บทที่ 1622 - การเสริมพลังลมปราณแรกเริ่ม ความนุ่มนวล

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1622 – การเสริมพลังลมปราณแรกเริ่ม ความนุ่มนวล

 

ถานท่ายหลิงเยียนมองดูชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจและกล่าวเบาๆ “ข้ารู้ถึงการมีอยู่ ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มีการสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูร ข้าก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆอีกเลย”

 

“ก่อนที่ข้าจะมาถึงมหาทวีปอุดรเทวา ข้าได้พบกับผู้ที่แข็งแกร่งบางกลุ่ม พวกเขาเป็นคน จากใต้ทะเลลึก” ชิงสุ่ยนึกถึงพระราชวังฉลามอสูร พระราชวังมังกรสมุทร พระราชวังสุริยา และแม้กระทั่งปราชันย์ศึก

 

“เจ้าเคยได้ยินเรื่องของนิกายอมตะในมหาทวีปอุดรเทวาหรือไม่?” ถานท่ายหลิงเยียนมองชิงสุยด้วยร่องรอยแห่งความหวังในดวงตาของเธอ

 

ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นในหัวใจของชิงสุ่ย ตามที่คาดไว้เธอยังคงไม่สามารถไปที่นิกาย 5 พยัคฆ์อมตะได้ ชิงสุ่ยรู้ถึงมันดี เขารู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้งที่ต้องแบกไว้บนบ่าเมื่อถูกถามถึง เขาไม่สามารถเมินเฉยต่อเรื่องของเธอได้

 

เขาถอนหายใจอย่างนุ่มนวลและตอบ ”ก่อนที่ข้าจะกลับมา ข้าเจอใครบางคนจากนิกายจันทรานิรันกาล พวกเขาเป็นคู่รักฝ่ายชายอยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากันมานานกว่า 10 ปีจากพิษ หากข้าได้กลับไปอีกครั้ง ข้าอาจสามารถรักษาเขาได้ดีขึ้น”

 

ด้วยการแสดงออกทางสายตาของชิงสุ่ย ถานท่ายหลิงเยียนรู้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่ อย่างน้อยที่สุดเธอก็เดาได้ถูกต้อง เธอส่ายหัวขณะรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้ากําลังคิดอะไรอยู่ ไม่จําเป็นต้องรู้สึกกดดัน ข้าไม่มีทางตายง่ายๆ ข้ารอคอยมานานหลายปี ข้าจะไม่ไปที่นั่น หากข้ายังไม่มีกําลังพอ”

 

ชิงสุ่ยมองถานท่ายหลิงเขียนด้วยความประหลาดใจ “โอ๊ะ เด็กน้อยตรงหน้าข้าสามารถมองผู้อื่นออกได้”

 

ถานท่ายหลิงเยียนทําท่าทางไม่พอใจเมื่อมองชิงสุ่ย “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกข้าว่าเด็กน้อย ทําไมเด็กเหลือขออย่างเจ้าถึงชอบทําตัวอาวุโสนัก?”

 

ชิงสุ่ยยิ้ม เขามองดูเธอด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ความคลุมเครือในใจของเขาจางหายไป ด้วยรอยยิ้มของเธอ เขาแทบจะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว มันแสดงให้เห็นว่าชิงสุ่ยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เธอเป็นคนที่สําคัญสําหรับเขา

 

ชิงสุ่ยมองถานท่ายหลิงเยียนที่ไม่เคยมีปฏิกิริยาเช่นนี้มาก่อน “งั้นข้าควรจะเรียกเจ้าว่าป้าเยียนหรือ?”

 

ถานท่ายหลิงเยียนหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะแสดงความโกรธ “ข้าไม่ต้องการหลายชายอายุมากเช่นเจ้า”

 

ชิงสุ่ยยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเขาเห็นท่าทีของถานท่ายหลิงเยียน “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอายุเท่าไหร่ ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าเหมือนเป็นอมตะ”

 

ถานท่ายหลิงเยียนจ้องมองคนพาลตรงหน้าด้วยจิตใจที่สงบนิ่งอย่างน่าประหลาด ในความเป็นจริง เธอไม่เคยรู้สึกโกรธมาก่อน เมื่อเธออยู่กับเขา เธอรู้สึกสงบเสมอ มันราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ตราบใดที่เขาอยู่ด้วย พวกเขาสามารถฟันฝ่าทุกอย่างไปได้

 

“เอาหล่ะ เมื่อพวกเราตัดสินใจได้แล้ว ข้าก็จะเดินทางไปยังมหาทวีปอุดรเทวาและดูมันด้วยตัวเอง” ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวอย่างจริงจังและหันมองชิงสุ่ย

