บทที่ 442 หาเรื่อง

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 442 หาเรื่อง
ชั้น 2 ของหอเสวียนดำ หลัวซิวใส่วิชายุทธ์ระดับ 8 จำนวนสิบกว่าประเภทที่ตนเองได้รับลงไป ซึ่งมีวรยุทธ์ระดับ 8 ขั้นสุดยอดอย่างวิชาพลังมังกรแท้และพลังก่อรวมวิญญาณรวมอยู่ในนั้นด้วย

จากนั้นก็เดินต่อขึ้นไปยังชั้น 3 ของหอเสวียนดำ หลัวซิวใส่วรยุทธ์ระดับ 9 วิชาฝึกปราณสีม่วงลงไป รวมไปถึงทักษะยุทธ์ระดับ 9 ดาวจักรพรรดิจรัสม่วง นิ้วดาบเทียนกัง และวิชาภูตผีเซินหลัว

นอกจากนี้ยังมีวิชายุทธ์ระดับ 8 และ 9 ที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำมอบให้ จึงถูกหลัวซิวนำมาวางไว้ในหอเสวียนดำด้วย

“วิชายุทธ์ระดับ 7 ขอเพียงแค่เป็นศิษย์ของสำนักไท่เสวียนเรา ก็สามารถเลือกฝึกได้ทั้งหมด ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 8 ต้องอยู่ในแดนฝึกจิตขึ้นไปจึงจะเลือกฝึกได้ ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 9 จะต้องมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับราชายุทธ์ขึ้นไปจึงจะสามารถฝึกได้ อีกทั้งพวกเขาจะต้องภักดีขอสำนักและผ่านการทดสอบเรียบร้อยแล้วจึงจะสามารถฝึกได้”

ส่วนวิชายิ่งเลิศที่หลัวซิวครอบครองอยู่อีกหลายวิชา นอกจากเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว ตอนนี้เขาก็ยังไม่คิดที่จะถ่ายทอดให้คนอื่น การพัฒนาของสำนัก ไม่ควรจะเร่งรีบเพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่ต้องผ่านกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป

หลังจากนั้นก็ยังมีหอนักยุทธ์ หอกลั่นยา หอหลอมอาวุธ หอค่ายกล และของที่เป็นมรดกตกทอด หลัวซิวไม่ขาดอะไร เขาขาดเพียงแค่ผู้มีพรสวรรค์ที่จะมาจงรักภักดีต่อสำนักเท่านั้น

รวมไปถึงหอเสวียนดำด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่สำคัญ หลัวซิวจึงแยกกันตั้งค่ายกล

เช่นนี้ การสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นใหม่ จึงจะถือว่ามีต้นแบบที่เรียบง่าย

หลัวซิวคาดการณ์ว่า การสร้างสำนักเขาขึ้นมาใหม่ คงจะต้องใช้เวลาอีกประมาณครึ่งเดือนถึงจะเสร็จสมบูรณ์

ในระหว่างนี้ เขาเข้าไปในแดนปริศนา เพื่อเตรียมที่จะใช้เวลาในช่วงนี้ ยกระดับความแข็งแกร่งของตนเอง

เพราะเขารู้ดีว่า ทันทีที่ตนเองเปิดสำนัก จะกลายเป็นเป้าหมายของการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าแดนปริศนาคีตโลกาจะสามารถดึงดูดความโลภของผู้คนได้หรือไม่ หากการฝึกตนของตนเองนั้นก็ไม่แข็งแกร่งพอ แต่ไม่สามารถกำราบศิษย์ในสำนักได้ แล้วจะโน้มน้าวใจประชาชนได้อย่างไร ?

ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปหลายวันอย่างรวดเร็ว หลัวซิวเตรียมข่าวสารเรื่องการเปิดสำนัก และเผยแพร่ออกไปภายในประเทศเทียนหวู

วันนี้ ด้านนอกของค่ายกลคุ้มเขา จู่ ๆ ก็มีเปลวไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทะเลเพลิงกำลังพลุ่งพล่านอย่างไร้ขอบเขต ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือแนวค่ายกลคุ้มเขา

ภายในค่ายกล ท่าทางของสวีจิงเหนียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีอสุรกายขนาดใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นกิเลนอัคคีปรากฏร่างขึ้นท่ามกลางทะเลเพลิง

และบนหัวของกิเลนอัคคีตัวนี้ มีชายสวมใส่ชุดคลุมยาวสีแดงเพลิงยืนอยู่

“ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย !”

เมื่อรู้สึกได้ถึงรัศมีอันทรงพลังที่แผ่ซ่านไปทั่วตัวของอีกฝ่าย สีหน้าของสวีจิงเหนียนก็เคร่งเครียดขึ้นทันที

“ไอ้สัตว์เดรัจฉานหลัวซิวอยู่ที่ไหน รีบแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้ !”

ชายสวมชุดคลุมยาวสีแดงเหยียบอยู่บนกิเลนอัคคี มองดูแนวค่ายกลคุ้มเขาที่อยู่ด้านล่าง และตะโกนออกมาอย่างเย็นชา

เขาผู้นี้มีนามว่า สีชูทง เป็นศิษย์โดยตรงของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ผู้หนึ่งในโลกแสงดาวอาณาจักรตะวันตก อาจารย์ของเขากับอาจารย์ตำหนักจื่อเป็นเพื่อนเก่ากัน

ครั้งนี้ที่สีชูทงเดินทางมายังอาณาจักรใต้ประเทศเทียนหวู ก็เพื่อนำจดหมายมามอบให้กับอาจารย์ตำหนักจื่อตามคำสั่งของอาจารย์ แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากลับได้ยินข่าวว่าตำหนักจื่อถูกคนทำลาย อาจารย์ตำหนักจื่อเองก็ถูกคนฆ่าตายด้วยเช่นกัน และคนที่ลงมือทำเรื่องเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีเสียด้วยซ้ำ

จากที่เขาสอบถามได้ความมาว่า ที่อีกฝ่ายสามารถทำลายตำหนักจื่อได้ เพราะเชิญมกุฎยุทธ์มาสองท่าน และในตอนนั้นมกุฎยุทธ์ทั้งสองท่านนั้นได้จากไปแล้ว สีชูทงจึงกล้าบุกมาที่นี่

“ได้ยินอาจารย์พูดว่า ตำหนักจื่อแห่งนี้ครอบครองแดนปริศนาคีตโลกา เป็นสถานที่ฝึกตนอันล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง ถ้าอย่างนั้นในเมื่ออาจารย์ตำหนักจื่อตายไปแล้ว ตำหนักจื่อเองก็ถูกทำลาย เช่นนั้นแดนปริศนานี้ก็ควรจะกลับมาเป็นของอาจารย์ข้าถึงจะถูก !” สีชูทงหรี่ตาทั้งสองข้างลง แววตาเปล่งประกายออกมา

สีชูทงสามารถฝึกตนจนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ จึงถือว่าไม่ธรรมดา

เขากล้ามาอย่างเปิดเผยและหยิ่งยโสเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะเขาศึกษาศัตรูมาเป็นอย่างดีแล้ว

ตามที่เขารู้มา นอกจากชายหนุ่มที่มีนามว่าหลัวซิวคนนั้นแล้ว ก็ยังมีจักรพรรดิยุทธ์อีกสองท่านก็คือ อาจารย์ตระกูลสวีและเหยียนเยว่เอ๋อร์ คนหนึ่งเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 ส่วนอีกคนเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3

“จักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ สามารถกำจัดได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ !” สีชูทงแสยะยิ้มออกมา เพราะตั้งเขานั้นอยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7

บริเวณโดยรอบอาณาจักรเทียนหวู ผู้ที่อยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์นั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนมากล้วนเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ น้อยนักที่จะเป็นจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง และที่สามารถบรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายขึ้นไป กลับไม่มีเลยสักคน

“ก็แค่ค่ายกลเล็ก ๆ คิดว่าจะขวางข้าได้หรือ ?”

สีชูทงสังเกตเห็นว่าด้านล่างมีม่านแสงของค่ายกลปรากฏขึ้นเป็นระยะ ๆ จึงหัวเราะเยาะออกมาทันที กิเลนอัคคีที่อยู่ใต้เท้าของเขาคำรามออกมาด้วยความโมโห ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าจนบดบังดวงอาทิตย์

เปลวเพลิงที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าโจมตีเข้าใส่แนวค่ายกลคุ้มเขาไม่ยั้ง ทำให้บรรดาช่างฝีมือที่กำลังก่อสร้างห้องใต้หลังคาอยู่ภายในค่ายกล ต่างรู้สึกตกใจไม่น้อย

“แหม ? ดูเหมือนว่ารูปแบบค่ายกลนี้จะไม่เลวเลยนะ……”

