื่มยานี้ลงไปแล้วจะช่วยให้ไข้หายได้ทันที ถึงเวลานั้นฝ่าบาทจะต้องมองนางด้วยสายตาอีกแบบหนึ่ง