ราชันเร้นลับ 473 : ชายผู้ไร้หน้า

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 473 : ชายผู้ไร้หน้า โดย Ink Stone_Fantasy

วิวทิวทัศน์รอบตัวไคลน์กำลังพร่ามัวไปด้วยสีสันฉูดฉาด ต้องรอให้ผ่านไปสักพัก โลกแห่งภาพสีน้ำมันจึงค่อยเริ่มซีดจาง

เมื่อได้รับการมองเห็น ชายหนุ่มรีบสำรวจรอบตัว และพบว่าตนกำลังอยู่ในอุโมงค์ของบางสิ่ง ไม่ว่าจะซ้ายขวาหน้าหลัง ทุกหนแห่งไปด้วยฉากสุดอลังการเหนือคำบรรยาย

ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่า ฝ่ามืออะซิกซึ่งกำลังจับตนแน่น เริ่มออกอาการสั่นเทา

ยังไม่ทันจะได้ตอบสนอง ไคลน์รู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวอย่างกะทันหัน ก่อนจะหมุนรอบตัวประหนึ่งลูกข่างอย่างหนักหน่วง

สีแดง เหลือง ขาว และดำเริ่มเลือนหายไปจากการมองเห็น ร่างกายชายหนุ่ม ‘หล่น’ ลงมาด้านล่างด้วยความเร็วสูงและกระแทกกับพื้นแข็งเข้าอย่างจัง แรงปะทะส่งผลให้ศีรษะพร้อมด้วยอวัยวะภายในออกอาการปั่นป่วนไปชั่วขณะ

ภาพการมองเห็นไคลน์มีเพียงดวงดาวสีทองหมุนวนโดยรอบอย่างมึนงง ก่อนจะกลับเป็นปรกติในอีกไม่กี่อึดใจถัดมา

เมื่อเงยหน้าขึ้น ฝั่งซ้ายมือคือหุบเขาอันมืดมิดคล้ายกับทางเข้านรกแห่งปีศาจตามคำอธิบายของบันทึกตำนาน ฝั่งขวาคือแนวกำแพงสีเทาทอดยาวขึ้นไปด้านบน คล้ายกับคอยปกคลุมอาณาบริเวณกว้างไกลโดยรอบอย่างทั่วถึง

ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีเมฆ ไม่มีหมอก

ความสว่างบางส่วนมาจากตะไคร่สองแสงตามจุดต่างๆ รอบตัว ไม่เกินจริงไปนักหากจะกล่าวว่า ความมืดมิดอันเข้มข้นคือองค์ประกอบหลักของ ‘มิติ’ ปัจจุบัน

ไคลน์ใช้มือซ้ายดันตัวลุกยืนอย่างชำนาญคล่องแคล่ว ก่อนจะเริ่มพบว่าใต้ฝ่าเท้าของตนมีหินก้อนใหญ่จำนวนมาก ถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบจนกลายเป็นทางเดิน

ถนนฝั่งด้านล่างหมุนวนเป็นเกลียวโดยมีปลายทางคือรอยแยกสีดำมืดสนิท ส่วนถนนฝั่งด้านบนหมุนวนในลักษระตรงกันข้าม เมื่อพยายามแหงนมอง ไคลน์เริ่มมองเห็นเค้าลางของโดมสูงและห้องโถงด้านหลังแนวกำแพง

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น แต่ก็ยังมองไม่เห็นจุดสูงสุดของอาคารเบื้องหน้า ทัศนวิสัยถูกบดบังไว้โดยกำแพงสูงสีเทาอย่างสมบูรณ์

ทันใดนั้น มันเริ่มทบทวนสถานการณ์รอบตัวและจำได้ว่า ตนกับมิสเตอร์อะซิก ‘หล่น’ ลงมายังมิติใต้ดินแห่งนี้ ลักษณะของมันคล้ายกับซากอารยธรรมโบราณสักแห่ง

ถูกส่งมายังเป็นดินแดนแห่งใหม่ หรือว่าเรายังอยู่ในเบ็คลันด์?

ขณะไคลน์ครุ่นคิด เสียงของอะซิกดังแว่ว

“คุณรีบหนีไปก่อน วิ่งขึ้นไปทางด้านบน”

หือ…?