วินาทีต่อมา สีหน้าของสีชูทงกลับแข็งทื่อ เพราะการโจมตีของเขาที่พุ่งตรงไปยังม่านแสงของค่ายกลนั้น กลับไม่สามารถทำให้มันสั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อย

เพียงแต่ว่าตอนนี้หลัวซิวยังปิดขังตนเองอยู่ในแดนปริศนา ค่ายกลคุ้มเขานี้จึงไม่มีใครมาคอยควบคุม มิเช่นนั้น ด้วยพลังการโจมตีกลับของค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 สีชูทงซึ่งเป็นเพียงแค่จักรพรรดิยุทธ์ คงไม่คณามืออย่างแน่นอน

และในตอนนี้เอง ตรงขอบฟ้าไกลโพ้น มีร่างร่างหนึ่งกำลังเดินอยู่บนท้องฟ้า และเขาผู้นั้นก็คือผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ ที่ในตอนนั้นหลัวซิวเคยมีวาสนาได้พบกันครั้งหนึ่งที่สำนักเขาสำนักเสวียนหยาง ซุนเชียนซาน !

“书通 นี่คือค่ายกลระดับ 7 อาศัยแค่การฝึกตนของเจ้าไม่สามารถทำลายได้หรอกนะ” ซุนเชียนซางพูดพลางหัวเราะ

“ที่แท้ก็ผู้อาวุโสซุนนี่เอง” เมื่อสีชูทงเห็นซูเชียนซาง ก็ยกมือขึ้นคารวะ

ซุนเชียนซางยิ้มเล็กน้อย “เพื่อจัดการกับสำนักฉางเหอ ตอนนั้นอาจารย์เสวียนหยางมาหาข้า ส่วนอาจารย์ตำหนักจื่อไปหาอาจารย์ของเจ้า แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เจ้าจงกลับไปบอกอาจารย์ของเจ้า ถ้าเขายังอยากจะมีส่วนแบ่งละก็ แผนการจะดำเนินต่อไปตามกำหนด”

“ครับ ผู้น้อยจะนำไปบอกแน่นอน” สีชูทงพยักหน้า

ซุนเชียนซางยิ้ม ดวงตาของเขาจ้องมองลงไปยังค่ายกลคุ้มเขาที่หลัวซิวตั้งเอาไว้

หลังจากไตร่ตรองสักครู่ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกมา แล้วฉีกมันออกอย่างแรง พลังจิตแท้ที่แข็งแกร่งพุ่งตรงไปยังม่านแสงของค่ายกล ราวกับว่าจะฉีกออกให้เป็นช่องว่าง

แต่ม่านแสงของค่ายกลกลับสั่นไหวเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ

ซุนเชียนซางหน้าถอดสีทันที “ก็แค่ค่ายกลระดับ 7 คิดจะขวางข้าอย่างนั้นหรือ ?”

ขณะที่พูด พลังของเขาก็พลุ่งพล่านไปทั่วตัว มีลำแสงสีทองค่อย ๆ ส่องประกายขึ้นทั่วร่างกายของเขา จากนั้นก็มีเงาลวงสีทองรูปร่างเหมือนคนปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ประมาณสิบฟุต

เงาลวงคนสีทองคว้ามือไปในอากาศ จากนั้นก็มีพัดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา เขาออกแรงพัดจนเกิดลมกระโชกแรง พุ่งตรงไปยังม่านแสงของค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง

เงาลวงคนสีทองนี้ เป็นร่างทองฝ่าเซียงที่ปรากฏออกมาจากผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนในระดับมกุฎยุทธ์

แดนจักรพรรดิยุทธ์จะควบรวมเทพจิต และปรากฏเป็นเทพจิตฝ่าเซียง แต่หลังจากที่บรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ เทพจิตกับร่างเนื้อจะผนวกเข้าด้วยกัน และกลายเป็นร่างทอง และสามารถแปลงเป็นร่างทองฝ่าเซียงได้

หากมกุฎยุทธ์หนึ่งคนออกแรงต่อสู้อย่างสุดกำลัง จะทำให้เกิดพลังการต่อสู้อันน่าทึ่งจนหาที่เปรียบไม่ได้ ถึงแม้ในตอนนั้นที่เกิดการต่อสู้กันขึ้นในสำนักเสวียนหยาง พวกของมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวยังไม่ทันได้ต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่กลับปกป้องทุกอย่างเอาไว้ได้

การโจมตีของร่างทองฝ่าเซียงในทุกครั้ง จะทำให้เกิดระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าบนท่านแสงของค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง