บทที่ 1620 - พบเจอประมุขอสูรถานท้าย หลิงเยียน

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1620 – พบเจอประมุขอสูรถานท้าย หลิงเยียน

 

ชิงสุ่ยยิ้ม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้ “ไหนลองบอกเหตุผลดีๆข้ามาหน่อย”

 

ทุกอย่างต้องมีเหตุผล และตอนนี้ตระกูลน่าหลานและตระกูลชิงยืนอยู่ตรงข้ามกันอย่า งชัดเจนและไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรคนตระกูลน่าหลานก็ไม่ควรมาที่นี่ แม้ว่ามันจะเป็นความกตัญญแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรใช้กับตระกูลของศัตรู

 

“ข้ารู้ว่าคนในตระกูลชิงกําลังฝึกฝนทักษะการต่อสู้ที่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการสลายพลังและการเพิ่มพลัง ฉะนั้นตัวข้าเองก็มีทักษะเคล็ดวิชาลับที่ไม่เหมือนใครและพร้อมจะมอบให้กับตระกูลชิง สิ่งนี้พอจะเป็นข้อแลกเปลี่ยนได้หรือไม่? เพราะว่าถ้าหากไม่ได้ ข้าก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ” น่าหลานผิงตอบตามตรง

เคล็ดวิชาลับนี้คือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่แม่ของเขามอบให้เขาและด้วยทักษะลับนี้จึงทําให้เขายังมี ตัวตนอยู่ในตระกูลน่าหลานได้ และอาจยื้อเวลาอยู่ในตระกูลน่าหลานได้อีก 3 ปี

 

ชิงสุ่ย สนใจในตัวของเขา ” ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ และข้าก็ไม่ได้ต้องการเคล็ดวิชาลับนั้น ข้าอนุญาตให้เจ้าอยู่ที่นี่ได้ สิ่งที่มีค่าสําคัญมากที่สุดของเจ้าคือความกตัญญูกตเวที ฉะนั้นข้าจึงไม่ต้องการสิ่งใด”

 

“ขอบคุณมากนายท่าน!!”

 

ชิงสุ่ยพยักหน้าแล้วยิ้มให้กับหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง “ข้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดจาอะไรกับเจ้า แต่เมื่อข้าอนุญาตให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่แล้วก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก ผู้คนจากตระกูลชิงล้วนแล้วแต่เป็นคนง่ายๆ อีกไม่นานก็คงเข้ากับพวกเจ้าได้ ส่วนทางเลือกอื่นถ้าหากพวกเราต้องการจะไปที่ใด ข้าก็จะไม่ขวางทางพวกเจ้า”

“ท่านหมอเทวดาชิง ข้าเองก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากหอคอยจักรพรรดิมาก่อน รวมทั้งตอนนี้ผิงเอ๋อก็ตัดขาดจากตระกูลน่าหลานแล้วฉะนั้นพวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลน่าหลานอีกต่อไปแล้ว” หญิงสาวผู้นั้นยิ้มและคํานับให้กับชิงสุ่ย

 

แม้ว่าเธอจะยิ้ม แต่รอยยิ้มของเธอก็โศกเศร้า มันเป็นความโศกเศร้าที่ไม่มีวันจางหาย

 

ชิงสุ่ยยังคงช่วยลูกๆของเขาในการปรับฐานพลังและเพิ่มการฝึกฝนรวมถึงจะเตรียมอา หารในครัวเด็กแต่ละคนต่างทําหน้าที่ของตัวเองเช่นเดียวกับน่าหลานผิงและแม่ของเขาจะในไม่ช้าทั้งสองคนก็เริ่มคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้

 

1 สัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าน่าหลานผิงและแม่ของเขาแต่ยังไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งในตะกูลชิงได้อย่างเต็มที่แต่พวกเขาก็สามารถอยู่ร่วมอย่างเป็นธรรมชาติได้แล้วน่าหลานผิงได้รับการยอมรับจากคนหมู่มากเพราะทั้งเขาและแม่ของเขาช่วยเหลือทําสิ่งต่างๆได้เป็นอย่างดี

 

ชิงสุ่ยไม่ได้มีความกังวลเลยว่าน่าหลานผิงจะทรยศตระกูลชิง เพราะมันจะสร้างความอันตรายให้กับแม่ของเขาที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะทําเช่นนั้นได้เลย