 

“ข้าทนรอไม่ไหวแล้วที่จะไป” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับหัวเราะ

 

ชิงสุ่ยคงไม่กล้าที่จะทําเช่นนี้ในอดีต แต่ตอนี้เขาตระหนักแล้วว่ามีการเชื่อมโยงที่พิเศษบางอย่างระหว่างพวกเขา เขารู้สึกได้ว่าความเกลียดชังที่เธอมีต่อเขาลดน้อยลง

 

“ถ้าหากเจ้าผืนใจ ข้าไปเองเพียงลําพังก็ได้!” ถึงแม้การแสดงออกของถานท่ายหลิงเยียนจะดูสงบ แต่ชิงสุ่ยก็สุขใจกับน้ําเสียงของเธอที่ได้ยิน มีความว้าวุ่นปะปนอยู่ในคําพูดของเธอ

 

“ทําไมข้าถึงจะไม่เต็มใจ? มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องการเลยหล่ะ หลิงเยียน พระราชวังจอมอสูร จะเป็นอย่างไรหากเจ้าจากไป?”

 

ถานท่ายหลิงเยียนเคยยกเว้นการเรียกชื่อเช่นนี้ให้กับชิงสุ่ย ดังนั้นเขาจะเรียกเธอแบบนี้ก็ไม่เป็นไร เธอตอบ “พระราชวังจอมอสูรจะไม่มีอะไร มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเมื่อมีฮัวรูเหม่ย ผู้อาวุโส และคนอื่นๆอยู่”

 

เวลาล่วงเลยไปถึงช่วงบ่าย ชิงสุ่ยเสนอความคิดขึ้น “ข้าอยากเสริมพลังลมปราณแรกเริ่มให้กับเจ้า”

 

ถานท่ายหลิงเยียนไม่สามารถสงบลงได้เมื่อนึกถึงการเผชิญหน้ากันครั้งก่อน เธอเขินอายขณะดูที่จ้องมองชิงสุ่ย เธอพยักหน้าโดยไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร

 

ครั้งล่าสุดนั้นเป็นการฝังเข็ม คราวนี้เป็นการเสริมพลังลมปราณแรกเริ่มให้เธอ มันไม่จําเป็นต้องถอดเสื้อผ้าเปลือยกาย แต่มันก็ยังต้องถอดเสื้อคลุมออก เธอเหลือเพียงเสื้อตัวบางๆ มันดีที่สุดในการสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวเธอ

 

ถานท่ายหลิงเยี่ยนถอดชุดคลุมของเธอออก มันทําให้ชิงสุ่ยนึกย้อนไปยังครั้งแรกที่เขาเห็นเธอ

 

ดวงตาของเธอปิดลง ใบหน้าไร้การแต่งเติมใดๆ แต่ผิวพรรณยังคงความเรียบเนียน เธองดงามอย่างไม่น่าเชื่อและดูราวกับกําลังหลับ

 

เสื้อผ้าสีขาวหิมะของเธอไม่สามารถซ่อนส่วนโค้งเว้าในร่างกายเอาไว้ได้ ไหล่ของเธอเรียวบาง หน้าอกที่อิ่มเอิบทําให้หัวใจของผู้อื่นเต้นระรัว เอวของเธอดูเพรียวอย่างเหลือเชื่อ ร่างกายที่บอบบางของเธอเสมือนรูปปั้นหยกที่เทพเทวาสร้าง ส่วนขานั้นก็ดูขาวเป็นประกาย

 

แม้ในขณะที่เธอหลับตา เธอยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายที่ผู้อื่นไม่อาจล่วงเกิน เธอเป็นผู้หญิงที่เข้าถึงได้ยากที่สุดที่ชิงสุ่ยเคยพบ ไม่ใช่เพราะความเย็นชาของเธอ แต่มันเป็นหยิ่งทะนงและความสูงส่งที่อยู่ในตัวเธอ

 

ตอนนี้เธอกําลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา ชิงสุ่ยไม่สามารถปกปิดความชื่นชมที่มีในตัวเธอได้ เขาส่ายหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวเยียน อย่าได้ถือโทษข้าหากล่วงเกินอะไร มันคงน่าสมเพชมากกว่าถ้าข้าไม่ได้ทํา ข้านั้นเป็นผู้ชาย…”

 

