ตอนที่ 398 พบเหอจิ่นเซ่ออีกครั้ง / ตอนที่ 399 ความคิด

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 398 พบเหอจิ่นเซ่ออีกครั้ง 

 

 

เซียงฉือออกจากตำหนักเจิ้งหยางโดยไม่ได้คิดอะไรมาก นางเดินด้วยฝีเท้ารีบเร่งเพื่อไปขอบคุณใต้เท้าทั้งสอง 

 

 

ครั้งนี้ที่นางหายป่วยได้อย่างรวดเร็วย่อมต้องขอบคุณใต้เท้าทั้งสองเป็นอย่างมาก กับเหอจิ่นเซ่อไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ส่วนซู่เวิ่นคนนั้นได้ยินมาว่าเป็นคนเก่งที่ไม่ยุ่งกับใคร หยิ่งและไม่เห็นใครในสายตา 

 

 

หากเป็นคนทั่วไปนางจะไม่พบ แม้แต่พระชายาตำหนักต่างๆ มาเรียกให้ไปตรวจรักษายังต้องมีการเชิญแล้วเชิญเล่าจึงจะยอมไป แต่เป็นเพราะได้อาศัยประโยชน์จากเหอจิ่นเซ่อจึงขอร้องนางได้ 

 

 

เซียงฉือไปเยี่ยมเหอจิ่นเซ่อก่อน พอย่างเข้ากองงานก็ได้ยินว่านางกำลังวาดภาพอยู่ ช่างสมกับนิสัยของคนบ้านสกุลเหอจริงๆ 

 

 

เซียงฉือเดินไปถึงด้านหลัง เห็นเหอจิ่นเซ่อกำลังลอกภาพอย่างตั้งใจอยู่ อายุของนางจัดเป็นข้าราชสำนักสตรีที่สูงวัยที่สุดแล้ว แต่ว่านางสามารถไต่เต้ามาถึงระดับนี้ได้ นอกจากกำลังจากทางวงศ์ตระกูลแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือนางมีจิตใจที่ไม่คิดเล็กคิดน้อย 

 

 

โดยสถานะทางบ้านของเหอจิ่นเซ่อแล้วหากนางคิดจะแต่งงานใหม่กับคนอื่นก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ในเมื่อนางเต็มใจจะครองตัวเพื่อคนคนนั้น ในใจนางจึงไม่มีใครอื่น 

 

 

เซียงฉือยืนมองดูนางอยุ่นาน เป็นเพราะป่วยมานานร่างกายจึงยังอ่อนแออยู่ พอถูกลมเข้าก็ไอขึ้นเบาๆ เหอจิ่นเซ่อได้ยินเสียงจึงเงยหน้ามองมายังนาง 

 

 

มุมปากนางยกขึ้นเบาๆ ยิ้มน้อยๆ วางพู่กันลงแล้วกวักมือ 

 

 

“เซียงฉือรีบมานี่สิ วันนี้วาดได้คล่องมือมากทีเดียว” 

 

 

เซียงฉือยกชายกระโปรงแล้วเดินเข้าไปหา เมื่อเดินไปถึงหน้าโต๊ะก็เห็นภาพเมฆคล้อยสารทฤดูที่เบื้องหน้า แลดูโดดเด่น ลายพู่กันอ่อนช้อยประณีตงดงามยิ่ง ทั้งเหอเจี่ยนสุยและเหอจิ่นเซ่อต่างเป็นนักวาดภาพทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยม แต่ต่างก็มีจุดเด่นของตน 

 

 

สัดส่วนภาพของเหอเจี่ยนสุยจะเปิดกว้างกว่า ทิวทัศน์ที่เขาเลือกมักกว้างใหญ่ตระการตา มองแล้วรู้สึกถึงความองอาจเร่าร้อน ส่วนของเหอจิ่นเซ่อจะแตกต่างลวดลายบนภาพของนางล้วนเป็นเค้าโครงที่ตั้งอกตั้งใจ ในความประณีตยังมีความอาลัยรัก ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกอบอุ่นและสบาย 

 

 

เซียงฉือหัวเราะเบาๆ พูดอย่างทอดถอนใจ 

 

 

“ต่างคนต่างมีแนวทาง ต่างเส้นทางและวิธีการ ภาพวาดบ้านสกุลเหอช่างสุดยอดจริงๆ!” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อรู้ว่านางหมายถึงใคร จึงถอนใจเบาๆ เล็บสีแดงบนโต๊ะขยับเบาๆ อารมณ์ที่ดียิ่งอยู่ก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นการทอดถอนใจเบาๆ ขณะที่มองเห็นเซียงฉือ 

