บทที่ 1093 เฒ่าจัญไร รับความตายซะเถอะ! โดย Ink Stone_Fantasy
อาชามังกรที่อ้วนจนไม่เข้าท่า ฉินเวยเวยแน่ใจมากว่าตัวเองรู้จัก เดาว่าคงยากมากที่จะมีตัวที่สองในโลกนี้ ส่วนอาชามังกรที่ตัวเองรู้จักจะฉวยโอกาสขโมยเสื้อผ้าตอนคนอื่นอาบน้ำหรือไม่ นางก็ไม่มีทางรู้ได้แล้ว แต่นางรู้ว่าอาชามังกรอ้วนตัวนั้นเจ้าเล่ห์หน้าเนื้อใจเสือและขโมยของคนอื่นได้คือเรื่องจริง สัตว์พาหนะของนางก็โดนมันชนตายไปตัวหนึ่งเหมือนกัน
ดังนั้นฉินเวยเวยจึงมองประเมินเหมียวอี้ด้วยแววตาสงสัยอีกครั้ง ผู้ชายของตัวเองถึงแม้จะมีอนุภรรยาไม่น้อย แต่เหมือนจะไม่ใช่คนที่จะไปดูแอบดูผู้หญิงคนอื่นอาบน้ำได้นะ
“…” เหมียวอี้ทำสีหน้าประหลาดใจมาก เหมือนกับได้รับลูกกลมแพรปัก เรื่องที่เจ้าโจรอ้วนขโมยเสื้อผ้าพวกผู้หญิง เขาเองก็จดจำได้ตราตรึงใจเช่นกัน เขาเคอะเขินจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาเพรยงจำได้ว่ามีเรื่องแบบนั้น แต่รายละเอียดในตอนนั้นเขาจำไม่ได้แล้ว เพราะเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย
เขาถามเสียงอ่อนว่า “เจ้าเองก็อยู่ในกลุ่มผู้หญิงพวกนั้นเหรอ? ทำไมข้าจำไม่ได้ล่ะ?”
คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับ ฉินเวยเวยรู้สึกตกตะลึง ในประเพณีนิยมของสังคมนี้ ถ้าร่างกายอันบริสุทธิ์ถูกมองเห็นโดยผู้ชายคนอื่น ถ้าเป็นที่โลกมนุษย์ก็เกรงว่าจะเป็นการทำลายทั้งชีวิตของอีกฝ่ายแล้ว ยกตัวอย่างเช่นนาง แม้แต่เท้ายังไม่กล้าเผยให้ผู้ชายคนอื่นเห็น การแต่งตัวแบบเปิดเผยเหมือนอวิ๋นจือชิวในปีที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ นาเงองก็ทำไม่ได้เช่นกัน
“ผู้ที่สูงส่งอย่างท่านมักลืมง่าย จะมาจดจำตัวละครเล็กๆ อย่างข้าได้อย่างไร” ฟางซู่ซู่กล่าว
ทั้งได้รับลูกกลมแพรปัก ทั้งได้เห็นอีกฝ่ายอาบน้ำ เรื่องนี้ไม่มีทางแก้ตัวได้แล้ว เหมียวอี้ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้ามาแจ้งเตือนข่าวถึงที่นี่ อย่าบอกนะว่า…อยากจะให้ข้ารับผิดชอบเจ้า?”
“ข้าก็อยากจะให้เจ้าผิดชอบอยู่หรอกนะ แต่ข้าไม่ยอมเป็นอนุภรรยาหรอก เจ้าจัดการได้มั้ยล่ะ?” ฟางซู่ซู่ถาม
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ฉินเวยเวยก็เงียบเช่นกัน
ฟางซู่ซู่บอกอีกว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่มีเจตนาอื่น ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าตายเร็วเกินไป ข้าแค่อยากรอให้ถึงวันที่ข้าแข็แกร่งกว่าเจ้า แล้วค่อยถามเจ้าต่อหน้า เจ้าเองก็ไต่เต้าจากทหารเล็กๆ ขึ้นมาเหมือนกัน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาดูถูกข้าล่ะ!”
