บทที่ 211
กล่องกักเสียง
แม้ว่าเย่เย่จะไม่ได้หวั่นเกรงอิทธิพลของสกุลเจียง แต่ภัยคุกคามที่จะตามมาของราชสำนักนั้นยากที่จะปฏิเสธได้ ถึงแม้วรยุทธ์ขั้นสูงสุดของเย่เย่จะเทียบเคียงชั้นก้าวสวรรค์เมื่อสวมเกราะสวรรค์นภาทมิฬ แต่หอการค้าของเขาก็คงยากจะหลีกหนีการตามล่าของเบื้องบนได้
เย่เย่นั้นไม่ต้องการให้พรรคพวกของเขา ทั้งเสวี่ยหยู ซูฉีเจี่ย เจิ้งซู หรือแม้กระทั่งลู่จุ้นที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เมื่อนึกไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว เขาจึงคลายมือออกจากข้อมือของพระมเหสีเจียง
ในขณะเดียวกัน เจียงคุนและเจียงอู๋ก็รีบทะยานออกจากแหล่งน้ำ เข้ามาปกป้องพระมเหสีเจียงด้วยความหวาดระแวง ชีวิตของเจียงเหยียนนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
จากผลลัพธ์ของการต่อสู้นั้น ทั้งสององครักษ์นั้นรู้ดีว่าต่อให้รวมพลังกันก็ใช่ว่าจะโค่นเย่เย่ได้ พวกเขาจึงได้แต่ตั้งท่าป้องกันเพื่อซื้อเวลาให้พระมเหสีหนีไป
เมื่อเย่เย่เห็นปฏิกิริยาดังกล่าว เขาก็ยิ้มมุมปากด้วยความเย้ยหยัน ก่อนหันหลังและเดินจากไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร แต่ทว่า
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าอยู่ในเขตพระราชฐาน คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปงั้นรึ?” ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี พระมเหสีเจียงจึงผละออกจากการคุ้มกันของสององครักษ์ และพยายามรั้งเย่เย่เอาไว้ด้วยวาจา
แม้ว่านางจะหวาดกลัวพลังอันเปี่ยมล้นของเย่เย่ที่แม้แต่สองผู้พิทักษ์ของนางยังจนปัญญา แต่ด้วยการแสดงออกของเย่เย่ ทำให้นางมั่นใจว่ายังไงซะเขาก็ไม่มีทางฆ่านางได้ลง
“ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งใดอีก?” เย่เย่ขมวดคิ้ว และถามขึ้นด้วยความหงุดหงิด แม้ว่าเขาจะไม่อยากทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย แต่หากสกุลเจียงยังบีบบังคับเขาไม่เลิก เขาก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าล้างตระกูล และใช้พลังของอารามวิถีสวรรค์ซ่อนหอการค้าทุกสาขาเอาไว้
จากการที่เย่เย่ได้ศึกษาพลังของอารามมาโดยละเอียด ทำให้เขารู้ว่าพื้นที่ในอารามนั้นเพียงพอที่จะกักเก็บหลิงเฉิงได้ทั้งเมือง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคำข่มขู่รูปแบบใด ก็ไม่ทำให้เขาหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย รังแต่จะทำให้เขาต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น
ถึงแม้เจียงเหยียนจะไม่รู้ว่าเย่เย่ไปเอาความมั่นใจมากมายขนาดนั้นมาจากไหน แต่จากแววตาที่เด็ดเดี่ยว และเยือกเย็นของเขาก็ทำให้นางยั้งปากตัวเองเอาไว้โดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตามนางไม่คิดจะปล่อยให้เย่เย่จากไปเฉยๆ หลังจากเงียบไปพักนึง นางก็กัดฟันกรอดและพูดขึ้น “ถ้าข้าป่าวประกาศว่าเจ้าทำอนาจารข้า เจ้าอย่าคิดว่าจะหนีไปได้เฉยๆเลย!”
“ท่านหญิงเจียง อย่านะ!” ทั้งเจียงคุนและเจียงอู๋ก็เดินขึ้นมา และพยายามโน้มน้าวนางทุกวิถีทาง
“ใช่แล้วท่านหญิง อย่าลดเกียรติของตัวเองกับคนพรรค์นี้เลย!”