 

ตระกูลน่าหลานตกอยู่ในสภาวะโศกเศร้า ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บและความตายของน่าหลานซิงห่าย ยกเว้นชิงสุ่ยคนเดียวที่ไม่ได้แปลกใจเมื่อได้ยินข่าว

 

กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรํากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และทันทีที่พวกเขารวมตัว พวกเขาก็รีบเดินทางมาเพื่อเยี่ยมเยียนตระกูลชิง แต่คําพูดของชิงสุ่ยชัดเจนอย่างมากว่าตะกูลชิงจะไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใด

 

คําพูดของชิงสุ่ยเป็นที่น่าพอใจต่อกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรํา เนื่องจากสภาวะในปัจจุบันของพวกเขานั้นอยู่ในระดับต่ํา เขาจึงต้องทําให้แน่ใจว่าผู้ที่แข็งแกร่งจะยังไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใดหรือไม่ได้อยู่กับฝ่ายตรงข้าม เพราะมันอาจจะนําความล่มสลายกลับมาสู่กลุ่มของพวกเขาอีกครั้ง และตอนนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าไม่ควรทําให้ชิงสุ่ยโกรธ

 

เทียนฮี เงินโม่เองก็เดินทางมาเยี่ยมเยียนชิงสุ่ยที่ตระกูลชิงเป็นครั้งคราว เทียนยี่เป็นโมฝึกฝนอย่างหนักหน่วงจนปัจจุบันเขาสามารถผ่านทัณฑ์สวรรค์พินาศครั้งที่ 3 ไปได้แล้วนี่คือเป็นการก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และปัจจุบันตระกูลเทียนฮีได้มอบความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของตระกูลแก่เทียนฮี เริ่นโม่ให้เขาดูแลทั้งหมด

 

ชิงสุ่ยเองเคยช่วยเหลือเทียนฮี เงินโม่มาก่อน จึงพัฒนาความสัมพันธ์ถึงกลายเป็นเพื่อนและเขาก็ปฏิบัติต่อชิงสุ่ยด้วยความจริงใจไม่เสแสร้ง

 

ทั้งสองเข้ากันได้ดีนะอาจจะไม่ถึงขั้นที่ตายแทนกันได้ แต่ก็ถือเป็นเพื่อนสนิทในระดับที่สามารถส่งความช่วยเหลือทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือกันได้

 

2 วันถัดมา ชิงสุ่ยออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังพระราชวังอสูร ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาวางเอาไว้ ยิ่งเข้าใกล้พระราชวังจอมอสูรมากเท่าไหร่เขายิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น

 

เมื่อชิงสุ่ยเดินทางมาถึงพระราชวังจอมอสูร เขาก็ถูกหยุดโดยทหารยาม ดูเหมือนว่าทหารยามเหล่านี้จะไม่รู้จักชิงสุ่ย

 

“ที่นี่คือพระราชวังจอมอสูร!! คนนอกไม่มีสิทธิ์เข้า!!”

 

คนที่พูดเป็นชายวัยกลางคนความสามารถปานกลาง แต่เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องกฏระเบียบของพระราชวังจอมอสูรมาก ชิงสุ่ยกล่าวสั้นๆว่า “ฝากไปแจ้งข่าวถึงคนข้างในว่าชิงสุ่ยมาที่นี้”

 

“เจ้าจงรออยู่ที่นี่!” ชายหนุ่มคนนั้นบอกได้ทันทีว่าชิงสุ่ยไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาสร้างปัญหาและยัง ไงซะก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้ามาสร้างปัญหาที่พระราชวังจอมอสูร

 

ในไม่ช้า ร่างของคนๆนึงก็ปรากฏขึ้นทันทีที่เขาเห็นชิงสุ่ย รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “น้องชาย นั้นเจ้าจริงๆด้วย”

 

ทันที่ที่ชิงสุ่ยพบเจอกันซานยู เขาเองก็เปิดเผยรอยยิ้ม ” พี่ชาน ท่านอุตส่าห์มาที่นี่ด้วยตัวเองเป็นเกียรตินัก?”