เหมียวอี้รีบร้อนโบกมือ “แม่นางฟาง อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกอะไรเจ้าเลยจริงๆ…”
เรือแล่นออกทะเลแล้ว เหมือนกับตอนที่มา แล่นกลับไปตามเส้นชายฝั่งทะเลอีกรอบ กานเจ๋อกวงที่ตามหลังอยู่บนฝั่ง เดิมทีเตรียมจะดำน้ำตามลงไป แต่ตอนนี้อยู่บนฝั่งทะเลแล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองก็สามารถเห็นเรือลำนั้นได้ ไม่ต้องทำอะไรยุ่งยากแบบนั้นแล้ว
เขาใช้สภาพทางภูมิศาสตร์อำพรางตัวตลอดทาง บางครั้งก็โผล่ศีรษะออกมาดูเงียบๆ แล้วก็สะกดรอยตามต่อไปเงียบๆ ในใจกำลังคิดว่าท่านอาจารย์จะส่งคนมาได้เมื่อไร แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประหลาด พอหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ก็เห็นอินทรีเทพของตัวเองลงมาจากฟ้า ที่มาด้วยกันยังมีชายหญิงคู่หนึ่งด้วย
หลังจากได้เห็นโฉมหน้าที่มีสง่าราศีไม่ธรรมดาของชายหญิงคู่นี้ชัดแล้ว กานเจ๋อกวงก็ตกใจมาก เขาอยู่ที่สำนักงามวิจิตรใช่ว่าจะไม่เคยเห็นทั้งสองมาก่อน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าปราชญ์เต๋ากับฮูหยินจะมาด้วยตัวเอง จึงรีบเข้าไปกุมหมัดคารวะ “กานเจ๋อกวงศิษย์สำนักงามวิจิตรคำนับท่านปราชญ์ คำนับฮูหยิน!”
เฟิงเป่ยเฉินจ้องเขาแวบหนึ่ง เหมือนเคยเห็นเขาที่สำนักงามวิจิตรจริงๆ จึงโบกมือแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “คนที่เจ้าสะกดรอยตามอยู่ที่ไหนแล้ว?”
กานเจ๋อกวงรีบร้อนวิ่งไปบนเนินไหล่เขาลูกเล็กอีกด้านหนึ่ง เผยร่างกายออกมาครึ่งเดียว แล้วก็ชี้ไปที่ผิวทะเล “อยู่บนเรือลำนั้นขอรับ”
เฟิงเป่ยเฉินไม่ได้มีท่าทีระมัดระวังตัวเหมือนโจร เขาถลันตัวไปยืนบนไหล่เขาโดยตรง แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปทางนั้น
ฉินซีเองก็ขึ้นไปและทอดสายตามองตามเขาโดยตรง
บนเรือใช่ว่าจะไม่มีการเตรียมป้องกันอะไรเลย หงเหมียน ลู่หลิ่วสลับกันควบคุมเรือและเฝ้าระแวดระวังตลอด ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้เรือโดยพลการ เมื่ออินทรีเทพตัวหนึ่งนำคนสองคนบินลงจากฟ้าไปเหยียบลงหลังเนินเขาชายลทะเลโดยไม่มีสิ่งใดกีดขวาง ก็ทำให้หงเหมียนเกิดความรู้สึกตื่นตัวทันที ถ้าทำขนาดนี้แล้วนางยังไม่สังเกตเห็น ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดแล้ว
นางจึงรีบเข้ามาในห้องโดยสารเรือ แล้วรายงานว่า “นายท่าน ตรงชายทะเลมีความผิดปกติเจ้าค่ะ อินทรีเทพตัวหนึ่งนำผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งมาแล้ว” นางไม่รู้จักเฟิงเป่ยเฉิน
“ท่าไม่ดีแล้ว!” ฟางซู่ซู่ร้องตกใจ “คนของแดนอู๋เลี่ยงคงจะมาถึงแล้ว สามารถตามทันภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้ได้ วรยุทธ์ต้องไม่ต่ำแน่ ต้องโทษที่ข้าพูดมากไป เจ้ารีบไปเถอะ พวกเจ้ารีบดำลงไปในทะเล ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันแล้ว”
ที่นางพูดถึงมูลเหตุและผลระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ที่นี่ ก็เป็นเพราะนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคนของแดนอู๋เลี่ยงบทจะมาก็มาเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะมีเวลาไม่พอ ใครจะคิดว่าเสียเวลาไปเล็กน้อยแค่นี้แล้วจะทำให้เกิดปัญหา
“ข้ากลับอยากจะเห็นว่าเป็นใคร!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วถลันตัวออกจากห้องโดยสารเรือ ยืนบนดาดฟ้าเรือแล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปยังเส้นชายทะเล
นอกจากฟางซู่ซู่ที่ไม่โผล่หน้าออกมา ฉินเวยเวยและคนอื่นๆ ก็ถลันตัวออกมาแล้วเช่นกัน
เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนไหล่เขาชายทะเลสบตากับเหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือแล้ว เฟิงเป่ยเฉินโค้งมุมปากยิ้มเย้ย
“เฟิงเป่ยเฉินกับฮูหยินมาด้วยตัวเองแล้ว!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ พวกฉินเวยเวยรวมทั้งฟางซู่ซู่ที่แอบอยู่ตรงประตูห้องโดยสารเรือตกใจมาก ฉินเวยเวยเคยเห็นฉินซีที่อยู่ข้างกายเฟิงเป่ยเฉินมาก่อน ฟางซู่ซู่รีบมองสำรวจด้านนอกผ่านรอยแง้มหน้าต่าง นางอยากจะเห็นสักหน่อยว่าเฟิงเป่ยเฉินกับฮูหยินหน้าตาเป็นอย่างไร
หลังจากฉินซีเห็นฉินเวยเวยอยู่ข้างกายเหมียวอี้ด้วยเหมือนกัน ดวงตางามก็เบิกกว้างขึ้นหลายเท่า ในดวงตาถึงขั้นฉายแววลุกลี้ลุกลุน ในที่สุดก็เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่เฟิงเป่ยเฉินมาที่นี่แล้ว
“เวยเวย พวกเจ้าดำทะเลหนีไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะประลองกับไอ้แก่เฟิงนี่สักหน่อย!” บนดาดฟ้าเรือ เหมียวอี้เอียงศีรษะกำชับ
ตอนนี้เขาไม่ค่อยจะกลัวเฟิงเป่ยเฉินเลยจริงๆ นักพรตบงกชทองขั้นห้าเขาก็ฆ่ามาแล้วไม่น้อย ประเด็นสำคัญคือวรยุทธ์ของเฟิงเป่ยเฉินก็เห็นๆ กันอยู่ ความเร็วสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ถ้าจะหนีตอนนี้ก็สายไปแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงหนีไม่พ้น ไม่สู้ให้ฉินเวยเวยหนีไปก่อนดีกว่า
ฟางซู่ซู่ที่หลบอยู่หลังประตูห้องโดยสารเรือสูดหายใจอย่างตกตะลึง จากคำพูดของเหมียวอี้ นางฟังออกถึงความมั่นใจ นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกล้าเผชิญหน้ารับการต่อสู้กับหนึ่งในหกปราชญ์ แบบนี้ต้องใช้ความมั่นใจมากขนาดไหนกัน นั่นหกปราชญ์เชียวนะ!
พวกฉินเวยเวยกลับเป็นกังวล “ท่านสามี นั่นคือเฟิงเป่ยเฉินนะ! พวกเราไปด้วยกันเถอะ!”
เหมียวอี้พลิกมือ เกราะรบปรากฏในมือ แล้วหมุนวนขึ้นมาครอบตัวในชั่วพริบตาเดียว เขาโบกมือเรียกทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือแล้ว “ตึง” กระทุ้งมวนลงบนดาดฟ้าเรือ “รีบไป! เจ้าพวกเจ้าไม่ไป ข้าลงมือได้ไม่เต็มที่!”
ฉินเวยเวยดึงแขนเขา ยังอยากจะโน้มน้าวเขา เขาหันขวับมพร้อมกับสายตาเย็นเยียบ “เวยเวย! เจ้าไม่เชื่อฟังแม้กระทั่งคำพูดของข้าเหรอ? รีบไป!”
