บทที่ 1830 หากว่ามีชาติหน้า ข้าจะขอไม่รู้จักเจ้าอีกแล้ว…

พนักพิงเย็นเฉียบ หัวใจของเธอก็หนาวเหน็บเช่นกัน

เธอค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้โยกที่ตี้ฝูอีเคยนั่ง โอบกอดพนักพิงไว้ราวกับต้องการค้นหากลิ่นอายไออุ่นของเขา แน่นอนว่าย่อมผิดหวัง

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นคนที่มีชีวิตชีวาถึงเพียงนั้น เคยหงายมือเคลื่อนเมฆาคว่ำมือก่อพิรุณบนแผ่นดินนี้ แต่ยามนี้พอล่วงลับดับขันธ์ไป กลับไม่มีร่องรอยของเขากลิ่นอายของเขาหลงเหลืออยู่บนโลกนี้เลย มีเพียงเธอเท่านั้นที่ยังจดจำเขาได้ ทว่าไม่อาจพบเขาได้อีกแล้ว…

เธอพลิกกายนั่งเอนลงไป เงยหน้ามองดวงดาวบนฟากฟ้า แหงนหน้ามองดาวดวงใหญ่ที่โดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่กลางนภาดวงนั้น นัยน์ตาพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ เธอยกมือขึ้นลูบดู ทว่ามือกลับเปรอะด้วยคราบน้ำ…

เธอมองดูมือตนอย่างทึ่มทื่อ จากนั้นก็ใช้มือขยี้ตาตน น้ำตาไหลออกมาตามง่ามนิ้วเธอ…

เธอควบคุมตัวเองได้เสมอมา ต่อให้ร้องไห้ก็เป็นการร้องอย่างเงียบๆ อยู่เสมอ

ยิ่งน้ำตาไหลมากขึ้นเท่าไหร่ ความสิ้นหวังในใจก็ยิ่งหนักหนาขึ้นเท่านั้น…

ความกังวลและสับสนในหลายวันมานี้ ความสิ้นหวังและอับจนหนทางทั้งวันนี้ ทับถมเข้าด้วยกัน ในที่สุดก็ทำให้รับไม่ไหวอีกต่อไป…

ในตำหนักแก้วผลึกแห่งนี้ไร้ผู้คน และเธอก็ควบคุมอารมณ์ต่อไปไม่ไหวแล้ว สุดท้ายจึงร้องไห้โฮออกมาอย่างแตกสลาย

“ตี้ฝูอี ข้าเกลียดเจ้า!”

“ตี้ฝูอี เจ้าออกมาหาข้าเลยนะ…”

“ตี้ฝูอี ข้าได้รับบาดเจ็บในแดนต้องห้าม ถูกมังกรกัดแขนไปทีหนึ่ง เจ็บจะตายแล้ว! ข้าอดทนไว้ไม่ได้พูดออกมา เจ้าออกมาดูอาการข้าสิ…”

เธอเลิกแขนเสื้อขึ้น เผยท่อนแขนเหวอะหวะโชกเลือด…

แต่ว่าคนที่คอยห่วงใยเธอคนนั้นจะไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว ต่อให้เธอบาดเจ็บปางตายเขาก็จะไม่โผล่หน้ามาให้เธอเห็นอีกแล้ว

เธอพลิกตัวโอบกอดเก้าอี้โยกที่ตี้ฝูอีเคยนั่ง ร้องไห้อย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

ดวงดาวบนฟากฟ้ามากมายถึงเพียงนั้น แต่ว่าไม่มีดาวดวงนั้นที่เธออยากเห็นอีกแล้ว

เธอร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง เสียงร้องไห้ก้องสะท้อนไปทั่วตำหนักแก้วผลึก ทำให้พืชพรรณที่มีชีวิตชีวานในตำหนักเหล่านั้นสั่นไหวไปด้วย ราวกับว่ากำลังร่ำไห้ไปกับเธอด้วย…

ภายในตำหนักมีสายลมโชยมา พัดต้องอาภรณ์ของเธอให้ปลิวไสว และทำให้เงาร่างของเธอดูเดียวดายยิ่งกว่าเดิม

เธอก็รู้เหมือนกันว่าร้องไห้อยู่นานแค่ไหน ร้องจนสมองมึนงง ร้องจนสมองพร่าเบลอ

ในที่สุดเธอก็หยุดร้องไห้แล้ว ร้องเสียจนลำคอแหบแห้งไปหมดแล้ว

จากนั้นเธอเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างทึ่มทื่อ เงาร่างของตี้ฝูอีสั่นไหวอยู่ในม่านน้ำตา จากนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป…

ต่อมาเธอก็ค้นพบสิ่งที่ทำให้ตื่นตระหนก ความทรงจำที่เธอมีต่อตี้ฝูอีเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ แรกสุดคือดวงหน้าที่ชัดเจนเริ่มพร่าเลือนไป ราวกับว่าในสมองของเธอมีบางสิ่งทำลังออกฤทธิ์อยู่ ค่อยๆ ลบเลือนความทรงจำที่เธอมีต่อตี้ฝูอีไปทีละนิด…

มือเท้าของเอเย็นเฉียบทันที! หรือว่าเธอก็จะลืมเขาไปด้วย?!

ไม่เอานะ!

เธอไม่ต้องการให้โลกใบนี้ลืมเขา ไม่ต้องการให้ตัวเองลืมเขา! หากว่าแม้แต่ตัวเธอก็ลืมเขาไปด้วย เช่นนั้นตัวเขาก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์จริงๆ…

เขาทำเพื่อเธอมากมายขนาดนั้น ทำเพื่อโลกใบนี้มากมายถึงเพียงนั้นทำไมต้องลบทิ้งไปเช่นนี้ด้วย?

เธอจะเก็บเขาไว้!

เธอตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ชักกริชเล่มหนึ่งออกมา วิ่งไปที่หน้าโขดหินก้อนหนึ่ง ตวัดกริชสลักชื่อของเขาลงบนนั้น…ตี้ฝูอี

นามนี้สำหรับเธอแล้วทั้งอบอุ่นทั้งปวดร้าว แต่ละเส้นสายราวกับจะสลักลงบนหัวใจของเธอ

สิ่งที่เธอนึกไม่ถึงคือ หลังจากเธอสลักอักษรสามตัวนี้ลงไป อักษรสามตัวนี้กลับเลือนหายไปทันที ราวกับว่าในอากาศมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งคอยลบชื่อของเขาทิ้งไป

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?!

แม้แต่ชื่อของเขาก็เก็บไว้ไม่ได้เหรอ?!

ที่แท้แล้วเขาทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมอันใด สวรรค์จึงปฏิบัติด้วยเช่นนี้?!

ความโกรธเกรี้ยวสุมเต็มทรวงกู้ซีจิ่ว เธอสลักชื่อของเขาลงบนโขดหินรอบแล้วรอบเล่าอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ตี้ฝูอี หวงถู…

เธอสลักสองนามนี้ สลักสองนามนี้ลงไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณตน…

สลักหนึ่งครั้งก็ถูกลบทิ้งหนึ่งครั้ง…

สลักด้วยวิธีธรรมดาไม่ได้เธอจึงใช้พลังวิญญาณสลักลงไป สุดท้ายเธอก็กัดนิ้วตัวเองแล้วใช้เลือดขีดเขียนลงไป…

แต่ว่า…ไม่ได้ผล!

สองนามนี้คล้ายจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามของโลกใบนี้ไปแล้ว ไมว่าเธอจะใช้วิธีไหนสลักล้วนไม่อาจเหลือไว้ได้ เธอมองสองชื่อนี้เลือนหายไปต่อหน้ารอบแล้วรอบเล่าอย่างสิ้นหวัง…

ตี้ฝูอี ข้าควรทำยังไงดีถึงจะเก็บท่านไว้ได้?

จะเหลือร่องรอยของท่านไว้บนโลกนี้แม้เพียงนิดอย่างไรดี?

เธอทึ่มทื่อเหม่อลอยอยู่หน้าโขดหิน ทันใดนั้นคล้ายว่าจะนึกอะไรขึ้นได้ ใช้กริชในมือสลักบทกลอนลงไปอย่างรวดเร็วสองประโยค ‘เรื่องจบสะบัดแขนเสื้อจาก ไม่หลงเหลือนามและกายา’

หลังสลักเสร็จเธอก็กลั้นหายใจรออยู่ครู่หนึ่ง สองประโยคนี้ยังคงอยู่! สองประโยคนี้ไม่ถูกลบทิ้งไป

ดีเหลือเกิน เช่นนั้นเธอจะสลักกลอนสองประโยคนี้!

จิตใจเธอฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย เริ่มสลักบทกลอนสองประโยคนี้ลงไปในทุกแห่งที่สามารถสลักอักษรได้ของตำหนักแก้วผลึก…

สองชั่วยามผ่านไป ทุกแห่งในตำหนักแก้วผลึกที่สามารถสลักอักษรได้ล้วนถูกเธอสลักกลอนสองประโยคนี้ลงไป เธอยังสลักคำว่า ‘สะบัดแขนเสื้อ’ (ฝูอี) สองคำนี้ให้ใหญ่เป็นพิเศษ สะดุดตาเป็นพิเศษ…

สุดท้าย เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกมองอักษรที่ถูกเธอสลักไว้จนเนืองแน่น มองบทกลอนสองประโยคนั้น เรื่องจบสะบัดแขนเสื้อจาก ไม่หลงเหลือนามและกายา

จู่ๆ คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยพึมพำ “ตี้ฝูอี ท่านตั้งนามแฝงเช่นนี้ เป็นการบอกถึงจุดจบเช่นในวันนี้ไว้ล่วงหน้าใช่หรือไม่?”

เธอเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง “ตี้ฝูอี เจ้ารู้แต่แรกแล้วว่าจะมีวันนี้ ใช่ไหม?!”

เจ้าสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างผ่าเผย! ทว่าทิ้งให้ข้าเดียวดายอยู่บนโลกใบนี้…

ตี้ฝูอี ข้าเกลียดเจ้า ข้าเกลียดเจ้า…

หากว่ามีชาติหน้า ข้าจะขอไม่รู้จักเจ้าอีกแล้ว…

เธอยิ้มทั้งน้ำตา เอนหลังอยู่บนเก้าอี้โยกตัวนั้นอย่างอ้างว้างเงยหน้ามองดาวฤกษ์ดวงใหญ่ที่จรัสแสงเจ็ดสีบนฟากฟ้าดวงนั้น…

บนโลกใบนี้ จะไม่มีใครนอนดูดาวเป็นเพื่อนเธอที่นี่อีกแล้ว จะไม่มีใครใช้เสื้อคลุมตัวนอกห่มให้ยามเธอหลับใหล ให้เธอได้ซุกอยู่ในอ้อมกอดอีกแล้ว

เธอกระซิบฮัมเนื้อเพลงไม่กี่ประโยค ‘มองไม่กระจ่าง บังเอิญพบพานกันแต่แรกคือสาเหตุ การรั้งรอก่อจิตให้เสื่อมถอย กลับกลายเป็นผู้อื่นเกิดจิตมาร พรากจากยากติดตาม แสงจันทราในวันวานสูญเปล่า…เคยมอบสัตย์สิบปีในโลกหล้า กระบี่ตำราพเนจรจากจบ จอนผมงามสง่าล้วนเป็นเพียงมายาฝัน…’

หลายวันมานี้เธอเหนื่อยล้าเกินไป ตรากตรำอยู่หลายวัน ไม่ได้นอนมาหลายคืน รอนแรมนับพันลี้สุดท้ายแล้วกลับว่างดปล่า

ท้ายที่สุดเธอก็ผล็อยหลับไป…

หยกนภาบนข้อมือเธอที่ก่อนหน้านี้แกล้งตายมาโดยตลอด ยามนี้กลับค่อยๆ เปล่งแสงออกมา

‘เจ้านาย เมื่อก่อนตี้ฝูอีก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหลังจากดับขันธ์แล้วสวรรค์จะลบทุกสิ่งของเขาไปจากโลกใบนี้…’

‘เจ้านาย นี่คือเงื่อนไขที่ตี้ฝูอีต่อรองกับสวรรค์ เพื่อคืนชีพให้ท่านก่อนกำหนด เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านถูกสวรรค์เอาคืน เขาจึงแบกรับโทษทัณฑ์ทั้งหมดเอาไว้ สวรรค์จะไม่ลงโทษท่านอีก แต่จะลบทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเขา ขจัดทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเขา คุณงามความดีทุกอย่างล้วนมลายสูญ…’

‘มนุษย์ล้วนประสงค์จะทิ้งบางสิ่งไว้บนโลกนี้ หากมิใช่ชื่อเสียงดีงามสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน ก็เป็นชื่อเสียงต่ำทรามที่สืบทอดกันไปชั่วลูกชั่วหลาน เพียงให้ได้หลงเหลือนามของตน เรื่องราวของตนไว้ แต่เขากลับหลงเหลือสิ่งใดไว้ไม่ได้เลย…เจ้านาน ท่านไม่ควรเกลียดเขา…’

หยกนภาแสดงข้อความอยู่ในใจเงียบๆ แก้ต่างให้ตี้ฝูอี

‘เจ้านาย ลืมเขาซะเถอะ! ท่านเก็บความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเขาไว้ไม่ได้หรอก ’การเก็บความทรงจำส่วนนี้ไว้มีแต่จะทำให้ท่านเจ็บปวดยิ่งขึ้น…’

‘เจ้านาย ในสายตาของสวรรค์ท่านเป็นตัวประหลาดที่ไม่อาจควบคุมได้เสมอมา อันที่จริงครั้งนี้ทันทีที่ท่านออกจากแดนต้องห้ามก็สมควรจะลืมเลือนเขาไปทันที กลับคาดไม่ถึงว่าท่านยังคงจำได้ทุกอย่าง…เพียงแต่ก็ไม่อาจจำได้ยืนยาวนัก ท่านไม่สามารถต่อต้านสวรรค์โดยสมบูรณ์ได้…หลับสักงีบเถอะ เมื่อตื่นขึ้นมาท่านก็จะกลายเป็นตัวท่านคนใหม่อย่างสมบูรณ์ จะจดจำโศกนาฏกรรมรักครั้งนี้ไม่ได้อีกแล้ว…’

———————————————-