เจียงเหยียนยังอ่อนวัยอยู่มาก ทำให้นางมีนิสัยดื้อรั้น ถึงแม้สิ่งที่นางพูดออกไปจะไม่เป็นความจริง แต่เมื่อใดที่ข่าวลือแพร่กระจายออกไป เกียรติและศักดิ์ศรีของตัวนาง ตระกูลเจียง รวมไปถึงราชสำนักเองก็คงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี ดังนั้นทั้งสององครักษ์ผู้หวังดีจึงคัดค้านอย่างสุดตัว
แต่ด้วยความใจร้อน กล้าได้กล้าเสียของนาง ทำให้คำเตือนของสองผู้พิทักษ์ไม่เป็นผล สายตาของเจียงเหยียนยังคงจับจ้องที่ใบหน้าของเย่เย่ เพื่อหวังให้เขายอมจำนนและคุกเข่าขอขมาต่อหน้านาง
กลอุบายของนางทำให้รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของ เย่เย่ หุบลงชั่วขณะ ก่อนจะควักบางสิ่งบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ
ท่าทางของเย่เย่ทำให้สององครักษ์ชักกระบี่ออกมาด้วยความระแวง แต่ทว่าทันใดนั้นเองเสียงบทสนทนาทั้งหมดระหว่างพวกเขาทั้งสี่ ทุกประโยค ทุกคำพูด รวมไปถึงแผนใส่ความเย่เย่ของเจียงเหยียนก็ดังสะท้อนออกมาจากสิ่งของในมือเย่เย่
“กล่องกักเสียงงั้นรึ?”
เจียงอู๋นั้นมีประสบการณ์ และความรู้กว้างขวางกว่าใครเพื่อน ทันทีที่เห็นสิ่งนั้นในมือของเย่เย่ ก็อุทานขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“ใช่แล้ว สมกับเป็นผู้อาวุโสเจียง ทุกประโยคที่เจ้าพูดข้าได้บันทึกเอาไว้หมดแล้ว ดังนั้นอย่าได้พยายามอีกเลยดีกว่าน่าพระมเหสี” แม้คำพูดของเย่เย่จะฟังดูสุขุม แต่เขาก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่มีคนในยุทธภพรู้จักสิ่งของที่เขาแลกออกมาจากระบบด้วย
เจียงเหยียนได้ยินดังนั้นนางก็กำมือแน่น และได้แต่ปล่อยให้เย่เย่เดินจากไปทีละก้าวทีละก้าว
“ข้าไม่นึกเลยจริงๆว่าเจ้านั่น จะมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ไว้ในครอบครองด้วย!” เจียงอู๋มองไปในทิศที่เย่เย่จากไป พลางบ่นพึมพำขึ้นกับตัวเอง
หลังจากได้ยินประโยคนี้ เจียงเหยียนที่ก้มหน้าด้วยความผิดหวัง ไฟในดวงตาของนางก็กลับมาลุกโชติช่วงอีกครั้ง “ครั้งนี้ดูท่าว่าพวกเราจะประมาทเขามากเกินไป ตระกูลเจียงของเราต้องทำให้เขามาอยู่ใต้อาณัติให้ได้ ไม่เช่นนั้นหอการค้าหยูเย่ต้องเป็นภัยคุกคามในภายภาคหน้าแน่!”
แม้ว่าแผนในการล่อลวงให้เย่เย่บอกแหล่งที่มาของสินค้าจะล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่หลังจากได้
สนทนากับเย่เย่ ทำให้นางรู้สึกสนใจในตัวเย่เย่ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่แม้แต่ตัวนางเองก็อธิบายไม่ได้ สัญชาตญาณของนางได้บอกกับนางว่าเย่เย่มีความลับอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่มากกว่าที่ตาเห็น
“ทำแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ข้าอยากได้เจ้าขึ้นมาอีก” เจียงเหยียนเหม่อมองประตู พลางพึมพำขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“พระมเหสี แล้วพวกข้าล่ะ? พวกข้าควรทำอย่างไรต่อไปดี?” แม้ว่าเจียงคุนจะใจร้อนอยากจะทำศึกล้างตากับเย่เย่เสียตอนนี้ แต่เจียงอู๋ก็ได้ปรามเขาไว้ ก่อนถามเจียงเหยียนถึงแผนในขั้นต่อไป
“มันไม่จบง่ายๆหรอกนะ เย่เย่! ข้า เจียงเหยียนผู้นี้ไม่เคยถูกใครปฏิเสธมาก่อน! เจ้าเป็นคนแรกที่ปฏิเสธข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะมอบบทเรียนให้กับเจ้าเอง!” คำถามของเจียงอู๋ดูเหมือนจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ตอนนี้ในหัวของเจียงเหยียนมีแต่ถ้อยคำปฏิเสธของเย่เย่อยู่เต็มไปหมด สององครักษ์จึงได้แต่มองหน้ากันและปล่อยให้พระมเหสีอยู่ในโลกของนาง
ในขณะเดียวกันระหว่างทางกลับหอการค้า เย่เย่ก็จามออกมาเสียงดังราวกับมีใครกำลังนินทาเขาอยู่ เมื่อกลับมาถึงหอการค้า เย่เย่ก็ตรงดิ่งขึ้นห้องในทันทีโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรกับลู่จุ้น
“กลับมาแล้วเหรอ ท่านเย่” ลู่จุ้นกล่าวทักทาย แต่ก็ไม่มีการตอบกลับ
‘อะ อ่าว เป็นอะไรของเขากันนะ สีหน้าดูพิลึกชอบกล’ ลู่จุ้นบ่นในใจ แม้จะงุนงงอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นเย่เย่กลับมาอย่างปลอดภัยเขาก็โล่งอก
ทันทีที่เย่เย่ถึงห้อง เขาก็นั่งขัดสมาธิลงเดินพลังอย่างไม่รอช้า แม้จะดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่สัญชาตญาณของเขากลับเร่งให้เขาฝึกวิชา
ในระหว่างที่เย่เย่เก็บตัวบ่มเพาะพลังอยู่นั้น ชายหนุ่มที่คุ้นหน้าก็กลับมายังหอการค้าหยูเย่อีกครั้ง
“นะ น้องกู๋!?” ลู่จุ้นอุทานขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นร่างที่โชกเลือดนอนคว่ำอยู่หน้าหอการค้าในวันรุ่งขึ้น เขารีบหิ้วปีกกู๋จื่อเข้าไปนอนพักในห้องของเขา ก่อนตะโกนเรียกเย่เย่ให้มาทำการรักษา
“เจ้านี่ไปทำอะไรมากันนะถึงได้บาดแผลเหวอะหวะเช่นนี้” เย่เย่บ่นอุบอิบ พลางหยิบยาสลายแผลกายใส่ปากของชายหนุ่มที่นอนไม่ได้สติ
ลู่จุ้นได้ยินดังนั้น ก็นึกถึงเรื่องที่กู๋จื่อเช่าได้เปิดอกเล่าให้เขาฟัง
“ท่านเย่ บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องของสกุลกู๋ ไม่แน่ว่าคงจะเป็นฝีมือของพรรคธารสวรรค์”
“หือ อะไรนะ? เล่าให้ข้าฟังตั้งแต่ต้นซิ” เย่เย่ที่เห็นว่าลู่จุ้นนั้นดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง แต่ปิดบังไม่ให้เขารู้ จึงคะยั้นคะยอให้เขาเล่าให้ฟังโดยละเอียด
แม้จะเป็นเรื่องภายในของสกุลกู๋ แต่ชีวิตคนย่อมสำคัญกว่า ลู่จุ้นจึงจำใจเล่าให้เย่เย่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างตระกูลกู๋ และพรรคธารสวรรค์
เมื่อลู่จุ้นเล่าจบ เขาก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด กู๋จื่อเช่าที่เป็นความหวังสุดท้ายของตระกูลก็นอนแน่นิ่งไม่ได้สติ อีกทั้งดาบประกายเพลิงก็หายสาบสูญ
หลังจากเย่เย่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาก็มองไปที่ร่างของกู๋จื่อเช่า ก่อนหันไปพูดกับลู่จุ้น
“ข้าจะออกไปสำรวจเกี่ยวกับพรรคธารสวรรค์สักหน่อย เจ้าคอยอยู่นี่ดูอาการของกู๋จื่อเช่าไปก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา” ว่าแล้วเย่เย่ก็หันหลังเดินออกประตูไป
เย่เย่นั้นไม่ได้ออกมาเพื่อสำรวจเกี่ยวกับพรรคธารสวรรค์ตามที่เขาบอกแต่อย่างใด เขากลับมุ่งตรงไปยังป่าต้องห้าม สวมเกราะทมิฬ และพุ่งทะยานไปยังเมืองอู๋เจิ้งในทันที…