โดยไม่มีโอกาสทำความเข้าใจ อากาศว่างเปล่าทางซ้ายมือไคลน์พลันส่องแสงเจิดจ้าอย่างกะทันหัน ตามด้วยการก่อตัวเป็นบานประตูมายาเปิดจากด้านในสู่ด้านนอก

บานประตูคล้ายกับทำจากทองแดง แต่ด้วยความเป็นภาพมายา ประตูจึงดูกึ่งสมจริงกึ่งเวทมนตร์ ผิวของบานประตูถูกสลักด้วยอักขระพิสดารเบียดเสียด

เพียงชำเลืองมอง ไคลน์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนักอึ้งทันที

ทันใดนั้น เสียงประตูดังเปิดแง้ม ฝ่ามือสีขาวซีดชุ่มเลือกพุ่งพรวดออกจากบานประตูทีละข้าง ตามด้วยเถาวัลย์ยักษ์สีเขียวเข้มซึ่งมีใบหน้าของทารกและหนวดปีศาจ

ลักษณะการใช้งานคล้ายคลึงกับสมบัติวิเศษของชารอน…

ขณะใช้ความคิด ไคลน์เริ่มตระหนักว่าท่อนแขน เถาวัลย์ และหนวดปีศาจมิได้บ้าคลั่งเหมือนกับของชารอนเสียทีเดียว พวกบรรจงสานขัดกันจนมีลักษณะคล้ายกับบันไดทอดยาวลงมาถึงพื้น มิได้เกรี้ยวกราดประหนึ่งพยายามกระชากลำดับ 6 ซอมบี้ เข้าไป

ถัดมา เมื่อบานประตูอ้ากว้าง มนุษย์คนหนึ่งย่างกรายลงมาอย่างไม่รีบร้อน

เป็นชายสวมคลุมชุดนักบวชสีดำทรงโบราณ ใบหน้ากระจ่างชัดและสมส่วน ลักษณะคล้ายกับรูปแกะสลักจากยุคเก่าแก่

เส้นผมสีทองเข้ม ดวงตาน้ำเงินเข้ม ดั้งจมูกสูงโด่ง สวมหมวกใบเล็กซึ่งได้รับความนิยมในหมู่คนสูงอายุ จอนตรงขมับทั้งสองข้างเป็นสีเทา ขัดกันกับหน้าตาวัยกลางคน

เมื่อมองเข้าไปในแววตาอันไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง ไคลน์ไม่มีวันลืมชื่อของบุคคลผู้นี้

อินซ์·แซงวิลล์!

อดีตอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาล ผู้เคยชักใยและวางแผนทำให้เหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็นได้รับความพินาศ รวมถึงยังเป็นเจ้าของสมบัติปิดผนึกรหัส 0-08!

แทบจะในพริบตา ไคลน์หันหลังกลับและรีบสับเต็มฝีเท้าตามคำสั่งของอะซิก ชายหนุ่มเผ่นหน้าตั้งขึ้นไปตามแนวกำแพงหินสีเทาและถนนก้อนหิน อันนำทางไปสู่อาคารด้านบน

มันทราบอย่างเต็มอกว่า ผู้วิเศษลำดับ 6 อย่างตน จะไม่ต่างอะไรกับ ‘ภาระ’ ในสงครามการดวลของครึ่งเทพ

เพื่อแข่งกับเวลา ไคลน์ไม่มัวเสียเวลาประดิษฐ์ถ้อยคำถ่อมตนหรือแสดงความเป็นพระเอกออกมา เพราะนี่คือหนทางรอดเดียวสำหรับตนและอะซิก ในการฝ่าฟันให้พ้นจากวิกฤติปัจจุบัน!

กึก. กึก. กึก.

เมื่อเริ่มตระหนักว่าไม่มีสิ่งใดสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับจุดไฟ ไคลน์ทำเพียงขบกรามกรอดอย่างหัวเสียและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนถึงขีดจำกัดร่างกาย

ขณะวิ่ง สุ้มเสียงอะซิกดังแว่วอ่อนโยน

“หนีจนกว่าคุณจะพ้นจากอันตราย ไม่ต้องห่วงผม ความทรงจำสมัยในอดีตกลับคืนมามากแล้ว ทราบถึงขั้นว่า ผมเคยติดอยู่ในบางลำดับมาเป็นเวลานานนับพันปี โอสถดังกล่าวมีชื่อว่า ‘อมรณา’ ”

กึก. กึก. กึก.

ไคลน์ยังคงวิ่งวนไปตามแนวถนนหิน จนกระทั่งถึงทางเดินยาวระนาบ ด้านบนเป็นหลังคาโดมสูง ผนังสองฝั่งเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมและร่องรอยผุพัง

ทันใดนั้น ชายหนุ่มได้ยินเสียงแหบพร่าแต่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ จากจุดเดิมซึ่งตนและอะซิกถูกส่งเข้ามา

“ตรงนี้ไม่อนุญาตให้เดินทางข้ามมิติ!”

บุคคลผู้หนึ่งปรากฏตัวข้างอินซ์·แซงวิลล์จากความว่างเปล่า มันกำลังลอยตัวกลางอากาศโดยไม่สนกฎเกณฑ์แรงโน้มถ่วงใดๆ

ใบหน้าสวมหน้ากากสีทองหรูหราปกปิด

อินซ์·แซงวิลล์มิได้จู่โจมใส่อย่างบุ่มบ่าม ตรงกันข้าม มันชำเลืองหางมองร่างไคลน์ผู้กำลังวิ่งจากไปไกลทุกขณะ

ในฐานะลำดับ 4 แห่งเส้นทางเทพธิดารัตติกาล ‘ผู้พิทักษ์ราตรี’ อินซ์·แซงวิลล์มีอำนาจในการสร้างความโชคร้ายให้แก่เป้าหมายเล็กน้อย ทว่า แม้มันจะพยายาม ‘อวยพร’ ไคลน์ด้วยสายตาอยู่พักใหญ่ แต่ชายหนุ่มกลับไม่ประสบอุบัติเหตุลื่นล้มหรือหล่นลงไปในหุบเหวลึกตามความต้องการ

ไม่เพียงเท่านั้น อินซ์·แซงวิลล์รู้สึกคล้ายกับตนได้เห็นภาพหลอนของกลุ่มหมอกสีเทา

โดยไม่มัวคิดให้ปวดหัว มันเบือนหน้ากลับมาสนใจอะซิก·อายเกส

กึก. กึก. กึก.

ขณะกำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ไคลน์เกิดชะงักกะทันหันเนื่องจากสัมผัสวิญญาณระบุชัดเจนว่าข้างหน้ามีคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มผู้วิเศษ!

ต้องเป็นองครักษ์แน่… หลังจากยืนพินิจพิเคราะห์ ชายหนุ่มยกมือซ้ายขึ้นมาปาดใบหน้า

โดยไม่ต้องรอนาน เสียงกระดูกลั่นเริ่มดังเล็ดลอดออกมาอย่างแผ่วเบา พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของส่วนสูงราวเจ็ดถึงแปดเซนติเมตร

เมื่อมือซ้ายพ้นจากใบหน้า มันได้กลายเป็นชายวัยกลางคน ดวงตาข้างเดียว เส้นผมสีทองเข้มและดั้งจมูกโด่ง อินซ์·แซงวิลล์!

หลังจากยืนนึกทบทวนการแต่งกายของอีกฝ่าย ไคลน์อาศัยเวทมนตร์ลวงตาเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าของตนพร้อมกับเดินเข้าไปในโถงทางเดินใหญ่ของอาคาร

องครักษ์สวมเกราะดำสี่คนพลันหันมาจ้อง

สีหน้าของไคลน์ยังคงเยือกเย็นขณะย่างกรายเข้าใกล้ ก่อนจะดัดเสียงให้แหบและกล่าวด้วยมาดเคร่งขรึม

“มีผู้บุกรุก! ฉันกำลังตามล่ามันอยู่ พวกนายพบเบาะแสบ้างไหม”

หัวหน้าองครักษ์สำรวจชายหนุ่มหัวจรดเท้าหนึ่งรอบ จึงค่อยก้มหน้าและมอบคำตอบด้วยน้ำเสียงสำรวม

“มิสเตอร์แซงวิลล์ ยังไม่มีความผิดปรกติใดเกิดขึ้นภายในครับ”

“เข้าใจแล้ว” ไคลน์พยักหน้ารับและเดินผ่านเข้าไปในห้องโถง

ตลอดขั้นตอนทั้งหมด แม้ว่าภายในจะกำลังประหวั่นและชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไคลเต็มแผ่นหลัง แต่ภายนอกยังคงแผ่กลิ่นอายสง่างามอันน่าเกรงขามของอินซ์·แซงวิลล์อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะในเชิงกายภาพหรือเชิงออร่า

อาศัยพลังผู้ไร้หน้าและการย่ำเท้าถี่ ชายหนุ่มผ่านสามจุดตรวจด้านในอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งส่งตัวเองมาถึงส่วนลึกสุดของอาคารปริศนา

ในห้องถัดไปมีบานประตูมายาส่องแสงสีฟ้าอ่อนล่องลอย มองผิวเผินจะคล้ายกับแสงภูตผี หน้าประตูถูกคุ้มกันด้วยองครักษ์จำนวนหนึ่งอย่างแน่นหนา