“เจ้ากําลังพยายามบอกใบ้ว่าข้าเป็นฝ่ายผิดหรือเปล่า?” ถานท่ายหลิงเยียนยิ้มเล็กน้อยกับ คําพูดของเธอ เธอไม่ได้กล่าวออกมาเพราะความไม่พอใจ

 

“ความงดงามเป็นสิ่งที่อาจสร้างปัญหาให้กับเมืองน้อยใหญ่ พี่สาว ข้าคิดว่าท่านยอดเยี่ยมกว่า ใครทั้งหมด เพียงรอยยิ้มของท่านก็สามารถโค้นล่มเมืองลงได้ หากท่านปรารถนาที่จะทํา ลายจักรวรรดิ ท่านก็เพียงแค่ต้องยิ้ม”

 

“ข้าไม่สามารถบอกได้ว่านั่นเป็นคําชมหรือการตําหนิ ถานท่ายหลิงเยียนนั่งลงข้างๆชิงสุ่ย มันทําให้หัวใจเขาสั่นไหว

 

“ข้าจะตําหนิเจ้าได้อย่างไร? ข้าไม่กล้าทําเช่นนั้นหรอก” ชิงสุ่ยคว้าโอกาสเอาไว้เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเป็นใจและถานท่ายหลิงเยียนไม่ดูเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

 

ชิงสุ่ยยื่นมือของเขาออกไป เมื่อเธอพยายามถอยกลับ นิ้วมือของเขาก็กดลงบน เส้นเลือดของเธอ มันทําให้ถานท่ายหลิงเยียนหยุดถอยห่าง

 

อ่า มันช่างแสนวิเศษที่ข้าเป็นหมอ ชิงสุ่ยคิด

 

เลือดแห่งจอมอสูรนั้นไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายของถานท่ายหลิงเยียน แต่มันกลับดูบริสุทธิ์ ชิงสุ่ยได้พบผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรมากมาย แต่เขาเชื่อว่าเลือดในร่างกายของคนเหล่านั้นไม่ได้บริสุทธิ์ถึงสักครึ่งหนึ่งของถานท่ายหลิงเยียน

 

ชิงสุ่ยมองไม่ออกว่ามันเป็นข่าวดีหรือไม่ดี มือของเธออบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนหยก เธอสัมผัสไปที่หัวใจของเขาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ขณะที่มือของเขาห่อหุ้มเธอ หลังจากนั้นไม่นานชิงสุ่ยก็เงยหน้าขึ้นแล้วค่อยๆดึงมือกลับ “ตอนนี้พลังของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นมาก พื้นฐานการฝึกฝนก็เช่นกัน”

 

“เช่นนั้นข้ายังคงต้องเสริมพลังลมปราณแรกเริ่มอยู่อีกหรือ?” ถานท่ายหลิงเยี่ยนถามอย่างเร่งรีบ

 

“แน่นอน นั่นเพราะเจ้าก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก แม้พื้นฐานของเจ้าจะดี แต่คนเราก็เปรียบเหมือนที่พํานัก หากส่วนใดส่วนหนึ่งของฐานสูงกว่าอันอื่นมากเกินไป ภาระที่ต้องแบกรับก็จะมีมาก ถ้าไม่เสริมความแข็งแรงเพื่อรองรับให้เท่าๆกัน ความมั่นคงของที่พํานักก็จะสั่นคลอน” ชิงสุ่ยอธิบายด้วยการเปรียบเปรยที่เข้าใจง่าย

 

ชิงสุ่ยสัมผัสได้ถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของถานท่ายหลิงเยียน “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ถอ ดชุดเจ้าออกหรอก”

 

ประโยคนี้ทําให้ถานท่ายหลิงเยี่ยนหน้าแดงก่ํา ถึงกระนั้นเธอก็โล่งใจเมื่อได้ยินคําพูดของเขา ถ้าเธอต้องถอดเสื้อผ้าออก เธอก็ไม่รู้ว่าจะรับได้ไหม ผู้ชายคนนี้จะต้องหาเหตุผลมากล่าวอ้างอย่างแน่นอน โดยไม่รู้ตัว เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองเลิกเมินเฉยต่อเขามากขึ้น มันเกิดขึ้นตอนไหน? เป็นช่วงที่พวกเขาได้อยู่ร่วมกันงั้นหรือ?

 

“ข้าจะโยนเจ้าออกไป หากเจ้าทําอะไรเกินเลย” ถานท่ายหลิงเยียนตะเบ็งเสียง

 

คําพูดของเธอล้วนทําให้ชิงสุ่ยมีความสุข

 

ชิงสุ่ยให้ถานท่ายหลิงเยียนนอนลงบนเตียง ด้วยผ้าปูสีขาวบนเตียง เธอช่างดูมีเสน่ห์และนุ่มนวล ถานท่ายหลิงเขียนนอนลงบนเตียงอย่างเขินอาย มันเป็นภาพที่เกินกว่าจะบรรยาย

 

มือของชิงสุ่ยแตะลงบนไหล่ของเธอและรู้สึกว่าเธอกําลังเกร็ง เขายิ้ม “ไม่ต้องกังวล แม้ว่าข้าจะไม่ใช่สุภาพบุรุษที่ชื่อตรงที่สุด แต่ข้าก็จะไม่ใช้ประโยชน์จากเจ้า ถ้าข้าชอบใคร ข้าก็จะจีบอย่างเปิดเผย

 

ร่างกายของถานท่ายหลิงเยียนผ่อนคลายลงด้วยคําพูดของชิงสุ่ย มือของเขาเริ่มกดลง เขาใช้เทคนิคพิเศษเพื่อเสริมพลังลมปราณแรกเริ่มและกระตุ้นการทํางานของร่างกาย มันเป็นเหมือนการกระตุ้นประสาทของร่างกายเพื่อให้สามารถทําอะไรได้มากขึ้นและดูดซึมยาได้เป็นอย่างดี

 

เทคนิคนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าทักษะหัตถ์พลิ้วไหวสะเทือนวิญญาณ

 

ถานท่ายหลิงเยียนกัดริมฝีปากของเธอและรู้สึกถึงความร้อนจากมือของเขาไหลซึมเข้าสู่ร่างกายของเธอ มันรู้สึกชาไปทุกที่ที่เขาแตะ เธอรั้งตัวเองไม่ให้ส่งเสียงใดๆออกมา เมื่อถึงจุดหนึ่งเธอได้ฝังใบหน้าของตัวเองลงกับเตียง

 

มือของชิงสุ่ยค่อยๆเลื่อนลงมาจนกระทั่งถึงระหว่างเอวและสะโพก ส่วนโค้งเว้านั้นมีแรงดึงดูดที่รุนแรง เมื่อมือของชิงสุ่ย แตะไปที่รอบเอวของถานท่ายหลิงเยียน เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของถานท่ายหลิงเยียนเกร็งไปหมด

 

ตามตรรกะแล้วร่างกายของเธอไม่ควรเกร็งในเวลานี้และในไม่ช้าเขาก็รู้ว่าตัวเองประเมินต่ําไป เขาไม่รู้ว่ารอบเอวเป็นจุดที่อ่อนไหวสําหรับผู้หญิงคนนี้

 

ร่างกายของถานท่ายหลิงเยียนสั่นเล็กน้อยและทําให้ชิงสุ่ยรู้สึกร้อนผ่าว ถึงกระนั้นเขาก็แสร้งทําเป็นว่าเขาไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งใดเลยพร้อมทั้งย้ายไปที่บั้นท้ายและกดไปที่เรียวขาของเธอ

 

หลังจากนั้นเขาก็เริ่มฝังเข็ม มันดําเนินไปอย่างรวดเร็วและเสร็จลงตอนท้องฟ้ามืดสนิท ผลลัพธ์ที่ได้ยังคงน่าพึงพอใจ แม้แต่ชิงสุ่ยก็ตกใจเล็กน้อย เขารู้ว่าถานท่ายหลิงเยียนรู้สึกเขินอาย ดังนั้นเมื่อเขาจะจากไปจึงได้นําผ้าห่มมาคลุมตัวเธอเอาไว้ก่อน

 

ถานท่ายหลิงเยียนเอามือทั้งสองกุมใบหน้าของเธอแล้ววิ่งเข้าไปที่ห้องน้ํา ชุดของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อและเผยให้เห็นเรือนร่าง

 

เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเกิดขึ้นตรงหน้าเขาและเธอก็ไม่แน่ใจว่าชิงสุ่ยเห็นหรือไม่ ถึงกระนั้นเธอก็รู้สึกว่าคนพาลผู้นี้จะต้องเห็น มิฉะนั้นเขาจะไม่จากไปเร็วแบบนี้

 

เมื่อคิดถึงอย่างนั้นเธอก็ยิ้ม เขายังคงเป็นคนมีน้ําใจ

 

หลังอาบน้ํา เธอรู้สึกผ่อนคลายและพอใจเป็นพิเศษ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบาย ในขณะนั้นเธอรู้สึกราวกับว่าวิญญาณราวกับจะหลุดรอยออกจากร่าง