ฉินเวยเวยอ้าปากค้าง ในแนวคิดทางศีลธรรมของนางมีข้อที่บอกว่า ‘สามีเป็นผู้นำ ภรรยาเป็นผู้ตาม’ เรื่องคัดค้านนางทำไม่ได้ ทำได้เพียงกัดริมฝีปากพาหงเหมียน ลู่หลิ่วที่กำลังกังวลไปที่ดาดฟ้าเรืออีกด้าน แล้วกระโดลงน้ำทะเลไป ส่วนฟางซู่ซู่ก็ถลันตัวไปโผล่ที่หน้าต่างของห้องอีกฝั่งแล้วกระโดลงทะเล ผู้หญิงทั้งสี่คนหายไปในทะเลแล้ว
เมื่อฉินซีที่อยู่บนไหล่เขาเห็นเหตุการณ์นี้ นางก็โล่งใจขึ้นบ้างเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววชื่นชม ในสายตานาง ภาพเหตุการณ์ที่เห็นก็คือเหมียวอี้ยอมเอาตัวเข้ามาเสี่ยงอันตรายเพื่อดักหลังเพราะจะปกป้องฉินเวยเวย ทำตัวสมกับเป็นลูกผู้ชาย พอเป็นแบบนี้นางกลับรู้สึกว่าการที่ฉินเวยเวยเป็นอนุภรรยาไม่ใช่เรื่องที่ไร้ความยุติธรรม
ส่วนเฟิงเป่ยเฉินก็จ้องเกราะรบผลึกแดงที่เหมือนหยกแดงบนตัวเหมียวอี้ด้วยดวงตาลุกวาว ส่วนความเป็นความตายของฉินเวยเวยไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ แต่อย่างมากก็มองออกว่าเหมียวอี้ค่อนข้างเป็นห่วงฉินเวยเวย ยอมทุ่มเทชีวิตเพื่อดักหลังให้
เดิมทีเขาก็เห็นว่าเหมียวอี้กล้าหาญแบบนี้อยู่แล้ว ยังกังวลอยู่เลยว่าในเรือจะมีลับลมคมในอย่างอื่น ตอนนี้พอเห็นพวกฉินเวยเวยหนีไปก่อนกลับทำให้สบายใจขึ้นไม่น้อย หันกลับมาบอกว่า “ฮูหยินรอสักครู่ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวแล้วจะกลับมา!”
สำหรับเขา การเอาชีวิตเหมียวอี้เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนกับข้าวจานเล็ก
ซวบ! ชั่วพริบตาเดียวเฟิงเป่ยเฉินก็เหาะไปอยู่บนฟ้าเหนือเรือโหลวฉวน พอสะบัดแขนเสื้อคลุมฝ่ามือลงข้างล่าง พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งก็ระเบิดฝ่าอากาศมาทันที
บึ้ม! เรือโหลวฉวนระเบิดพังกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปลิวว่อนทันที ผิวทะเลโดนกระแทกจนจมลงกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ คลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่งกลายเป็นระลอกคลื่นยักษ์กลิ้งไปรอบๆ
เหมียวอี้เท้าเหยียบกับความว่างเปล่า ตัวอยู่ท่ามกลางซากระเบิด ไม่ตื่นตระหนกตกใจ สีหน้าเรียบเฉย ถือทวนลอยอยู่กลางอากาศที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน เรือลำนั้นที่ระเบิดจนแหลกเหลวเหมือนยังอยู่ใต้เท้าเขาเหมือนเดิม
วรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าถึงแม้จะสูงกว่าเขา แต่ถ้าคิดว่าอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ในระยะห่างเท่านี้ แล้วจะทำอะไรนักพรตวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามอย่างเขาได้ นั่นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
เฟิงเป่ยเฉินที่อยู่บนฟ้าและกำลังมองต่ำลงมาเผยสีหน้าประหลาดใจสงสัยทันที วรยุทธ์ของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่เมื่อไร อย่าบอกนะว่าวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองแล้ว? หรือจะเป็นเกราะรบชุดนั้น แต่ก็ไม่เห็นว่าเกราะรบชุดนั้นจะเปล่งแสงแสดงอานุภาพการป้องกัน
วรยุทธ์ของใครบางคนมักจะอยู่ในสถานการณ์ที่ให้ใครเห็นไม่ได้ ส่วนใหญ่จะใช้โคลนซ่อนจิตปิดบังตลอด
ท่อนไม้ปลิวว่อนตกลงในหัวคลื่น เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วตะโกนเสียงดังก้องว่า “เฒ่าจัญไร รับความตายซะเถอะ!”
เหมียวอี้โบกทวนชี้เฟิงเป่ยเฉิน แล้วพุ่งขึ้นบนฟ้าอย่างดุดัน
ผิวทะเลที่จมลงอย่างกะทันหันพุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้ง เสาคลื่นพุ่งขึ้นฟ้าภายใต้พลังจิต ดันเหมียวอี้ขึ้นฟ้าราวกับเป็นมังกรขาวตัวหนึ่ง
สายตาเฟิงเป่ยเฉินกวาดมองเศษซากที่ระเบิดปลิวว่อนแวบหนึ่ง เมือ่ไม่เห็นยอดฝีมือคนอื่นซ่อนตัวอยู่ สายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ที่ถือทวนบุกเดี่ยวเข้ามา แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “ช่างไม่รู้จักความเป็นความตายจริงๆ!”
