ตอนที่ 689

Alchemy Emperor of the Divine Dao

หลิงฮันคิดอยู่ชั่วครู่หรึ่งและพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่อยากจะพาท่านไปก่อนเป็นอันดับแรก”

“โอ้ว ที่ไหนกันล่ะ?” เฟิงโป๋วหยุนหัวเราะ

“พี่ใหญ่ อย่าได้ต่อต้านสัมผัสสวรรค์ของข้า” หลิงฮันกล่าว เขาต้องการพาเฟิงโป๋วหยุนเข้าไปในหอคอยทมิฬ การเปิดสวรรค์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เขาไม่อาจพูดตรงนี้ได้

หลังจากที่เฟิงโป๋วหยุนพยักหน้า เขาก็ถูกพลังของหลิงฮันโอบล้อมเขา

พรึบ ทั้งสองคนปรากฏตัวอยู่ในหอคอยทมิฬ

“เกิดอะไรขึ้น?” เฟิงโป๋วหยุนแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา แม้เขาจะเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติก็ตาม นี่แสดงให้เห็นว่าเขาประหลาดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน เขามองทิวทัศน์รอบข้างและพูดว่า “ที่นี่คือที่ไหนกัน?”

“ช่องมิติจากอาวุธวิญญาณของข้า แต่สิ่งที่แตกต่างคือพื้นที่ของอาวุธวิญญาณชิ้นนี้ไม่เพียงแต่จะน่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังสามารถพาสิ่งมีชีวิตเข้ามาได้ด้วย” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“นั่นคือสมบัติที่แท้จริง” เฟิงโป๋วหยุนคิดและพยักหน้า

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแห่งความโลภออกมาแต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะเขาอยู่บนระดับสูงสุดแล้ว สำหรับเขาสมบัติชิ้นนี้สามารถทำให้ชีวิตของเขาสะดวกสบายมากขึ้นก็แค่นั้น

จากนั้น หลิงฮันพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าเองก็มีเรื่องบางอย่างที่สำคัญอย่างมากจะบอกท่านเช่นกัน มันสำคัญมากที่พูดได้แค่ที่นี่เท่านั้น”

เฟิงโป๋วหยุนรู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะรู้จักหลิงฮันได้ไม่นาน แต่เขาก็รู้จักนิสัยของหลิงฮันเป็นอย่างดี เรื่องที่เขาต้องการพูดมันจะต้องสำคัญมากอย่างแน่นอน

เขาพยักหน้าและเป็นฝ่ายพูดก่อนว่า “ในเหมืองโบราณของดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว ข้าพบเจอแมงมุมยักษ์สีเงินเข้า…ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลยแม้แต่น้อย”

หลิงฮันเคยสันนิษฐานว่าแมงมุมยักษ์สีเงินตัวนั้นน่าจะเทียบได้กับราชันซากศพสิบแปดตา เมื่อเฟิงโป๋วหยุนเป็นคนเปิดปากพูด มันทำให้เขายิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก แล้วเขาพูดว่า “แมงมุมยักษ์นั่นแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?”

“แข็งแกร่งมาก!” เฟิงโป๋วหยุนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนจุดสูงสุดของระดับทลายมิติแล้ว”

“หรือว่ามันจะเกินกว่าระดับทลายมิติไปแล้ว?” หลิงฮันถาม

“ไม่มีทาง!” เฟิงโป๋วหยุนมั่นใจมาก “ไม่เช่นนั้นมันคงจะถูกโลกปฏิเสธไปแล้ว มันเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแน่นอน และโลกใบนี้ไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกว่าระดับทลายมิติอาศัยอยู่”

“แล้วพี่ใหญ่ได้เข้าไปในส่วนลึกของเหมืองโบราณแล้วหรือยัง?” หลิงฮันถาม

สีหน้าของเฟิงโป๋วหยุนดูจริงจังมากยิ่งขึ้น เขาพูดว่า “เมื่อข้าได้ต่อสู้กับแมงมุมยักษ์ ข้าแอบลอบเข้าไปใต้ดิน ภายในหลุมนั่น ข้าเห็นหลุมฝังศพขนาดใหญ่มันน่าจะมีคนมากกว่าร้อยคนถูกฝังอยู่ที่นั่น”

ตอนแรกหลิงฮันรู้สึกตกตะลึง แต่ทันใดนั้นเขาพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาพูดว่า “ถ้าก่อนที่พวกเขาจะตาย พวกเขาแข็งแกร่งเทียบเท่ากับพี่ใหญ่ แต่หลังจากที่พวกเขาตายศพของพวกเขาควรจะกลายเป็นฝุ่นแล้วกลายเป็นธุลีมิใช่หรือ”

เฟิงโป๋วหยุนพยักหน้าและพูดว่า “มันเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดมาก แม้ว่าคนพวกนั้นจะตายไปแล้ว แต่ข้ายังสัมผัสได้ถึงพลังปราณ ราวกับว่าพวกเขายังไม่ตาย แต่พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวตใต้พิภพบางอย่าง ซึ่งแต่ละคนไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าข้าเลย”

“จากการคาดเดาของข้า มันน่าจะเป็นนิกายโบราณที่มีมาอย่างน้อยหนึ่งแสนปี”

นี่คือข้อสรุปจากจอมยุทธระดับทลายมิติ!

หลิงฮันไม่สงสัยแต่อย่างใด เขากลับตกตะลึงเสียมากกว่า สิ่งมีชีวิตใต้พิภพ? ผีดิบ? ทหารซากศพ?

