ตอนที่ 128 ไทเฮา คือสตรีเจ้าชู้!

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

อันหว่านจือคิดจะกล่าวอะไรออกไป แต่เห็นองค์หญิงใหญ่สีพระพักตร์ไม่ดี อันหว่านจือย่อมรู้จักอ่านสีหน้าผู้อื่น ไม่ทันพูดอะไรก็กล้ำกลืนกลับลงไป 

 

 

นางอดที่จะหันไปมองดูซูกุ้ยเฟยไม่ได้ คาดหวังว่านางจะช่วยตนพูดจาสิ่งใดบ้าง แต่ไหนเลยจะคิดว่าซูเหม่ยกลับมีสีหน้าเย็นชา เดินมาถึงด้านหน้านาง ทันทีที่ยกมือขึ้นมา ก็ตบลงบนใบหน้าของอันหว่านจือ 

 

 

” เพี้ยะ! “ 

 

 

ตบเดียวนั้นเสียงกลับดังชัดเจน รุนแรงอย่างที่สุด เรียกว่าตบเพียงครั้งเดียวอันหว่านจือถึงกับลงไปกองกับพื้น ใบหน้าที่ปูดบวมนั้นหันกลับมามองดูซูกุ้ยเฟยอย่างไม่อาจเชื่อสายตาตนเอง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาดูอย่างพิจารณา 

 

 

นางเห็นซูกุ้ยเฟยยืนอยู่ด้านหน้าอันหว่านจือ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยโทสะ “ตบนี้ เพราะเจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไทเฮาแต่ไหนแต่ไรน้ำพระทัยดีมีเมตตา หญิงชาวป่าหยาบคายอย่างเจ้าไหนเลยคิดจะมารังแกได้กัน? “ 

 

 

อันหว่านจือพูดไม่ออกไปแล้ว นางเคยรังแกไทเฮาที่ไหนกัน? 

 

 

ยังมี…..ตลอดทางที่นางจะเข้าวังมา ล้วนแต่ได้ยินข่าวเล่าลือว่า ไทเฮาทรงเป็นนางมารทำร้ายชาติและประชาชน นิสัยโหดเ**้ยมฝีมือร้ายกาจ เพียงแต่ช่วงนี้พึ่งจะเปลี่ยนเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้าง ทำไมพอออกจากปากของซูกุ้ยเฟยถึงได้กลายเป็นนิสัยดีมีเมตตาไปแล้ว? 

 

 

นางยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ก็เห็นซูเหม่ยยกเท้าขึ้นกระทืบลงไปบนร่างของนาง “เท้านี้ ถือเป็นการสั่งสอนให้เจ้าเติบโต หากว่าเจ้ายังคิดจะอยู่ในวังต่อไป ก็ไปร่ำเรียนกิริยามารยาทให้ดี! “ 

 

 

ฝ่าเท้านี้ใช้ออกด้วยพละกำลังอย่างเต็มที่ กระทืบลงไปจนอันหว่านจือแทบจะจะกระอักเลือดออกมา 

 

 

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ตอนที่เดินทางเข้าวังมากับซูกุ้ยเฟย อีกฝ่ายมีนิสัยเปิดเผยอลุ่มอล่วย แต่พอมาเจอตู๋กูซิงหลัน นางกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน ราวกับระเบิดลูกหนึ่ง แตะต้องไม่ได้ ด่าว่าไม่ได้? 

 

 

งูของนางพวกนั้นก็ไม่ได้กัดโดนตู๋กูซิงหลันเสียหน่อยนี่? 

 

 

ในใจนางมีแต่โทสะไม่อาจระบาย ได้แต่กล้ำกลืนลงท้องไป รีบตอบคำว่า “กุ้ยเฟยสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วเพคะ หว่านจือสำนึกผิดแล้วเพคะ ต่อไปไม่กล้าอีกแล้ว “ 

 

 

อย่าได้ให้นางหาโอกาสได้เชียวนะ! ขอเพียงฝ่าบาทได้พบนางสักหลายครั้ง ใครจะได้เป็นนายหญิงของวังหลังก็ยังไม่แน่หรอก 

 

 

คราวนี้ สีหน้าของซูกุ้ยเฟยค่อยดีขึ้นบ้าง นางเดินมาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน ” อาหลัน ด้านนอกอากาศหนาว เจ้ารีบกลับเข้าตำหนักไปเถอะ “ 

 

 

นางพูดพลาง สายตาก็เปิดเผยความห่วงใยจนร้อนรนออกมา ” ข้าแค่ไปภูเขาจงหลิงมารอบหนึ่ง …….เจ้าทำไม ทำไมถึงได้ทำให้ตนเองมีสภาพเช่นนี้ไปได้ “ 

 

 

ว่าพลาง นางก็ดึงตัวตู๋กูซิงหลันมากอดเอาไว้ในอ้อมอก “อาหลัน วางใจเถอะนะ ข้ากลับมาแล้ว “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเคยชินแต่ลูบคลำเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น พออยู่ดีๆ กลับโดนนางมารทรงเสน่ห์ผู้หนึ่งจับกินบ้าง นางชักจะไม่คุ้ยเคยเท่าไหร่ 

 

 

บนร่างของซูเหม่ยมีกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ พอไม่ตั้งใจดมกลิ่นจะเข้มขึ้น แต่พอคิดจะดมอีกครั้งกลิ่นกลับเบาบางลงไป ราวกับดอกไม้ที่ผลิบานแล้วจะโรยรา เพียงพบเห็นก็สลายเป็นหมอกควัน 

 

 

กลิ่นเช่นนี้ …….สำหรับนางแล้ว กลับรู้สึกคุ้ยเคยยิ่งนัก 

 

 

แต่เมื่อได้พบคนงามที่สะสวยตั้งแต่หางคิ้วไปจนถึงโครงกระดูก น่าชมดูเสีนจนวิญญาณจะแทบหลุดลอย นางก็ตบไหล่ของกุ้ยเฟยเบาๆ จับมือของนางมากุมไว้ 

 

 

” พูดไปเรื่องช่างยาวนัก….เจ้าเข้าไปในตำหนักกับข้าเถอะ พวกเราจะได้ค่อยๆ พูดคุยกัน “ 

 

 

ซูเหม่ยรีบพยักหน้าติดๆ กันในทันที กล่าวอย่างยินดีว่า ” ดีเลย” 

 

 

ดวงตาของนางโค้งมน ยามแย้มยิ้มดุจปีศาจจิ้งจอกที่ทำให้จิตใจผู้คนหลุดลอย 

 

 

สายตาของอันหว่านจือถึงกับโง่งมไปแล้ว ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าดูประหลาดนัก 

 

 

องค์หญิงใหญ่เองก็ชะงักไปบ้าง นางไม่ค่อยทราบถึงเรื่องราวของตู๋กูซิงหลันเท่าใดนัก เพียงแต่เคยได้ยินมาว่า ก่อนจะเข้าวังมานั้น นางและซูกุ้ยเฟยมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมมาก 

 

 

คิดไม่ถึงว่าพอทั้งสองได้พบหน้ากัน ยังดูสนิทสนมเสียยิ่งกว่าพี่สาวน้องสาวแท้ๆ เสียอีก 

 

 

” อ๋อ จริงสิ กลับไปแล้วจำไว้ว่าให้ส่งขี้ผึ้งทาปากชุดหนึ่งมายังตำหนักเฟิ่งหมิงด้วย” ตู๋กูซิงหลันไม่ลืมหันหน้าไปสั่งอันหว่านจือ 

 

 

” เห็นแก่หน้าซูกุ้ยเฟย เรื่องในวันนี้เราจะไม่เอาความอีก หากไม่มีเรื่องใดแล้ว เจ้าก็ไสหัวไปเถอะ “ 

 

 

อันหว่านจือ “……..” 

 

 

นางยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ตอนออกจากเรือนไม่ได้ดูฤกษ์ดูยามแท้ๆ ไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ ทั้งยังจะต้องส่งมอบสีผึ้งชั้นดีให้กับนางอีกด้วย? 

 

 

นั่นนะเป็น…….ของที่ท่านย่าตั้งใจตระเตรียมให้ตนเองโดยเฉพาะ ที่ตนพูดกับนางนั้นเป็นเพียงวาจาประสาเกรงอกเกรงใจเท่านั้น นังตัวร้ายนี่ถึงกับจะเอาจริง? 

 

 

ของที่นางเองไม่มี กลับคิดจะมาลักเอาจากตน ไม่คิดจะรักษาหน้าตาบ้างหรือไร? 

 

 

” องค์หญิงกับซุ่นเอ๋อร์ก็เข้ามานั่งด้วยกันเถอะ ” ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ลืมองค์หญิงใหญ่และเด็กหญิงตัวน้อย 

 

 

ซุ่นเอ๋อร์แทบจะกระโดดบินตามไป มือน้อยๆ คว้านิ้วของนางเอาไว้แน่น จะให้นางจับจูงให้ได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน 

 

 

องค์หญิงใหญ่ได้แต่ส่ายพระพักตร์ เด็กน้อยซุ่นเอ๋อร์ ใครไม่รู้จะพาลคิดไปว่าตู๋กูซิงหลันคือมารดาแท้ๆ ของนาง นับตั้งแต่ที่ไทเฮาทรงช่วยชีวิตเอาไว้ ก็เอาแต่ร่ำร้องจะเข้าวังมาเล่นกับนางอยู่ตลอดเวลา 

 

 

เด็กน้อยผู้นี้ไม่เคยติดใจใครมาก่อน แต่ว่า กับไทเฮาแล้วไม่เหมือนกัน 

 

 

พออันหว่านจือพึ่งจะลุกขึ้นมาได้ ตู๋กูซิงหลัน กับซูกุ้ยเฟย และพวกองค์หญิงใหญ่ก็กำลังจะพากันเข้าไปในตำหนักเฟิ่งหมิงแล้ว 

 

 

แต่แล้วกลับเห็นหลี่กงกงรีบร้อนวิ่งเข้ามา ที่ด้านหลังของเขายังมีหยวนเฟยติดตามมาด้วย ท่ามกลางฤดูหนาวแท้ หยวนเฟยยังคงสวมชุดกระโปรงสีชมพูที่เปิดเผยเรียวแขนเรียวขา เพียงแต่ชายกระโปรงเพิ่มขนกระต่ายสีดำอยู่รอบๆ ซึ่งคงไม่ได้ช่วยเพิ่มความอบอุ่นในที่ใด 

 

 

หลี่กงกงมาถึงก็ได้เห็นภาพอันแสนงดงามที่ตู๋กูซิงหลันและซูกุ้ยเฟยจูงมือกันและกัน 

 

 

สวรรค์โปรดเถอะ ไทเฮาได้โปรดหยุดยั้งพลังเสน่ห์ของนางได้หรือไม่? ทำไมแม้แต่ซูกุ้ยเฟยที่พึ่งจะกลับเข้าวังมาก็ยัง…..ถูกดึงดูดไปด้วย? 

 

 

หยวนเฟยย่อมมองเห็นอย่างชัดเจน หว่างคิ้วของนางอดจะขมวดมุ่นไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไทเฮาชื่นชอบอิสตรี แต่พอมาเห็นนางจับจูงมือของผู้อื่นเข้าจริงๆ ความรู้สึกที่ได้มาเห็นภาพบาดตาเช่นนี้ช่างรุนแรงนัก 

 

 

ไทเฮา คือสตรีเจ้าชู้จริงๆ! 

 

 

ก่อนหน้านี้เอง ที่ประตูตำหนักเฟิ่งหมิงนี้ สถานที่เดียวกันแท้ๆ สตรีคนไหนที่แซ่ตู๋กูนามซิงหลันกล่าวเอาไว้ว่า จะคอยดูแลอยู่เคียงข้างนางไปตลอด? 

 

 

ดีนัก พอหมุนตัวไปก็รีบไปเกาะไหล่ลูบหลังพระสนมอื่น ตอนนี้ก็ถึงขนาดจับจูงมือกัน คิดจะพาคนเข้าตำหนักไปหรือ? 

 

 

งูเขียวบนท่อนแขนของนางก็กำลังแลบลิ้นส่งเสียงดังซี่ๆ ออกมาคล้ายจะเห็นด้วย 

 

 

หากว่าวันนี้ไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตนเอง นางคงไม่รู้ว่าไทเฮาจะเข้าชู้ถึงเพียงนี้! 

 

 

หลี่กงกงพยายามจะปรับอารมณ์ของทุกฝ่ายให้กลมเกลียวกันเข้าไว้ เขาถวายคำนับต่อผู้คนทั้งหลาย สุดท้ายค่อยหันมาทางซูกุ้ยเฟยทูลว่า ” พระสนมเอกพะยะคะ ฝ่าบาททรงเชิญท่านไปยังพระตำหนักตี้หัว “ 

 

 

ซูกุ้ยเฟยเหลือบตาดูสีท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง “ข้าไม่ได้พบไทเฮามานาน ค่ำนี้คิดจะอยู่ร่วมกับไทเฮาให้นานพูดคุยกันให้มาก 

 

 

ด้านฝ่าบาทนั้น…… ขอรบกวนกงกงช่วยข้าปฎิเสธกลับไปได้หรือไม่? “ 

 

 

หลี่กงกง “………” ในวังแห่งนี้ จะมีพระสนมคนไหนที่ไม่หวังให้ตนได้พบกับฝ่าบาทสักหลายๆ ครั้ง แต่ซูกุ้ยเฟยกลับตัดโอกาสไปเช่นนี้? 

 

 

” นี่….” หลี่กงกงแสนจะลำบากใจ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้บ่าว จะต้องเชิญพระสนมเอกไปยังพระตำหนักตี้หัวให้ได้……” 

 

 

เมื่อกล่าวออกไปแล้ว เขาก็ได้แต่หันไปมองทางตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาของความช่วยเหลือ ที่ผ่านมาไทเฮาน้อยล้วนเป็นดั่งพระโพธิ์สัตว์ที่ช่วยดับน้ำดับไฟให้กับเขา ครั้งนี้ นางก็จะยังช่วยเขาใช่หรือไม่? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ก็เห็นหยวนเฟยเดินมาถึงเบื้องหน้าคนทั้งสอง ดวงตาที่งดงามทรงเสน่ห์นั้นจดจ้องซูกุ้ยเฟย “ซูกุ้ยเฟยเพคะ ฝ่าบาททรงเป็นพระสวามีของท่าน ท่านจะมาเกาะติดไทเฮาทำไม พึ่งจะกลับเข้าวังมา ตามเหตุผลก็สมควรที่จะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทต่างหาก จะมาให้หลี่กงกงต้องลำบากใจเช่นนี้ ไม่สมควรกระมัง? “