ตอนที่ 817 พี่น้องสกุลลู่ถึงแล้ว / ตอนที่ 818 ความสงสัยของลู่อวี้เหิง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 817 พี่น้องสกุลลู่ถึงแล้ว

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้น ใบหน้าจึงวูบไหวอย่างห้ามมิได้

 

 

เมื่อเอ่ยเช่นนี้ นางพลันอดหวนคิดถึงภาพสถานการณ์ยามที่นางบุกเข้าไปให้สกุลป๋ายมิได้

 

 

ซูหลีอดขมวดคิ้วเล็กน้อยมิได้ สีหน้าไม่ค่อยน่ามองนัก

 

 

ทว่านางไม่ได้เอ่ยอะไรกับเรื่องนี้ กลับเอ่ยขึ้นว่า “ทางด้านสำนักฉยงสือเล่า ป๋ายเฮ่อก็มิอยู่แล้วหรือ”

 

 

“หลังจากป๋ายเฮ่อถูกถอดถอนคุณูปการคืน ก็ลาออกจากสำนักฉยงสือแล้ว เดิมเขาเข้าไปอยู่ในสำนักก็เพื่อต้องการสอบเข้าเป็นข้าราชการเคอจวี่ บัดนี้มิอาจเข้าร่วมการสอบได้แล้ว…” เจียงหยางพูดไปครึ่งประโยคแล้ว ก็เพิ่งจะคิดได้ว่า

 

 

ที่ป๋ายเฮ่อมิอาจเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้ ซูหลีนั้นมิอาจแยกออกความเกี่ยวข้องเรื่องนี้ได้

 

 

เขาพลันชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้เอ่ยว่า “เขาจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ในสำนักฉยงสือแล้ว อย่างน้อยหลังจากเฉิงเค่อตายแล้ว หวังเฮ่อก็มิกล้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ มีความขัดแย้งกับพวกเราสำนักเต๋อซั่นหลายๆคนแล้ว บัดนี้ป๋ายเฮ่อกับเฉิงเค่อล้วนไม่อยู่ที่นี่แล้ว เขาจะมีความกล้าหลงเหลือเสียที่ไหนกัน!?”

 

 

ซูหลีได้ยินถึงตรงนี้ จึงผงกศีรษะอย่างห้ามมิได้ ผ่านไปครู่หนึ่งนางพลันหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้นจะว่าไปแล้ว ข้าก็แก้แค้นให้กับพวกเราแล้วสิ? ก่อนหน้านี้สำนักฉยงสือนั้นดูแคลนพวกเราสำนักเต๋อซั่น บัดนี้กลับมิกล้าแม้แต่ชักสีหน้าต่อหน้าพวกเรา!”

 

 

นางพลันพูดคำพูดคำรบนี้ออกมา ทำให้คนที่อยู่รอบข้างถึงกับอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง

 

 

หลังจากนั้นทุกคนจึงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่ได้

 

 

จี้ฉินเงยหน้ามองซูหลีที่แสดงท่าทางภาคภูมิใจ ดวงตาทอประกายอ่อนโยน

 

 

นางไม่เปลี่ยนไปเลย คนที่เปลี่ยนไปนั้นคือคนรอบข้าง

 

 

นางยังเป็นนางคนเดิมไม่ผิด

 

 

“ใช่ๆๆๆ จะว่าไปต้องขอบคุณเจ้าถึงจะถูก!”

 

 

“ฮ่าๆๆๆ เช่นนั้นก็ควรชนแก้วกันใช่หรือไม่พวกเรา ที่ซูหลีแก้แค้นให้กับพวกเราเช่นนี้!”

 

 

“ใช่แล้วๆ!”

 

 

“จะพูดอะไรดี ซูหลีเป็นสตรี พวกเจ้ายังอยากจะรินสุราให้นาง!” จี้ฉินเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ คนเหล่านี้ได้ยินดังนั้นจึงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะขึ้นอย่างเบิกบานใจยิ่งกว่าเดิม

 

 

ซูหลีกับกลุ่มคนของสำนักเต๋อซั่นกลุ่มนั้นดังอยู่ด้วยกัน ทั้งยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เพียงชั่วพริบตาเดียวก็สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นได้

 

 

คนของสำนักเต๋อซั่นกลุ่มนี้ไม่ใช่คนที่เข้าหาง่ายอะไรนัก พื้นเพทางบ้านของแต่ละคนล้วนมีความลึกซึ้ง ในยามปกติไม่ได้มีท่าทีเป็นมิตรกับผู้อื่นเช่นนี้

 

 

และเมื่อมองดูชุดอาภรณ์สีแดงและใบหน้าที่งดงามของซูหลี กอปรกับกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่าง

 

 

แม้คนที่ไม่รู้จักนางมาก่อน ก็ยังพอจะรู้ว่านางเป็นใคร

 

 

ท่านนี้ก็คงจะเป็นขุนนางหญิงท่านแรกของราชวงศ์ต้าโจว ใต้เท้าซู ซูหลีกระมัง!