เฟิงเป่ยเฉินสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที แสดงท่าทางรับมือด้วยมือเปล่า
ชั่วพริบตาเดียวทั้งสองก็ชนปะทะกัน ภายใต้การกระทบกันของพลังอิทธิฤทธิ์สองฝ่าย เสาน้ำที่พุ่งขึ้นมาก็ระเบิดเป็นละอองน้ำทั่วท้องฟ้า
ท่ามกลางละอองน้ำที่ปลิวว่อนวุ่นวาย เหมียวอี้ตะโกนอย่างดุดันอีกครั้ง “ฆ่า!”
เฟิงเป่ยเฉินที่อยู่ท่ามกลางละอองน้ำที่น่าสับสนมึนงงไม่รู้สึกตระหนกตกใจ พอสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ก็กวาดละอองน้ำที่เป็นอุปสรรคออกไป แล้วยื่นมือไปคว้าทวนในมือเหมียวอี้โดยตรง
เหมียวอี้สะบัดทวนตามใจอีกฝ่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายคว้าไป แสงเย็นหลายดอกยิงระเบิดออกมา ตรงไปที่จุดสำคัญของเฟิงเป่ยเฉิน
ความเร็วในการออกทวนเหนือกว่าที่เฟิงเป่ยเฉินจินตนาการไว้ สำหรับเขาที่เคยประมือกับอวิ๋นอ้าวเทียนมาก่อน สิ่งนี้ค่อนข้างน่าขนลุก เขาค้นพบอย่างตกตะลึงว่าความเร็วทวนของเหมียวอี้เหนือกว่าอวิ๋นอ้าวเทียน เหนือความคาดหมายของเขาไปมากจริงๆ
ประมาทไปชั่วขณะ ภายใต้ความลำพองใจ เกือบจะตกหลุมพรางแล้ว
เขาม้วนแขนเสื้อติดต่อกันหลายครั้งด้วยความวิตกกังวล วาดออกเป็นวงเล็กวงใหญ่หลายวงและหดมือกลับมาป้องกัน
ท่าทวนที่พลิกฟ้าคว่ำฝนราวกับมังกรคว้าน้ำเหลวทันที เหมียวอี้ที่ออกทวนด้วยความเร็วรู้สึกทึ่ง พบว่าท่าที่เกิดจากการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของเฟิงเป่ยเฉินเหมือนจะเกิดเป็นน้ำวนล่องหน พลังที่หมุนวนโจมตีให้ท่าทวนที่เขาแทงออกมาลื่นซ้ำแล้วซ้ำอีก แทงเบี่ยงออกจากจุดสำคัญของเฟิงเป่ยเฉินทุกครั้ง ช่วยให้เฟิงเป่ยเฉินหลบพ้นการโจมตีที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต
ในใจเหมียวอี้ทึ่งไม่หาย ใช่ว่าเขาจะไม่เคยประมือกับนักพรตบงกชทองขั้นห้า อีกฝ่ายลำพองใจหลงตัวเองขนาดนี้ เดิมทีเขาคิดว่าวันนี้เฟิงเป่ยเฉินจะต้องมาตายน้ำตื่นด้วยน้ำมือเขาแล้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่าตัวเองประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไป พบว่าหกปราชญ์ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียง ไม่น่าเชื่อว่าขนาดใช้มือเปล่าก็ยังรับมือตนได้สิบกว่าทวน ไม่ใช่คนที่พวกนักพรตบงกชทองขั้นห้าที่พิภพใหญ่จะเทียบติดเลย
เช่นเดียวกัน เฟิงเป่ยเฉินที่ประเมินเหมียวอี้ต่ำไปก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร ภายใต้การแทงสังหารที่รวดเร็วและดุดันของเหมียวอี้ เฟิงเป่ยเฉินสะบัดแขนเสื้อใหญ่โคร่งติดต่อกันจนมีเสียง “แคว่ก” ไม่หยุด โดนหัวทวนแหลมคมที่รุกเข้าถอยออกอยู่ตรงหน้ากรีดจนเศษผ้าปลิวว่อนราวกับผีเสื้อ เกือบจะโดนปาดจนแขนขาดสองข้างแล้ว
…………………………