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดถึงได้ใจดำนัก เพื่อเจ้าแล้วเจี่ยนสุยยินยอมเข้าราชสำนัก คิดจะอาศัยการกวาดล้างขุนนางฉ้อฉลในครั้งนี้ ร่วมปรึกษาหารือกันกับเหลียนชินอ๋องเพื่อจะสร้างความดีความชอบใหญ่ จะได้ทูลขอเจ้าจากฝ่าบาท แต่เจ้า…” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อรู้เรื่องความคิดและคำตอบของเซียงฉือจากเหอเจี่ยนสุย นางรู้สึกโกรธ การที่เซียงฉือปฏิเสธหากเป็นเพราะนางมีใจเป็นอื่นมีคนอื่น เหอจิ่นเซ่อย่อมต้องตักเตือนญาติผู้น้องของนางให้เลือกแต่งงานกับคนอื่นแทน 

 

 

แต่นี่เซียงฉือล้มป่วยลง ซู่เวิ่นบอกว่านางคิดมากเกินไป หวาดกลัวจนเสียสุขภาพ ทำให้พื้นฐานร่างกายเสียหาย ทั้งนางเป็นคนมีความคิดละเอียดอ่อนและความรู้สึกไว ไม่รู้ว่าต้องทนรับความทรมานจากความอยุติธรรมมากน้อยเพียงใดถึงได้ป่วยหนักเช่นนี้ 

 

 

โชคดีเพราะฝนตกหนักในครั้งนี้ที่ทำให้โรคของนางปรากฏออกมา มิเช่นนั้นแล้วปล่อยให้นางเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่ายาใดก็คงไม่สามารถรักษาให้หายได้แล้ว 

 

 

ล้วนเป็นเพราะไข้ใจที่ต้องใช้ยาใจรักษา ทั้งยังบอกให้เหอจิ่นเซ่อปลอบโยนนางให้ดี 

 

 

เหอจิ่นเซ่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสงสารเซียงฉือ คู่รักที่รักกันดีแท้ๆ แต่กลับมีกำแพงวังสูงกั้น กีดขวางให้ทั้งคู่ได้แต่เฝ้าคิดถึงกัน 

 

 

วันนี้เหอจิ่นเซ่อเห็นสีหน้าเซียงฉือดีขึ้นบ้าง เมื่อพบหน้าอดไม่ได้จึงได้บ่นขึ้นหลายคำ 

 

 

เซียงฉือฟังแล้วก็ไม่โต้แย้ง ในใจยังรู้สึกซาบซึ้งไม่วาย เหอจิ่นเซ่อไม่ได้เป็นญาติเกี่ยวดองอะไรกับนางแต่ได้ช่วยนางไว้หลายครั้ง นอกจากความเป็นญาติกับเหอเจี่ยนสุยแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือเป็นคนโรคเดียวกันที่สงสารและเสียดายซึ่งกันและกัน 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 399 ความคิด 

 

 

เมื่อเห็นเซียงฉือยิ้มเช่นนั้นเหอจิ่นเซ่อก็ปิดปากไม่พูด ทั้งคู่สบตากันแล้วถอนหายใจ 

 

 

สุดท้ายเซียงฉือจึงเอ่ยปากขึ้นก่อน 

 

 

“เซียงฉืออาจเอื้อมขอเรียกใต้เท้าว่าพี่ พี่สาวคนดีของข้า ท่านรับใช้ฝ่าบาทมาก็นานแล้ว จะไม่รู้ถึงอุปนิสัยของพระองค์หรือ หากเป็นของที่พระองค์ต้องประสงค์แล้วคนอื่นกล้าคิดหมายปอง พระองค์จะทำอย่างไรเล่า” 

 

 

“ท่านพี่ ท่านเป็นเช่นนี้ทำให้ข้าลำบากใจ ยิ่งยากจะตัดขาด ทั้งยังยิ่งจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตกับเขาอีกด้วย” 

 

 

เซียงฉือหลั่งน้ำตาออกมาสองสาย ร่วงหล่นลงโดยไม่มีสัญญาณอะไร 

 

 

เหอจิ่นเซ่อได้ยินคำพูดนั้นแล้วทอดถอนใจยาว หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาให้นาง 

 

 

หัวเราะเบาๆ พูดขึ้น 

 

 

“เด็กโง่ เจ้านี่นะทั้งน่าสงสารและน่าแค้นเคือง เขาเข้าใจจิตใจของเจ้า แต่จะให้เขายอมปล่อยมือง่ายดายได้อย่างไร ถ้าหากเจ้าเปลี่ยนใจเขาก็จะไม่แข็งขืน แต่เพราะเขารู้ว่าเจ้าเป็นนกน้อยที่บินร่าอยู่นอกวัง ไม่ได้คิดเป็นนกคีรีบูนในกรงแต่อย่างไร” 

 

 

พูดไปแล้วทำให้เหอจิ่นเซ่อชื่นชอบเซียงฉือขึ้นอีกมาก  ครั้งนั้นที่ช่วยเหลือนาง นอกจากเพราะคำไหว้วานของเหอเจี่ยนสุยแล้ว ยังเพราะความอดทนในตัวของเซียงฉือเองด้วย 

 

 

และตอนนี้สิ่งที่ปรากฏอยู่บนตัวของเซียงฉือ ทำให้นางมองเห็นเงาของตนเอง 

 

 

แคว้นนี้สำหรับผู้หญิงแล้ว มีสิ่งที่ต้องแบกรับมากเหลือเกิน โดยเฉพาะกับพวกนางที่เข้าใจเรื่องต่างๆ ได้ดี แต่ไม่สามารถจะกลายเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายใจดำได้ 

 

 

เซียงฉือกอดเหอจิ่นเซ่ออิงซบไหล่ของนาง สูดดมกลิ่นน้ำหมึกบนตัวนางน้ำตาไหลพราก 

 

 

เหอจิ่นเซ่อก็ยื่นมือลูบศีรษะนาง 

 

 

“หากคิดได้ชัดแจ้งแล้วก็ต้องตัดให้จริงจัง ทำให้เขาสละทิ้งได้ตลอดไป มิเช่นนั้นแล้วใจของเขาจะมีแต่เจ้าเท่านั้น ผู้หญิงอื่นใดก็ไม่อาจเข้ามาอยู่สายตาของเขาได้อีก” 

 

 

คำพูดเหอจิ่นเซ่อเซียงฉือคิดอยู่ในใจมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ถ้าหากนางกลายเป็นผู้หญิงของฝ่าบาท ตลอดชีวิตนี้ต้องหมกอยู่แต่ในปราการนี้ เช่นนั้นเหอเจี่ยนสุยจะได้ตัดใจได้แท้จริง 

 

 

แต่นางยังโลภมาก นางปรารถนาจะอยู่เคียงกันกับเขาทั้งชีวิตทั้งชาตินี้ มีวันเวลาแห่งความสุขด้วยกันจนแก่เฒ่าผมขาวโดยไม่แยกจากกัน ไม่ต้องการจะใช้ชีวิตหลอกลวงกันไปมาอยู่ภายในกำแพงวังนี้ ดังนั้นนางจึงยังมีความหวัง ซึ่งคอยทำลายสติสัมปชัญญะนางครั้งแล้วครั้งเล่า 

 

 

แต่เพราะนางไม่กล้าเสี่ยง เพียงหากฮ่องเต้พิโรธ บ้านสกุลอวิ๋นที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในหลานโจวต้องกลายมาเป็นสามัญชนต่ำต้อย แล้วบ้านสกุลเหอเล่า 

 

 

นางจะทนได้อย่างไรที่จะให้บ้านสกุลเหอต้องมาถูกฝังกลบพร้อมกับนางด้วย 

 

 

ตั้งแต่นางกลายเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรแล้ว ทุกย่างก้าวล้วนระมัดระวังอย่างยิ่ง ทุกคืบล้วนมีความกังวลใจ ไม่กล้าหละหลวมแม้เพียงเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของตนเอง นำภัยไปสู่วงศ์ตระกูล สู่บ้านสกุลเหอและสู่คนที่นางรักและห่วงใย 

 

 

ดังนั้นนางจึงใช้สติปัญญาควบคุมใจที่คิดจะหลบหนีของตนเสมอมา ส่วนคำพูดตอนท้ายของเหอจิ่นเซ่อ ทำให้ความปรารถนาในใจของนางยิ่งร้อนแรงขึ้นมา 

 

 

“เซียงฉือ ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่ ข้าก็จะใช้สถานะความเป็นพี่พูดกับเจ้าว่า ชีวิตนี้ของเจ้าถึงจะมีไว้เพื่อวงศ์ตระกูล เพื่อญาติมิตรก็ตาม แต่เจ้าก็ควรมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองสักครั้ง” 

 

 

“ถ้าเจ้ายังไม่อาจตัดจากเขาได้ก็ควรต้องอยู่กับเขา ต่อสู้อีกสักครั้งอย่าได้ปฏิเสธ เพราะจะทำให้พวกเจ้าต่างไม่สบายใจและทุกข์ทรมานใจ และถึงต้องพ่ายแพ้ก็อย่าได้สำนึกเสียใจ” 

 

 

“ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณธรรม ถ้าหากทรงพิโรธจริงก็จะไม่ทำอะไรกับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง เจ้าจะทดลองดูสักครั้งไหม” 

 

 

ใจของเซียงฉือถูกคำพูดประโยคนั้นปลุกปั่นขึ้นแล้ว ดุจราวแม่น้ำเชี่ยวปั่นป่วน กระหน่ำใส่สิ่งกีดขวางในใจนางครั้งแล้วครั้งเล่า 

 

 

บ้านสกุลอวิ๋นต้องโทษพัวพันทั้งบ้าน นางจะไม่กลัวได้อย่างไร แต่ว่าหรงจิงเป็นฮ่องเต้โหดร้ายอย่างที่นางเคยกังวลมาก่อนเช่นนั้นจริงหรือ 

 

 

ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนแบบนั้น เช่นนั้นแล้วนางจะลองนำเรื่องนี้มาคิดและลงมือทำได้หรือไม่