แต่นั่นไม่มีทางเป็นทหารซากศพ ถ้าเป็นแบบนั้นเฟิงโป๋วหยุนคงจะพูดออกมาโดยตรงว่าเป็นทหารซากศพ

เห็นได้ชัดว่ามันมีความแตกต่างกัน เฟิงโป๋วหยุนพูดว่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพไม่ใช่ทหารซากศพ

“น้องสอง แล้วเจ้าล่ะอยากพูดเรื่องอะไรกับข้าล่ะ?” เฟิงโป๋วหยุนถาม

หลิงฮันคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องที่ข้าจะพูดคือเหตุผลที่ว่าทำไมพี่ใหญ่ไม่สามารถทะลวงผ่านระดับถัดไปได้และเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”

“หืม?” เฟิงโป๋วหยุนรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

หลิงฮันเริ่มเปิดปากพูดเกี่ยวกับแผนการของห้านิกายโบราณและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และพูดว่า “จอมยุทธระดับทลายมิติจะโปยบินเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มันควรจะมีจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่าผู้คนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะดักฆ่าคนที่จะเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”

“ห้านิกายโบราณจะไม่บินเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยตรง แต่ทุกหนึ่งหมื่นปี พวกมันจะเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผ่านเส้นทางพิเศษ”

เรื่องพวกนั้นมาจากความคิดเห็นของเขา

เฟิงโป๋วหยุนไม่รู้สึกแปลกใจ ทุกครั้งที่เขาจะทะลวงผ่านไปอีกระดับ เขารู้สึกเหมือนกับว่าหายนะครั้งใหญ่กำลังคืบคลานมาหาเขา ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกเย้ยหยันและพูดว่า “นิกายโบราณทั้งห้าช่างน่ารังเกียจยิ่งนักที่หลอกลวงผู้คนมาเป็นเวลานานนับไม่ถ้วน”

หลิงฮันพบปัญหาและพูดว่า “ทุกหนึ่งหมื่นปีทวีปเทียนฮงจะประสบกับความเสื่อมโสม แต่ห้านิกายโบราณน่าจะมีวิธีรักษาความรุ่งโรจน์เอาไว้ มิฉะนั้น จากรุ่นสู่รุ่น จอมยุทธระดับทลายมิติจะมีที่ไหนให้ไป?”

พวกเขาไม่สามารถบินได้และเส้นทางพิเศษจะเปิดเพียงแค่ครั้งเดียวในรอบหนึ่งหมื่นปีทำให้มีจอมยุทธและอัจฉริยะจำนวนมากในทวีปเทียนฮงถือกำเนิดขึ้น

เฟิงโป๋วหยุนกล่าว “ข้าเคยได้ยินมาว่ามีสมบัติบางอย่างที่สามารถผนึกพลังชีวิตได้คล้ายกับการจำศีล และจะคงสภาพไว้นานนับหมื่นปี”

พวกเขาทั้งสองคนมองหน้ากันไปมา หรือว่าตัวตนที่แข็งแกร่งของห้านิกายโบราณจะถูกผนึกด้วยวิธีนั้น และปลุกพวกเขาหลังจากผ่านไปหนึ่งหมื่นปี เพื่อช่วยเหลือพวกเขาปราบศัตรูที่แข็งแกร่ง แล้วเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์พร้อมกัน?

แล้วห้านิกายโบราณจะมีจอมยุทธระดับทลายมิติสักกี่คนกันในอีกหนึ่งหมื่นปีข้างหน้า?

ถ้าสามารถสร้างจอมยุทธระดับทลายมิติได้หนึ่งคนทุกห้าร้อยปี คงจะมียี่สิบคนในหนึ่งหมื่นปี และหนึ่งร้อยคนในห้าหมื่นปี!

มันน่ากลัวมาก ถ้ามีจอมยุทธระดับทลายมิติมากกว่าหนึ่งร้อยคน!

หลังจากที่ได้เห็นกองทัพของจักรวรรดิจันทราม่วง หลิงฮันคิดว่าหม่าต้าเป้ามีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฝ่ายชนะ แต่ตอนนี้เมื่อย้อนกลับไปคิดใหม่ ถ้าห้านิกายโบราณปลุกจอมยุทธระดับทลายมิติจากเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มสูงขึ้นเกินจะบรรยาย

“อย่างไรก็ตาม สมบัตินั่นจะต้องมีค่ามากอย่างแน่นอน แล้วพวกมันจะมีจำนวนมากได้อย่างไร?” หลิงฮันพยายามคิดในแง่ดี

เฟิงโป๋วหยุนส่ายหน้าและพูดว่า “หากห้านิกายโบราณมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกมันจะต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สมบัตินั่นอาจหาได้ยากสำหรับพวกเรา แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ บางทีมันอาจเป็นสมบัติทั่วไป”

หลิงฮันครุ่นคิดและพยักหน้าอย่างช้าๆ ถ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผู้คนจากห้านิกายโบราณจะยินยอมที่จะลงมาดินแดนเบื้องล่างไปทำไม? นั่นเท่ากับการฆ่าตัวตายมิใช่หรือ? สำหรับพวกเขามันคงเทียบได้กับการนอนหลับเป็นเวลานาน และเมื่อตื่นขึ้นก็จะกลับสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์

“มีเพียงแค่การเปิดสวรรค์เท่านั้น!” ทั้งสองคนกล่าว

แต่การเปิดสวรรค์…มันพูดง่ายกว่าลงมือทำ!

“พวกเราควรออกไปหาหม่าตั๋วเป้า!” ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกัน