ตอนที่ 10-2 การเผชิญหน้ากันสามคน

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

เขารีบปฏิเสธในทันที แต่ทว่าก็พูดต่อไม่ได้ จะต้องตอบว่าอย่างไร ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้น แล้วมันคือเหตุผลดที่ตนไม่ยอมเปิดเผยตัวให้กโยซึลรู้ ไม่มีเจตนาแอบแฝงเลยแม้แต่นิดเดียวหรือ จะยืนยันความบริสุทธิ์ใจได้หรือว่าตนมิได้ปรารถนาในตัวของชายาของพี่ชายตนแม้แต่นิดเดียว ชายาฮวางแทจา คำพูดที่ดำมืดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของเขา รูแฮไม่สามารถส่งเสียงตอบออกมาได้ ในที่สุดเขาก็ปิดปากเงียบ และก้มหัวคุกเข่าต่อหน้าบีพาอันทันที 

 

 

“น้องผิดไปแล้วขอรับ กระหม่อมได้กระทำการที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อฝ่าพระบาทฮวางแทจา” 

 

 

“ในเมื่อน้องสำนึกผิด เราก็จะไม่ลงโทษอีกต่อไป” 

 

 

บีพาอันพูดอย่างเยือกเย็นและหันหน้ากลับไป ในตอนนี้สายตาของเขาจ้องมองไปที่กโยซึล กโยซึลนั่งลงพิงไปที่ต้นไม้โดยไม่รู้ตัว ความสับสนในความเข้าใจผิดเรื่องชื่อและสถานะของรูแฮทำให้นางวิงเวียนศรีษะ บีพาอันไม่เข้าไปประครองนางที่ล้มลง เขาเพียงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า 

 

 

“ชายา ที่มกกุกนั้นการเรียกแค่ชื่อเป็นการเรียกกันระหว่างคนรักเท่านั้น ตั้งแต่นี้ไปจงจดจำไว้” 

 

 

“…” 

 

 

กโยซึลที่ปกติมักจะตอบโต้สิ่งที่บีพาอันพูดในทันทีเหมือนกำลังแข่งขันประลองอยู่นั้น ในตอนนี้ไม่มีแม้แต่คำพูดใด แน่นอนว่าบีพาอันก็ไม่ได้รอคำตอบจากกโยซึล เขาหันไปสั่งรูแฮ 

 

 

“รูแฮ พระชายาฮวางแทจาดูกำลังจะตกใจอยู่ จงพานางไปส่งที่ตำหนักเสีย” 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

บีพาอันเดินลงไปจากเนินเขาโดยไม่หันมามองรูแฮที่กำลังคุกเข่าและก้มหัวอยู่อีกเลย การที่บีพาอันต่อว่ารูแฮแต่ก็ยังฝากกโยซึลไว้กับรูแฮนั้น มันคือความทะนงตนของบีพาอัน และยังเป็นการเตือนรูแฮไปในตัวด้วย 

 

 

ความทะนงตนที่ว่าคนที่มิได้สำคัญอะไรอย่างรูแฮ ไม่ว่าจะทำตัวไร้มารยาทกับเขาอย่างไร เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงการคุกคามใดๆ เลยสักนิด และยังเป็นการเตือนด้วยว่าหากคิดจะทำอันใดก็ทำ แต่ให้ระวังเอาไว้ และยังเป็นการขู่ไปในตัวว่าบีพาอันนั้นกำลังจับตามองอยู่ หากจะการใดก็ให้ระวังตัว ในบทสนาสั้นๆ และในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นหลายสิ่งหลายอย่างได้เกิดขึ้นระหว่างบีพาอันและรูแฮ 

 

 

 

 

 

หลังจากที่บีพาอันหายไป รูแฮที่ก้มหัวคุกเข่าอยู่ก็ลุกขึ้นอย่างโซเซ สายตาที่โศกเศร้าของรูแฮจ้องมองไปที่กโยซึล เขาค่อยๆ ก้มตัวอย่างช้าๆ ต่อหน้ากโยซึลอีกครั้ง และสบตากับนาง 

 

 

“ขออภัยด้วยที่กระหม่อมไม่ได้บอกว่ากระหม่อมคือฮวางเซจา กระหม่อมคิดสั้นไป กระหม่อมเพียงต้องการปลอบใจพระชายาฮวางแทจาที่ต้องลาจากจากอาณาจักรของพระองค์มา ให้พระองค์ผ่อนคลาย ทำตัวตามสบาย จึงมิได้บอกตั้งแต่แรกว่าหม่อมฉันคือฮวางเซจาเพียงเท่านั้น กระหม่อมไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นการเสียมารยาทอย่างมากต่อพระชายาฮวางแทจา” 

 

 

กโยซึลยังคงไม่มีคำพูดใด รูแฮก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากนาง เขาเข้าไปประคองกโยซึลโดยไม่พูดไม่จา จับแขนข้างหนึ่งของนางอย่างระมัดระวัง แล้วพยุงนางลุกขึ้น แต่นางก็สะบัดมือของรูแฮออก 

 

 

“เรา…หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ” 

 

 

น้ำเสียงของกโยซึลแข็งกระด้าง จากคำพูดปกติก็ถูกเปลี่ยนเป็นคำพูดที่สุภาพ มีการเว้นระยะห่าง กโยซึลเบี่ยงตัวออก นางกอดอกทำท่าทีที่ต้องการกันเขาออกแล้วถอยหลังออกไป แต่ถอยไปอยู่ดีๆ ก็ถูกขวางด้วยต้นไม้ นางรู้สึกว่ามีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านหลัง ต้นไม้ใหญ่ที่ตนมักจะเจอกับยูอึลจิน เมื่อสัมผัสกับต้นไม้กลางสวนนี้ความรู้สึกของกโยซึลก็พลุ่งพล่านขึ้นมา 

