ภาคที่ 5 บทที่ 50 ยินดีร่วมเป็นร่วมตาย

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คนผู้นี้คือใคร?

ข้า?

ไม่ได้บอกว่าเสียนอ๋องมาหรือ?

ลูกชายของเสียนอ๋องรึ?

ชาวบ้านทั้งหลายมองเด็กน้อยคนนี้ อายุของเขาแปดเก้าปี ไม่อ้วนไม่ผอมสะอาดสะอ้าน สีหน้าแดงเรื่อมีชีวิตชีวา เครื่องหน้าทั้งห้าไม่คล้ายเสียนอ๋อง

ที่จริงเสียนอ๋องหน้าตาเป็นอย่างไรทุกคนก็ไม่รู้ อ้วนเกินไปแล้วมองไม่ออก

แต่บุตรชายของเสียนอ๋องอาจเรียกตนเองว่าข้า

ถ้าเช่นนั้นเด็กคนนี้ก็คือ…

“ไหวอ๋องหรือ?”

ในฝูงชนพลันมีผู้เฒ่าอายุมากเอ่ยถาม

คำนี้ทำให้คนมากมายตะลึงไป ชั่วขณะคิดไม่ออกว่าไหวอ๋องคือใคร แต่จากนั้นก็ล้วนนึกขึ้นได้ว่าไหวอ๋องเป็นใคร

นึกไม่ออกเพราะยามปกติเอ่ยถึงน้อยนัก และที่ยามปกติเอ่ยถึงน้อยนักก็เพราะฐานะของไหวอ๋อง แต่ก็เพราะฐานะอันนี้ คนทุกคนจึงไม่ใช่ไม่คุ้นเคยกับเขาด้วย

“ไหวอ๋อง!”

“นี่ก็คือไหวอ๋องหรือ!”

“ใช่ไหวอ๋องจริงหรือ?”

ทุกคนล้วนยังจดจำอดีตองค์รัชทายาทได้ อย่างไรเขาก็มักจะออกหน้าแทนฮ่องเต้ ชาวบ้านทั้งหลายก็เคยเห็น แต่พระราชนัดดาคนนี้แทบไม่มีใครเคยเห็น

เขาเกิดมาช้า อายุน้อยน้อยครั้งจะถูกพามาเบื้องหน้าผู้คน ไม่นานนักอดีตองค์รัชทายาทก็สิ้นพระชนม์ ส่วนเขาก็ถูกขังอยู่ในวังอ๋องทันที ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีก กระทั่งนามก็ไม่ถูกผู้คนเอ่ยถึง

เด็กน้อยคนนี้โตปานนี้แล้ว

หน้าตาน่ามองพอตัวเชียว

เติบโตมามีสง่าราศีทั้งยังสง่างามดูสูงส่ง

ฝูงชนแห่แหนมาพักหนึ่ง ชั่วขณะลืมอันตรายและความหวาดกลัวที่ข้าศึกประชิดเมืองไป ล้อมมุงดูด้วยความสงสัยใคร่รู้เต็มเปี่ยม

องครักษ์รอบด้านขวางฝูงชนไว้ จิ่วหรงผู้ยืนอยู่บนรถมือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำนิดๆ แสดงให้เห็นว่าเด็กน้อยคนนี้เวลานี้ในใจตื่นเต้นอยู่

ประชาชนทั้งหลายไม่เคยเห็นเขา เขาไยไม่ใช่ไม่เคยพบคน ไม่เคยพบคนมากกายเช่นนี้ดุจเดียวกัน

ยามยังเล็กอยู่ในวังหลวง เบื้องหน้ามีเพียงขันทีนางกำนัลรวมถึงคนไม่กี่คนในวัง หลังจากนั้นมาถึงวังไหวอ๋อง คนที่พบก็ยิ่งน้อยแล้ว

เขาคงตื่นเต้นมากหวาดกลัวมากสินะ คงไม่รู้ว่าควรพูดอะไรสินะ อย่างไรแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับประชาชนมาก่อน

มือด้านหน้าลำตัวของคุณหนูจวินกำแน่น นางควรเข้าไปเอ่ยแทนจิ่วหรงสักหลายประโยค ช่วยเขาปลอบประชาชน

แต่นางยังคงยืนอยู่ไม่ขยับ เพียงมองจิ่วหรงที่อยู่บนรถบนถนนหน้าประตูเมือง

“ใช่ ข้าคือไหวอ๋อง” เขาเอ่ย เสียงแม้สั่นอยู่บ้าง แต่ถ้อยคำเอ่ยชัดเจนดังกังวาน

แม้เดาได้ แต่ได้ยินเขายอมรับชัดๆ ชาวบ้านทั้งหลายก็ยังฮือฮาแห่มารุมล้อมพักหนึ่ง เหล่าองครักษ์แทบจะขวางไว้ไม่อยู่อยู่บ้าง

จิ่วหรงไม่ได้ตกใจถอยหลัง เขากลับย่อตัวนิดหนึ่งกระโดดตุบลงมาจากบนรถม้า

เฉกเช่นเด็กผู้ชายซุกซนที่ชอบขยับทั้งมวล การเคลื่อนไหวนี้ของเขาชำนาญ เห็นชัดยิ่งว่าทำเช่นนี้บ่อยๆ

ใสซื่อ เหมือนเด็กน้อยทั้งหลายข้างตัวตนเอง นี่ทำให้ชาวบ้านรอบด้านมีความรู้สึกใกล้ชิดเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง

“ข้าได้ยินว่าชาวจินบุกมาแล้ว รู้สึกละอายยิ่ง” จิ่วหรงยืนอยู่ข้างรถ มองประชาชนรอบด้าน บนใบหน้าน้อยๆ เผยความละอายอยู่บ้างจริงๆ “ราชสำนักจัดการไม่ดีทำให้ทุกคนลำบากแล้ว”

เดิมทีเด็กน้อยคนหนึ่งเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้แต่ทำให้คนรู้สึกน่าขำ แต่ด้วยฐานะของเด็กคนนี้ ชาวบ้านทั้งหลายพลันรู้สึกว่าได้รับความอยุติธรรมอย่างปะหลาด

เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นแต่ปิดบังพวกเขา ฮ่องเต้ยังหนีไปแล้ว ในที่สุดก็มีใครคนหนึ่งก้าวออกมาเอ่ยว่าละอาย แม้เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่เขาแซ่ฉู่ บิดาของเขาเคยเป็นองค์รัชทายาท ส่วนเขาก็เคยเป็นว่าที่องค์รัชทายาท

เขาเป็นถึงคนที่เดิมทีต้องเป็นฮ่องเต้

นี่ก็คือคนที่มีสายเลือดมังกรอย่างแท้จริง

“แต่ เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เอ่ยว่าละอายเอ่ยว่าเสียใจล้วนไร้ประโยชน์ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเราต้องปกป้องเมืองหลวงไว้ ปกป้องครอบครัวของพวกเราไว้” จิ่วหรงเอ่ยต่อ พลางเดินไปหาประชาชน

องครักษ์ทั้งหลายลังเลนิดหนึ่งก็หลีกทางให้ เห็นเขาเดินเข้ามาประชาชนทั้งหลายก็หลีกทางให้เช่นกัน

“พวกเจ้าอย่าได้กลัว พวกเขามา พวกเราก็สู้กับพวกเขา” เขาเดินไปพลางเอ่ยไปพลาง

อย่างไรก็เป็นเด็กน้อย ไม่รู้ว่าชาวจินน่ากลัวเพียงไรกระมัง

“องค์ชาย สู้ไม่ไหวหรอก…” ชาวบ้านคนหนึ่งอดไม่ได้เช็ดน้ำตาเอ่ย

“ยังไม่สู้ ทำไมรู้ว่าสู้ไม่ไหวแล้วเล่า?” จิ่วหรงมองเขา แม้ร่างเล็กจ้อย แต่ร่างกายเหยียดตรง ดูแล้วไม่มีท่าทางแหงนมองคนที่สูงกว่าเขาสักนิด “พวกเราต้าโจวไม่ชอบสงคราม แต่ไม่ขลาดกลัวศึกเด็ดขาด ใครมาดีกับเรา พวกเราดีตอบ ใครมาร้ายกับพวกเรา พวกเราย่อมต้องสวนคืน ต่อให้สู้ไม่ไหวก็ต้องสู้”

เขาเอ่ยพลางชี้ไปยังประตูเมือง

“พวกเจ้าอย่าได้กลัว ข้าจะปกป้องประตูเมืองเอง หากประตูเมืองแตก ข้าจะตายคนแรก”

เขาเอ่ยพลางพยักหน้านิดหนึ่งอีกหน ดวงหน้าน้อยเคร่งขรึม

“ตายก็ไม่ถอย”

เขาหยุดเท้ายืนมองชาวบ้านรอบด้าน

“ข้ายินดีร่วมเป็นร่วมตายกับกับเมืองหลวง ไม่ทราบว่าพวกเจ้ายินดีร่วมเป็นร่วมตายกับข้าหรือไม่?”

เด็กน้อยไร้เดียงสา ไม่รู้จักความเป็นความตาย พูดถึงความเป็นความตายเดิมทีเป็นเรื่องที่ทำให้คนหัวเราะหยัน แต่เวลานี้นาทีนี้ไม่มีใครสักคนในที่นั้นหัวเราะ

“ยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองหลวง”

ตรงกันข้ามกลับมีคนตะโกนเสียงดังตาม

นี่เป็นคนที่เสียนอ๋องจัดวางไว้สินะ? คุณหนูจวินมองไปในฝูงชน แต่กลับมองไม่เห็นเงาร่างของเสียนอ๋อง

นี่เป็นองครักษ์ นายทหาร เจ้าพนักงาน คนของทางการกระมัง? คุณหนูจวินมองไป บรรดาองครักษ์ทั้งหลายข้างรถของไหวอ๋องก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก นายทหารทั้งหลายด้านหน้าด้านหลังร่างนางล้วนมองด้านนั้นอยู่ก็ไม่มีใครเอ่ยปาก

“ยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองหลวง!”

คนมากกว่าเดิมตะโกนขึ้นมา จากข้างกายจิ่วหรงแผ่ขยายไกลออกไปรอบด้าน

“ยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองหลวง!”

เสียงลอยกลับมาจากที่ไกลอีกหน มีขบวนคนแห่แหนมาอีก

“โอ๊ะ นั่นใต้เท้าซ่งของราชวิทยาลัยฮั่นหลิง”

“ใต้เท้าต่งขุนนางใหญ่ผู้ดูแลท้องพระคลังก็มาด้วย!”

ขุนนางนับไม่ถ้วนไม่ว่าเส้นผมขาวโพลนหรือวัยหนุ่มฉกรรจ์ ไม่ว่าฝ่ายพลเรือนหรือฝ่ายทหาร ไม่ว่าตำแหน่งขุนนางสูงหรือต่ำ ล้วนสวมชุดขุนนางสวมหมวกขุนนาง สีหน้าเคร่งขรึมปากตะโกนว่าร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองหลวงดังลั่นพาผู้คุ้มกันข้ารับใช้ในตระกูลวิ่งมา

ไม่ใช่แค่ขุนนางทั้งหลาย เวลานี้ชนชั้นสูงเศรษฐีที่เดิมทีปิดประตูปิดบ้านในเมืองก็พากันเปิดประตู พาข้ารับใช้ของตนเองหิ้วไม้กระบองมีดผ่าฟืนกระทั่งเหล็กเสียบจอบเสียมแห่แหนมา

“ยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองหลวง!”

คลื่นเสียงระลอกแล้วระลอกเล่าถาโถมมาจากสี่ทิศแล้วส่งไปสี่ทิศอีกหน พริบตาคล้ายกับทหารและประชาชนแสนหลายหมื่นคนทั้งเมืองหลวงตะโกนร้องเป็นเสียงเดียว

หนิงเหยียนยืนอยู่ที่กำแพง ใบหน้าที่เคร่งขรึมเคร่งเครียดมาตลอดเวลานี้ในที่สุดก็สีหน้าหวั่นไหว

“ขุนนางเช่นนี้ประชาชนเช่นนี้ ตัดใจทอดทิ้งได้อย่างไรหนอ?” เขาเอ่ย มือค้ำกำแพงเมืองหนา ในดวงตาเปล่งประกายวิบวับ “มีขุนนางเช่นนี้ประชาชนเช่นนี้ แม่น้ำสักชุ่นแผ่นดินสักชุ่นนี่จะเสียไปได้อย่างไร!”

……

……

ทั้งเมืองหลวงบนล่างเคลื่อนไหวพร้อมเพรียง ชาวบ้านทั้งหลายก็ไม่ลังเลอีกต่อไป การจัดแบ่งกำลังพลป้องกันเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งเวลานี้เสียนอ๋องถึงก้าวออกมาบ้าง องครักษ์ของเขาเหมือนเช่นคนทั้งหมด มอบให้แม่ทัพที่รับผิดชอบป้องกันเมืองบัญชาการด้วยกัน

“ใช้ได้นี่ เจ้าหลานชายคนนี้” เขามองจิ่วหรง สีหน้าประหลาดใจเอ่ยขึ้น แล้วจะก้มตัวลง

จนปัญญาที่ร่างกายอ้วนเกินไปก้มไม่ลง

“ใครสอนเจ้าเอ่ยวาจาเหล่านี้?” เขาได้แต่กดเสียงเบาเอ่ย

จิ่วหรงมองเขา

“ถ้อยคำเหล่านี้ยังต้องสอนหรือ? ไม่ใช่ทุกคนล้วนรู้หรือ?” เขาถามกลับ คล้ายคำถามที่เสียนอ๋องถามประหลาดนัก

เสียนอ๋องตะลึงวูบหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

เอ่ยวาจาเช่นนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เห็นได้ว่าเขาซึมซับหล่อหลอมมาจากการสั่งสอนของปราชญ์ที่แท้จริงมาตลอด รวมถึงสันดานในสายเลือดที่เป็นมาแต่กำเนิด

เสียนอ๋องมองจิ่งหรง สีหน้าเสียดายอยู่บ้าง

เมื่อครู่เขาเดินเข้าไปในวังไหวอ๋อง วังไหวอ๋องไม่มีองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ประตูใหญ่ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย

เขาจำไหวอ๋องคนนี้ไม่ได้แล้ว ส่วนไหวอ๋องก็ไม่คุ้นหน้าเขาอย่างยิ่ง พูดไปแล้วพวกเราก็ไม่ได้พบหน้ากันนานนักแล้ว

แต่หลังเขาแสดงตัวตน เด็กน้อยคนนี้ก็คำนับเขาอย่างถี่ถ้วน เรียกพระปิตุลาคำหนึ่ง ไม่ได้ห่างเหินแล้วก็ไม่ได้จงใจใกล้ชิด เป็นธรรมชาติและสบายๆ เหมือนกับพวกเขาคุ้นเคยกันมาตลอด

มิน่าเฉิงกั๋วกงถึงเอ่ยวิจารณ์ไหวอ๋องประโยคหนึ่งในที่ประชุมขุนนางว่าไหวอ๋องดียิ่ง

เด็กคนนี้ดียิ่งจริงๆ

ถูกคนสั่งสอนออกมาดียิ่ง ตัวเขาเองก็ดียิ่ง

“ชาวจินบุกมาถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้ากล้าไปปกป้องเมืองกับข้าไหม” เขาเพียงเอ่ยประโยคนี้

“ย่อมกล้า เป็นสิ่งถูกต้องสมควร เป็นหน้าที่” จิ่วหรงก็เพียงตอบหนึ่งประโยคนี้ ไม่ตื่นตระหนกไม่ได้ตั้งคำถาม

เขาตามเขาเดินออกมาจากวังไหวอ๋อง ท่ามกลางสายตาจับจ้องนับไม่ถ้วนตัดผ่านถนน มาถึงประตูเมือง ยืนอยู่เบื้องหน้าประชาชน แสดงหัวใจเด็ดเดี่ยวของตนเอง ขอร้องประชาชน

ทุกสิ่งล้วนเด็ดชาดฉับไวเช่นนั้น

เสียนอ๋องมองจิ่วหรง สีหน้าโศกเศร้าอยู่บ้างอีกหน

เขาคิดถึงท่านพี่องค์รัชทายาทที่ดูแล้วอ่อนโยน ทั้งยังร่างกายอ่อนแอเจ็บออดๆ แอดๆ แต่ในหัวใจดันเลือดร้อนฮึกเหิม

เวลานั้นเขาสวมเกราประกาศว่าจะไปทำสงคราม ถูกขุนนางใหญ่หลายคนรวมถึงอาจารย์ตำหนิว่าชอบการยุทธ์ชอบการศึก มีเพียงท่านพี่องค์รัชทายาทที่อมยิ้มชมเขา แล้วยังตีเกราะชุดหนึ่งมอบให้เขาเป็นพิเศษอีก แล้วก็เป็นท่านพี่องค์รัชทายาทที่เอ่ยชมเชยเบื้องพระพักตร์พระบิดา เอ่ยจนพระบิดาเบิกบานพระทัย ตั้งใจวาดภาพแม่ทัพพระราชทานให้เขา

ท่านพี่องค์รัชทายาทตายแล้ว สายเลือดของเขา จิตวิญญาณของเขาไม่อาจถูกขังอยู่ในจวนหลังหนึ่ง คงอยู่ดับสูญอย่างเงียบงันเสื่อมสลายหายไปจากโลก

“วันนี้ข้าตัดสินใจสองเรื่อง” เขาพลันเอ่ยขึ้น เสียงกลายเป็นอ่อนโยน “ข้ารู้สึกว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดถูกต้องที่สุดในชีวิตนี้ของข้า”

จิ่วหรงไม่เข้าใจอยู่บ้าง เสียนอ๋องยืนตัวตรง ตบท้องเบาๆ

“เจ้าพูดถูกต้อง ทุกคนล้วนรู้ ทุกคนควรทำ” เขาเอ่ยพลางกำดาบยาวในมือ ทั้งหน้าแดงเรื่อ “ข้ากับไหวอ๋อง แบ่งกันปกป้องประตูเมืองคนละบาน”

พูดจบพลันหมุนตัวก้าวเท้ายาวจากไป

ไหวอ๋องมองเขาจากไป คล้ายอาวรณ์อยู่บ้าง

“กลัวหรือ?”

เสียงของคุณหนูจวินดังขึ้นด้านหลัง

ไหวอ๋องหมุนตัว เห็นคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้างตลอดเดินเข้ามา บนหน้าเขาก็เผยความยินดี

“ไม่กลัว” เขาส่ายศีรษะ แล้วก็ขัดเขินกระวนกระวายอย่างเด็กน้อยอยู่บ้างอีกหน “ข้าเพียงไม่เคยทำเรื่องเหล่านี้ ไม่รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง ยังไม่ทันถามพระปิตุลา”

ความขัดเขินกระวนกระวายนี่เผยออกมาต่อหน้านาง แสดงถึงความเชื่อใจและการพึ่งพิง

คุณหนูจวินยื่นมือลูบใบหน้าของเขา

การเคลื่อนไหวกะทันหันนี่ทำให้จิ่วหรงชะงักเล็กน้อย ในฐานะชินอ๋องคนหนึ่ง ไม่มีใครแตะต้องร่างกายเขาตามใจได้ นอกจากผู้ใหญ่ในครอบครัวของเขา

ผู้ใหญ่ในครอบครัวของเขาล้วนไม่อยู่ข้างกายแล้ว ไม่มีคนปฏิบัติกับเขาเช่นนี้นานนักแล้ว

แต่คุณหนูจวินคนนี้กลับทำ ทั้งยังสบายๆ เป็นธรรมชาติเช่นนั้น คล้ายกับเป็นเรื่องที่คุ้นชิน

“เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” นางอมยิ้มเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เจ้าเพียงก้าวออกมาก็เพียงพอแล้ว เรื่องที่เหลือ ข้าทำเอง พวกเราทำเอง”