แม้จะกังวลเกี่ยวกับศึกระหว่างครึ่งเทพด้านนอก แต่ไคลน์ก็ไม่คิดย้อนกลับไปช่วย เพียงซุ่มรอในเงามืดอย่างใจเย็น คอยสำรวจพฤติกรรมของผู้คนผ่านไปผ่านมา

จนกระทั่งพบว่า ประตูแสงผีบานนี้สามารถใช้ออกไปข้างนอกและกลับเข้ามา

แต่ก่อนจะผ่านประตูเข้าไป ทุกคนต้องแสดงบัตรผ่านลักษณะคล้ายตราสัญลักษณ์ต่อกลุ่มองครักษ์ อีกฝ่ายจึงจะอนุญาต

…เราไม่มีเวลามากพอจะรอให้เหยื่อถือบัตรผ่านคนถัดไปหลงเข้ามา คงมีแม้ต้องลองเสี่ยงเท่านั้น… การต่อสู้ของครึ่งเทพสามารถจบลงได้ทุกเมื่อ… หรือต่อให้ยังไม่จบ แต่พวกมันก็น่าจะสั่งให้คนในนี้ตามหาตัวเรา…

ไคลน์ตัดสินใจฉับไว มันเดินออกไปอีกครั้งในมาดของอินซ์·แซงวิลล์

“มีบางสิ่งเกิดขึ้นด้านนอก” ชายหนุ่มไม่มั่นใจการเลียนเสียงให้เหมือนอินซ์·แซงวิลล์สักเท่าไร จึงจงใจดัดให้แหบพร่า กลบเกลื่อนโดยแสร้งทำเป็นเหนื่อยล้าจากการต่อสู้

องครักษ์ทำหน้าตกใจเมื่อได้ทราบข่าวใหม่ แต่ก็หยุดพฤติกรรมไว้แค่นั้น

จนกระทั่งไคลน์ย่างกรายเข้าใกล้บานประตู องครักษ์คนหนึ่งยื่นแขนออกมาขวาง

“มิสเตอร์แซงวิลล์ ได้โปรดแสดงบัตรผ่านด้วยครับ”

“รีบๆ หน่อย!” ขณะแผดเสียงตวาด ไคลน์ควักบัตรผ่านออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ทและยื่นให้องครักษ์คนหนึ่ง

ท่าทีใจเย็นและเป็นไปตามธรรมชาติของชายหนุ่มช่วยให้อีกฝ่ายตายใจ

ขณะพวกมันกำลังก้มมองเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของบัตรผ่าน ไคลน์ฉวยโอกาสกระโจนไปข้างหน้าโดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว!

เมื่อกลิ้งถึงพื้น ชายหนุ่มม้วนตัวอีกหนึ่งตลบอย่างชำนาญ ส่งร่างกายผ่านพ้นบานประตูแสงผีสีฟ้าอ่อนในพริบตา!

กว่าจะรู้ตัวเมื่อสาย ตราสัญลักษณ์ในมือองครักษ์ได้กลายเป็นเพียงเศษกระดาษ

มุมกระดาษฝั่งซ้ายบนมีข้อความเขียนไว้ด้วยภาษาโลเอ็นว่า :

“สุขสันต์วันปีใหม่!”

รอยแยกสีดำมืดคล้ายนรกเบื้องล่างเต็มไปด้วยของเหลวเหนียวข้นกึ่งมายา ผิวน้ำมีฟองผุดตลอดเวลา ท่อนแขนสีขาวซีดจำนวนมากเหยียดออกมาประหนึ่งหวังไขว่คว้าบางสิ่ง

อินซ์·แซงวิลล์ย่อมทราบถึงความแข็งแกร่งของอะซิก·อายเกสอย่างคร่าว แต่มันหาได้แสดงสีหน้าตกใจหรือหวาดกลัว เนื่องจากตนมีผู้ช่วยเป็นถึงครึ่งเทพอีกหนึ่งตน

ความกังวลของมันอยู่ตรงอื่น สิ่งนั้นคือปากกาขนนกสุดบัดซบ 0-08 ซึ่งสามารถเขียนเรื่องราวได้เอง และส่วนมากมักเป็นเรื่องราวอันจะทำให้ตัวมันเกิดความฉิบหาย!

ทันใดนั้น เมื่อใช้มุมสายตาเหลือบไปมอง อินซ์·แซงวิลล์พลันเผยสีหน้าประหลาดใจสุดขีด เนื่องจากปากกาขนนกสุดแสบได้ลอยออกไปจากกระเป๋าโดยไม่รู้ตัว และกำลังเขียนบางสิ่งลงบนกำแพงหินสีเทา!