 

 

“ซูหลี เจ้าก็มาหรือ!” ขณะที่กำลังพูดและหัวเราะอย่างเบิกบานใจ พลันได้ยินเสียงนี้ดังขึ้น นางชำเลืองมองไปยังลู่เหมียนเหมียนที่แก้มแดงระเรื่อ ทั้งร่างสวมใส่ชุดอาภรณ์ชมพูตุ่นยืนอยู่ด้านหลังของนาง

 

 

อีกทั้งยังมีอีกคนหนึ่งที่มาพร้อมกับลู่เหมียนเหมียน

 

 

ดวงตาของซูหลีชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากสบตากับคนผู้นี้วูบหนึ่ง ก็ละสายตาออกมาอย่างรวดเร็ว

 

 

คนผู้นี้ก็คือลู่อวี้เหิง

 

 

ที่จริงแล้วลู่อวี้เหิงมิได้มีความเกี่ยวข้องสำนักเต๋อซั่นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ลู่เหมียนเหมียนอย่างน้อยก็ยังเป็นคนของสำนักฉยงสือฝ่ายหญิง ทว่าเขากลับมิเคยเล่าเรียนที่สำนักเหล่านี้

 

 

วันนี้ดูเหมือนเขาออกมาเป็นเพื่อนลู่เหมียนเหมียน ที่จริงแล้วเขากับซูหลีนั้นล้วนทราบดีว่า นี่เป็นการนัดหมายระหว่างพวกเขาทั้งสองคนตั้งนานแล้ว

 

 

คนนี้มาเข้าร่วมงานวันนี้ ส่วนใหญ่คือคนวัยหนุ่มสาว ขุนนางที่จบจากสำนักเต๋อซั่นเดิมมิมีความเกี่ยวข้องอะไรกับสกุลป๋าย

 

 

เดิมซูหลีคิดว่าป๋ายเฮ่อจะอยู่ที่นี่ด้วย ทว่าบัดนี้ดูแล้วแม้แต่ป๋ายเฮ่อก็มิอยู่ที่นี่

 

 

เช่นนี้นางกับลู่อวี้เหิงจะพบปะกันหรือสนทนากัน ก็เปลี่ยนเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งกว่าเดิม

 

 

อีกทั้งมิได้เตะตาผู้อื่นขนาดนั้น ซูหลีอยากจะถามอะไรก็สามารถถามได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 818 ความสงสัยของลู่อวี้เหิง

 

 

ซูหลีกับลู่เหมียนเหมียนทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

ทุกคนในสำนักเต๋อซั่นเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลู่เหมียนเหมียนไม่เลวนัก พวกเขาจึงพูดคุยกับลู่เหมียนเหมียนอยู่บ้าง

 

 

บรรยากาศจึงถือว่าปรองดองกันดี

 

 

ลู่เหมียนเหมียนโน้มตัวลงมาพูดข้างหูของซูหลีประโยคหนึ่ง ซูหลีจึงเลิกคิ้วแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นเอ่ยกับคนที่อยู่เบื้องหลังว่า

 

 

“ทุกท่าน ขออภัยที่ต้องขอตัวออกไปก่อนสักครู่”

 

 

ระหว่างสตรีนั้นคงอยากจะพูดเรื่องลับๆ บางอย่าง คนในสำนักเต๋อซั่นต่างก็เป็นบุรุษโตเต็มวัย แน่นอนว่าพวกเขาไม่ขัดขวางพวกนางทั้งสอง เมื่อเห็นดังนั้นพวกเขาจึงโบกมือไปมา และปล่อยให้ซูหลีเดินออกไป

 

 

ซูหลีกับลู่เหมียนเหมียนจับมือกันเดินไปทางเรือนขาว

 

 

กอปรกับในเวลานี้มีงานเฉลิมฉลองในสำนักเต๋อซั่น เรือนขาวจึงเป็นสถานที่ที่เงียบสงบที่สุด แทบมิมีผู้อื่นเลย

 

 

ลู่อวี้เหิงเดินตามร่างของพวกนางไปอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล

 

 

“ซูหลี บัดนี้ดีแล้ว เจ้าไม่ต้องปิดบังตัวตนของตนเองอีกแล้ว ต่อไปก็พูดเรื่องแต่งงานกันได้แล้ว!” ลู่เหมียนเหมียนจูงมือซูหลี นางดีใจแทนซูหลีจากใจจริง

 

 

ซูหลีกลับรู้สึกกระอักกระอ่วน พูดเรื่องแต่งงาน?