 

“ตั้งแต่ที่เจ้ามาถึง จะไม่ให้ข้ามาต้อนรับเจ้าได้อย่างไร? พี่หญิงของเจ้ากําลังเตรียมอาหารและกําลังไปแจ้งให้ประมุขอสูรทราบ” ซานยูเดินเข้ามากอดชิงสุ่ย

ชิงสุ่ยเองก็กอดพี่ชายคนนี้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประมุขอสูรและฮัว รูเหมีย ทั้งประมุขอสูรและฮัวรูเหม่ยยิ่งมีความสนิทสนมใกล้ชิดกันพี่สาวน้องสาวและตัวของซานยูเองก็เป็นสามีของฮัวรูเหมีย

 

เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาถึงภายในที่พักของฮัว รูเหม่ย เธอก็รีบเดินออกมาจากห้อง เมื่อเธอเห็นชิงสุ่ยเธอมีความสุขอย่างมากและรีบเข้ามาสวมกอดชิงสุ่ย “เจ้ายังจําพี่สาวคนนี้ได้อีกหรือไม่?”

 

“ฮ่าๆๆ ข้าต้องจําได้อยู่แล้ว เพราะท่านคือพี่หญิงของข้า!!” ชิงสุ่ยสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ

 

ฮัว รูเหม่ยยิ้ม “เจ้ากําลังมองหาอะไรอยู่หรือ?”

 

ฮัว รูเหมียรู้คําตอบดีแต่เธอก็ยังคงถาม เธอรู้ว่าชิงสุ่ยกําลังมองหาถานท้าย หลิงเยียน

 

ในขณะเดียวกันถานท้าย หลิงเยียนก็เดินออกจากห้องและพบกับชิงสุ่ย เธอยังคงงดงามเฉกเช่นดั่งเดิมแต่ร่างกายของเธอดูผอมเพียวมากยิ่งขึ้นแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกอ่อนแอลงเลยเสน่ห์ของเธอดูเป็นผู้หญิงมากขึ้นกว่าเดิมและดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ดื้อรั้นเฉกเช่นดั่งเมื่อก่อน

 

รัศมีแห่งความดื้อรั้นดูเหมือนจะหายไป และจากการคาดเดาของชิงสุ่ยพบว่า ถานท่าย หลิงเยียนได้ทะลวงก้าวข้ามระดับความแข็งแกร่งที่เธอติดค้าง

 

เธอมัดผมสูง มีคิ้วที่สวยงาม ผิวพรรณดูนุ่มนวลและอยู่ในท่าทางผ่อนคลาย ใบหน้าไร้ซึ่งเครื่องประทินผิวแต่กลับงดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ แสงสะท้อนดวงอาทิตย์เหมือนแสงจางๆของแสงสีกุหลาบสะท้อนกับผิวของเธอให้งดงามเหมือนหิมะขาว เธอยังคงความงามดุจเทพธิดา แม้เสี้อผ้าธรรมดาก็ไม่อาจซ่อนเร้นส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอได้ไร่ของเธอยังคงโค้งมนแต่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งหน้าอกของเธอยังคงรูปร่างที่สวยงาม เหมือนกับงานหยกชิ้นเอกที่ถูกแกะสลักขึ้นอย่างปราณีต

 

แม้ว่าเธอไม่ยิ้ม แต่ดวงตาที่เป็นประกายยังบอกอารมณ์ได้ดีกว่าแต่ก่อน การเข้าใกล้เธอยังคงเป็นเรื่องยากไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่ใช่เพราะความเย็นชาของเธอแต่มันเกิดมาจากความเย่อหยิ่งที่อยู่ในจิตวิญญาณ

 

ความรู้สึกที่เขามีให้เธอยังคงอยู่แต่เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะมีเหมือนกันหรือไม่

 

“เจ้ามาแล้วหรือ” ถานท้าย หลิงเยียนกล่าวด้วยน้ําเสียงที่นุ่มนวล

 

ชิงสุ่ยยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างมีความสุข “หลิงเยียน แล้วเจ้าล่ะสบายดีหรือไม่?”

 

ฮัว รูเหม่ยยิ้มก่อนจะดึงตัวซานยูกลับเข้าไปทํางานในครัวของเธอต่อ เธอตั้งใจปล่อยให้ชิงสู่ยอยู่กับ ถานท้าย หลิงเยียน

 

เมื่อถานท้าย หลิงเยียนได้ยินคําถามของชิงสุ่ย เธอรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย มันเคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่เธอคุ้นเคยกับคําถามเหล่านี้แต่เมื่อเวลาผ่านไปทั้ง 2 เติบโตขึ้นและดูเหมือนว่าความรู้สึกนั้นมันหายไปและกําลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ

 

ชิงสุ่ยสังเกตเห็นแหวนที่อยู่บนนิ้วของถานท้าย หลิงเยียน มันคือแหวนที่เขามอบให้ตอนที่อยู่ ในซากโบราณ มันคือส่วนหนึ่งของชุดเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

 

ถานท้าย หลิงเยียนสังเกตเห็นสายตาการจ้องมองชิงสุ่ย ทําให้เธอคิดถึงเรื่องราวที่เคยฝันฝ่ากันมาในอดีต จากนั้นเธอก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้ายังคงสบายดีแล้วเจ้าล่ะ?”

 

ชิงสุ่ยได้เห็นรอยยิ้มของเธอถึง 2 ครั้งมันเป็นภาพที่น่าทิ้งอย่างมากราวกับทุ่งดอกไม้ ที่กําลังเบ่งบานจากนั้นเขาก็พูดอย่างข่มขึ้นว่า “บางที ข้าเขารู้สึกไม่ค่อยสบายนะ!!”

 

ถานท้าย หลิงเยียนคาดเดาคําตอบของชิงสุ่ยและเชื่อว่าเขาจะต้องตอบอย่างสุภาพกับมาว่าสบายดี ซึ่งเธอก็ไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะตอบกลับมาเช่นนี้ “ทําไมกัน? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”

 

“ข้ารู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตา ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเจ้า แต่ขากลับไม่อาจมองเห็นเจ้าหน้า”ชิง สุ่ยปลุกความกล้าหาญในตัวขณะกล่าว

 

ชิงสุ่ยยังคงเป็นเหมือนแท่งเหล็กลุกไหม้ที่พร้อมจะถูกตี เขายังคงแสดงกิริยาเช่นดั่งเดิมเพื่อแสดงออกให้เธอรู้ว่าความรู้สึกของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง

 

ถานท้าย หลิงเยียนไม่ได้แสดงความรู้สึกโกรธออกมาเลยและลดศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้น “เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”

 

ชิงสุ่ยที่ได้ยินคําตอบถึงกับตกตะลึงและรีบสงบสติอารมณ์ เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าบอกคิดถึงเขาต่อหน้า

 

“ข้าเริ่มสงสัยแล้วว่าข้าอยู่ในความฝันหรือเปล่า เจ้าบอกคิดถึงข้าจริงๆหรือนี้”ชิง สู่ยก็เดินออกไปอีก 2 ก้าวจนระยะทางระหว่างทั้งสองคนเหลือเพียงแค่ก้าวเดียว

 

“เจ้าคือเพื่อนของข้า และข้าก็ไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก มันจึงเป็นเรื่องปกติที่ข้าคิดถึงเจ้าข้าเองก็เป็นมนุษย์และเมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปบางที่ข้าก็อยากเจอหน้าเจ้าบ้าง”ถานท้ายหลิงเยียนกล่าวอย่างสงบนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า

 

เธอมีบุคลิกที่ดูสงบเยือกเย็นมากยิ่งขึ้น เธอจะไม่ยิ้มเมื่อไม่จําเป็น และจะยิ้มเมื่อมีความสุขจริงๆ แน่นอนว่าชิงสุ่ยที่เห็นรอยยิ้มของเธอมันยิ่งทําให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ

 

ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวว่า “ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว หลังจากที่ข้าได้เห็นเจ้า ข้าเองก็เหมือนเห็นตัวเองในอดีต”

 

“แล้วเจ้ากลับไปอีกเมื่อไหร่?”ถานท้าย หลิงเยียนเดินไปที่เก้าอี้จากนั้นก็นั่งลง

 

ชิงสุ่ยเองก็นั่งลงตรงข้ามกับเธอ ซึ่งระยะทางก็ใกล้กันมาก แล้วมองเห็นความงามของเธอยังสมบูรณ์ไร้ข้อบกพร่อง ดวงตาที่ชัดเจนและเย็นชาของเธอทําให้ชิงสุ่ยรู้สึกละอายและรับรู้ถึงความรุนแรง