“…ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น เข็มขัดของอินซ์·แซงวิลล์เกิดฉีกขาดกะทันหัน จนขอบกางเกงหลุดลงไปกองอยู่กับตาตุ่ม”

รอบตัวไคลน์กำลังเต็มไปด้วยแสงสีฟ้าอ่อน มันตระหนักว่าตนกำลังอยู่ภายในอุโมงค์ลึกลับของบางสิ่ง เบื้องหน้ามีม่านแสงซ้อนทับหลายชั้น ซ้ายขวาเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตล่องหนแหวกว่ายไปมา

ไคลน์ไม่มัวเสียเวลาสำรวจ มันรีบนำพาตัวเองไปยังอีกฝั่งของอุโมงค์โดยเร็ว

ก่อนจะถึงทางออก ชายหนุ่มจัดระเบียบเครื่องแต่งกายอีกครั้งให้เหมือนกับไม่มีความทุลักทุเลเกิดขึ้น จากนั้นจึงเดินผ่านม่านแสงลักษณะคล้ายคลื่นน้ำเข้าไป

ภาพการมองเห็นเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย

เพียงไม่นาน ไคลน์พบว่าตัวเองถูกส่งออกมายังอีกห้องโถงหนึ่ง รอบตัวมีองครักษ์สองสามคนคอยอารักษ์เหมือนกับอีกฝั่ง

“มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นใต้ดิน คอยจับตามองเอาไว้ให้ดี ห้ามมิให้ผู้ใดผ่านเข้าออกโดยเด็ดขาด” ไคลน์มอบคำสั่งอย่างสุขุมลุ่มลึก ตามด้วยการเดินออกจากประตูห้องโถงโดยไม่รีบร้อน

“รับทราบครับ! มิสเตอร์แซงวิลล์!” องครักษ์ขานรับแข็งขันไล่หลัง

ผ่านไปเพียงครู่เดียว องครักษ์จากอีกฝั่งได้ผ่านอุโมงค์แสงเข้ามาและรีบตะโกนโหวกเหวกอย่างลนลาน

“อินซ์·แซงวิลล์คนเมื่อครู่มีพิรุธ!”

ทุกคนรีบหันกลับไปทางประตูห้องโถง แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

กึก. กึก. กึก.

องครักษ์รีบกระจายตัวออกตามหาทุกซอกมุมของอาคาร พวกมันคอยเน้นย้ำกับทุกคนตลอดทางว่า ‘อินซ์·แซงวิลล์มีพิรุธ’

บรรยากาศเป็นไปในทำนองโกลาหล

ผ่านไปสักพัก องครักษ์คนหนึ่งหักเลี้ยวมุมทางเดินและพบกับแผ่นหลังอินซ์·แซงวิลล์เข้าโดยบังเอิญ

โดยไม่รีรอ มันรีบชักดาบอาบสายฟ้าออกมากำแน่นตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพุ่งฟันใส่ด้วยท่วงท่าเกรี้ยวกราด

แคว่ก!

‘อินซ์·แซงวิลล์’ ลอยปลิวและฉีกขาดเหมือนกับกระดาษ

พร้อมกันนั้น เสียงปืนดังสนั่นสองนัดซ้อนจากมุมมืด กระสุนสีทองอ่อนพุ่งใส่บริเวณกะบังหน้าของหมวกเหล็กซึ่งไม่ถูกเลื่อนลงมาปิด หัวกระสุนทะลวงผ่านเนื้อหนังมนุษย์และทำลายทุกสิ่งบนเส้นทาง

ไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงร้อง องครักษ์โชคร้ายทรุดลงบนพื้นด้วยร่างกายชักกระตุก

ไคลน์โผล่ออกจากเงามืดตรงมุมทางเดิน พลางเก็บลูกโม่ดัดแปลงกลับเข้าซองปืนรักแร้ด้วยสีหน้าเย็นชา

มันเผาเศษกระดาษรูปคนทิ้ง ก่อนจะลากองครักษ์เข้าไปซ่อนในอีกห้อง และนำชุดเกราะสีดำของศพมาสวมแทน ใบหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นองครักษ์คนดังกล่าว

ถัดมา ไคลน์ก้มหยิบดาบอาบสายฟ้าและเดินออกจากห้องด้วยประตูอีกฝั่ง

มันเริ่มวิ่งด้วยสีหน้า ‘แตกตื่น’

ไคลน์เตรียมบอกกับ ‘พวกพ้อง’ ทุกคนว่า มีบางสิ่งผิดปรกติเกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์!

……………………