 

 

“ทำไม” 

 

 

น้ำเสียงของกโยซึลเดือดดาล เหมือนได้ปลดปล่อยคำพูดที่ถูกเก็บเอาไว้ เมื่อความโกรธในตัวพุ่งพล่านดวงตาของนางก็ลุกเป็นไฟ 

 

 

“เหตุใดไม่พูดอย่างตรงไปตรงมา ท่าน ไม่สิ ฝ่าบาทฮวางเซจาทำเพียงเพื่อต้องการให้หม่อมฉันรู้สึกสบายใจกับพระองค์เพียงเท่านั้นจริงๆ หรือเพคะ” 

 

 

ครั้งนี้รูแฮกลับไม่ได้มีคำพูดใด เขาไม่ยิ้มเช่นปกติ ใบหน้าที่เฉยชาของรูแฮนั้นกลับกระตุ้นกโยซึล ใบหน้าของเขาที่ยอมรับผิดอย่างง่ายดายกลับกลายเป็นทำให้กโยซึลอึ้งมากกว่าเดิม 

 

 

“เช่นนั้นตอนนี้หม่อมฉันดูสบายใจงั้นหรือเพคะ” 

 

 

หน้าของกโยซึลร้อนวูบวาบ ตนไม่เคยพูดประชดประชันเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยประชดประชันใครเช่นนี้มาก่อนด้วย กโยซึลเพียงต้องการจะปกป้องเพราะรู้สึกผิดหวัง และเศร้าใจ แต่กลายเป็นว่ามันกลับเป็นหนามทิ่มแทงตนเอง 

 

 

พูดจาทำให้อีกฝ่ายเจ็บ แต่ความจริงกลับทำให้ตัวเองเจ็บเสียเอง กโยซึลหน้าซีดราวกับว่าตนนั้นถูกตำหนิ กโยซึลเดินออกไปโดยพยายามที่จะไม่มองหน้ารูแฮ 

 

 

ฝีเท้าของนางส่ายไปมาอย่างไม่มั่นคง กโยซึลออกแรงที่เท้าอย่างหนักแน่นแล้วค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าว แม้จะพยายามจดจ่ออยู่กับฝีเท้าตน แต่ในหัวก็ยังคิดวนอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางนึกถึงคำพูดที่เพิ่งพูดกับรูแฮไปก่อนหน้านี้ 

 

 

ถ้ายูอึลจินเป็นฮวางแทจาก็คงจะดี 

 

 

ดวงตาที่เริ่มร้อนผ่าว สุดท้ายนางก็กลั่นไว้ไม่อยู่ทำให้น้ำตาไหลพราก น้ำตาไหลไปตามแก้มอย่างรวดเร็วหยดลงบนเสื้อ 

 

 

“หากไม่ได้พูดคำนั้นออกไป…” 

 

 

ถ้าไม่พูดเปิดใจออกไป ต่อให้รู้ว่าเขาเป็นฮวางเซจาก็คงจะไม่วุ่นวายเช่นนี้ คงไม่ต้องรู้สึกว่าตนถูกหลอกอย่างนี้ กโยซึลรู้สึกเสียใจที่พูดออกไป 

 

 

 

 

 

ฝีเท้าที่ไม่มั่นคงดูเหมือนจะล้มลงในไม่ช้า รูแฮมองดูความกระสับกระส่ายของกโยซึล เขาเดินตามกโยซึลไปอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้นางรู้ตัว 

 

 

เมื่อไปถึงประตูใหญ่ แม่นมที่กำลังจ้องมองเข้าไปในสวนก็รีบวิ่งเข้ามาหากโยซึล 

 

 

“พระชายา เหตุใดสีพระพักตร์ไม่ดีเลยเพคะ เกิดอะไรขึ้นในส่วนหรือ…” 

 

 

ในขณะที่แม่นมกำลังสอบถาม กโยซึลก็เป็นลมล้มลง 

 

 

“พระ พระชายา” 

 

 

ทันทีที่กโยซึลเป็นลมล้มลง แม่นมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่อยู่ดีๆ ก็มีใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเขาพยุงกโยซึลขึ้นอย่างทะมัดทะแมง แม่นมมองใครคนนั้นอย่างตกใจ 

 

 

“ท่าน..ท่านเป็นใครกันเพคะ” 

 

 

“ฮวางเซจา รูแฮ” 

 

 

รูแฮแนะนำตัวเองอย่างสั้นๆ เขาอุ้มกโยซึลลุกขึ้นและพาไปที่พระราชวังตะวันออก แม่นมที่กำลังงงงวยรีบตั้งสติและเดินตามไป รูแฮอุ้มกโยซึลเข้าไปถึงห้องบรรทมในตำหนักแล้ววางนางลงบนเตียง 

 

 

ข้ารับใช้ที่ช่างพูดพากันกระซิบกระซาบกับเรื่องที่เกิดขึ้น และหลังจากวันนั้นกโยซึลก็ไม่ไปที่สวนหลังวังฝ่ายนอกอีกเลย มีเพียงรูแฮที่เดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ใต้ต้นไม้กลางสวนหลังวัง เขาเอาแต่เดินไปมาจนเริ่มมืดแล้วถึงจะกลับวนไปวนมาอยู่แบบนั้น