 

 

แต่เมื่อครู่นางปรากฏตัวขึ้น ฉินเย่หานก็ต้องฉีกนางเป็นชิ้นๆ แล้ว

 

 

ยังพูดถึงเรื่องแต่งงาน…

 

 

อย่างไรลู่เหมียนเหมียนก็เจตนาดี นางจึงอมยิ้มและผงกศีรษะ แล้วเอ่ยว่า “เพียงแต่มิอาจเป็นบุรุษ และแต่งเจ้าเข้าเรือน นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายโดยแท้!”

 

 

ลู่เหมียนเหมียนถูกคำพูดของนางทำให้หน้าแดง เมื่อฉุกคิดว่าเมื่อก่อนนางนั้นชื่นชอบซูหลี ก็รู้สึกว่าน่าขันนัก

 

 

เป็นประจวบเหมาะที่นางเงยหน้าขึ้นสบตากับซูหลี หลังจากที่สายตาของทั้งสองคนประสานกัน พวกนางก็อดหัวเราะออกมามิได้

 

 

“ทว่าเจ้ามีเรื่องอะไรต้องพูดกับพี่อวี้เหิงหรือ” ลู่เหมียนเหมียนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

 

 

ใบหน้าของซูหลีผงะเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งเฉยว่า “เป็นเรื่องเล็กๆ เท่านั้น”

 

 

ลู่เหมียนเหมียนเห็นว่านางไม่พูดอะไรออกมามาก ก็ไม่คะยั้นคะยอถามต่ออีก แต่กลับผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าออกไปเดินเล่นด้านนอกสักครู่หนึ่ง พวกเจ้าคุยกันเถอะ”

 

 

“เข้าใจแล้ว!” ซูหลีขานรับประโยคหนึ่ง

 

 

ลู่เหมียนเหมียนเรียกนางออกมาเดิมเป็นเพียงฉากหน้า เพื่อให้ซูหลีมีโอกาสพูดกับลู่อวี้เหิงเท่านั้น

 

 

“คุณชายลู่” ซูหลีเห็นลู่อวี้เหิงเดินเข้ามาสองสามก้าว นางพลันเก็บริ้วความสับสนในดวงตาของนางลง แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

“ใต้เท้าซูมิจำเป็นต้องเกรงใจแล้ว” ลู่อวี้เหิงมองนางด้วยสายตาลุ่มลึกอยู่หลายปราด

 

 

ช่วงเวลานี้เรื่องราวซูหลีถูกเผยแพร่ออกไป จนคนทั้งเมืองหลวงรับรู้หมดแล้ว

 

 

เขาก็ทราบดี ที่จริงแล้วเขาก็ไม่มั่นใจนักว่า เรื่องสำคัญขนาดนี้จะสามารถพูดกับซูหลีได้หรือไม่ ความพยายามอุตสาหะที่เขามีมาทั้งหมด อาจจะไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

ซูหลีเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง…

 

 

ทว่าลู่อวี้เหิงไม่ใช่คนที่ดูแคลนสตรี ท่านผู้นั้นเคยเป็นถึงหัวแก้วหัวแหวนของพ่อบุญธรรมเขามาก่อน หากพูดถึงความฉลาด เขาสิบคนยังสู้นางคนเดียวมิได้

 

 

อีกทั้งดูจากอุปนิสัยของซูหลีแล้ว เขาจึงเชื่อมั่นว่า ท่านผู้นั้นกับซูหลีสามารถเป็นสหายคนสนิทกันจริงๆ

 

 

“ใต้เท้าซู ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเรื่องของสกุลหลี่ขึ้นมา เรื่องสกุลหลี่สำหรับทุกคนในเมืองหลวงแล้ว ควรจะเป็นการปิดปังเรื่องสำคัญเอาไว้ถึงจะถูก กอปรกับวันเวลาผ่านมานานแล้ว สกุลหลี่นั้นสาบสูญไปจากสายตาของทุกคนแล้ว”

 

 

“ถึงใต้เท้าซูจะเป็นสหายคนสนิทของหลี่จื่อจิน ก็มิควรถามคำถามเช่นนี้ออกมากระมัง” ลู่อวี้เหิงคิดถึงคำถามที่ซูหลีถามเขา ดวงตาจึงเข้มขึ้น

 

 

คำถามที่ซูหลีเอ่ยขึ้นก็คือ โทษของสกุลหลี่ มีอะไรที่เป็นพิรุธ!

 

 

ซูหลีเชื่อว่าวันนี้เขามาที่นี่ นั่นก็แสดงว่าเขาเชื่อใจนางอย่างแน่นอน ทว่ามีเรื่องบางอย่างก็ควรอธิบายให้ชัดแจ้ง

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้นนางชะงักเป็นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “คุณชายลู่มิรู้สึกว่าโทษที่ต้องประหารทั้งสกุลของหลี่ ตัดสินเร็วเกินไปหรือ อีกทั้งโทษอะไรจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ ทว่าบัดนี้กลับไม่เคยมีคนเอ่ยถึง?”