บทที่ 12 ใจคนโหดร้ายที่สุด โดย Ink Stone_Fantasy
มั่วมั่วไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร
ด้วยเขาไม่เคยจัดการเรื่องพวกนี้มาก่อน ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดปรมาจารย์เขาพยัคฆ์มังกร ตอนอายุยังน้อยก็สำเร็จวิชาหลากหลายอย่าง เขาไล่ภูตผี กำจัดปีศาจ สังหารมาร แต่เขาก็ไม่เคยเข้าถึงใจคนได้เลย
คำพูดของลั่วชิว หนักหนาสำหรับเขามากเกินไป
มั่วมั่วผู้ที่มีความฝันอยากเป็นนักเลง ตอนที่อยากจะทำอะไรถึงได้รู้ว่าตัวเองเด็กจนเกินไป
แต่เขายังคงเป็นผู้สืบทอดเขาพยัคฆ์มังกร หน้าที่ของตัวเองคือการกำจัดภูตผีไล่ปีศาจ แต่เขากลับเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบห้าปีก่อนของหมู่บ้านหลี่ว์เอาไว้อย่างระมัดระวัง
เพราะว่าเขารู้ดี
เขารู้ว่าต้องมีสักวัน ตอนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น เขาจะมีความสามารถพอจะจัดการเรื่องแบบนี้ได้อย่างดี
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้สกปรกโสมมเกินไป ถึงขนาดทำให้มั่วมั่วคิดว่า นี่มันสกปรกกว่าเรื่องที่เขาเคยฆ่าปีศาจ ขับไล่มารอีก
มั่วมั่วกำลังมองลั่วชิว แล้วทอดมองพื้นที่ของหมู่บ้านหลี่ว์ไปพร้อมกับเขาที่นี่ เขาผู้ที่ย้อมผมสีทอง บนแขนมีรอยสักกิเลน ไม่เหมือนอันธพาล แต่กลับเหมือนคนมีความรู้คนหนึ่ง
เขาพูดอย่างเนิบนาบ “เมื่อก่อนอาจารย์เคยบอกกับผมว่า ‘จิตใจคนเหี้ยมโหดที่สุด’ ”
ลั่วชิวไม่ได้พูดตอบกลับ เขาแค่ยืนอยู่ตรงนี้ แล้วจินตนาการว่าตอนที่อาจารย์ชราท่านนั้นพูดก็มีจิตใจเหี้ยมโหดเหมือนกันหรือเปล่า
มั่วมั่วเลือกที่จะจากไป
เขามาเพื่อตำนานปีศาจทะเล
ในเมื่อตำนานเป็นเพียงเรื่องที่ร่างทรงชรากุขึ้นมา อย่างนั้นเป้าหมายของเขาก็เหลือเพียงแค่ตอนนี้
ก็คือบทเพลงมหัศจรรย์ที่ทำให้ผู้คนสูญสิ้นความรู้สึกตัว
เรื่องเล่านี้คือเรื่องจริง
มั่วมั่วออกมาแล้วถึงเพิ่งนึกเรื่องหนึ่งได้ เขาลืมเอากล่องนั้นไปทำลายหรือเอามาด้วย และเขาก็ไม่รู้ว่ารุ่นพี่คนนี้เป็นคนดีหรือคนชั่วกันแน่
เขาจึงย้อนกลับไปที่เดิม แต่ก็ไม่เห็นคนแล้ว กล่องนั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน มั่วมั่วมองสถานที่ที่ถูกเผาเป็นซากปรักหักพังอย่างระทมทุกข์ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกสับสนกับทางข้างหน้ากว้างสุดลูกหูลูกตา
เขายังคงไม่รู้ว่ารุ่นพี่คนนี้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน แม้กระทั่งชื่อของเขาก็ไม่เคยรู้จัก
ผู้สืบทอดเขาพยัคฆ์มังกรบ่นพึมพำกับตัวเอง “คงจะ…ไม่ใช่คนพูดซุบซิบไปทั่วหรอกมั้ง? ไม่พูดซุบซิบไปทั่วจริงก็คงดี”
เรื่องที่โรงแรมเป็นประวัติศาสตร์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิตของผู้สืบทอดวัยรุ่นคนนี้
…
…
ลั่วชิวเจอเริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อที่ในหมู่บ้าน และได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นต่อมา และเรื่องที่สืบได้จากทางหลี่ว์เฉาเซิง
มองเห็นในมือหลีจื่อกำลังถือของที่หลี่ว์เฉาเซิงวาดเอาไว้ ลั่วชิวที่ชอบเรื่องแปลกเป็นพิเศษก็พูดว่า “เหมือนมือไม้ถูพื้น”
หลีจื่อยังไม่ได้พูดอะไรนะ เขาก็ชิงพูดออกมาคำหนึ่ง เธอคิดว่าลูกชายของพี่เริ่นคนนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน และที่ไม่ธรรมดายิ่งกว่าก็คือโยวเย่ที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในฐานะแฟนของเขา
เพียงแต่เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี จึงไม่ได้คิดมากเกินไป จากที่สังเกตการณ์กระทำของลั่วชิวมาตลอดทาง ก็รู้ว่าคนคนนี้เอาใจใส่พี่เริ่นมากขนาดไหน
จน..จนเหมือนสลับหน้าที่กัน คนที่เป็นลูกชายคนนี้ถึงจะทำหน้าที่เป็นแม่ล่ะมั้ง?
ตอนนี้เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าพูดว่า “ฉันสืบเรื่องที่เด็กผู้หญิงคนนั้นไหว้วานมาสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี”
ลั่วชิวเอ่ยถามทันที “นี่พวกคุณจะไปที่ไหนกัน?”
เริ่นจื่อหลิงพูดไปตามอารมณ์ “ไม่ได้คิดจะไปไหน ก็แค่เดินเล่นอยู่ที่นี่ ผ่อนคลายหน่อย ลองดูว่ามีเรื่องพิเศษอะไรอีกก็เท่านั้น…โอ้ หลีจื่อ เธอสังเกตเห็นไหม ใต้ชายคาของแทบทุกบ้านมีแต่กระดิ่งเปลือกหอยแขวนไว้ทั้งนั้นเลย?”
หลีจื่อคิดพลางพูดว่า “อาจจะเป็นประเพณีของที่นี่มั้งคะ? เหมือนกับที่หน้าประตูหลายที่แขวนพวกยันต์แปดทิศหรือกระจกทองแดงพวกนั้นไว้ไหมคะ?”
เริ่นจื่อหลิงตอบ “นั่นเอาไว้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย แต่กระดิ่งที่ทำจากเปลือกหอยนี้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ด้วยเหรอ?”
หลีจื่อยักไหล่พลางพูดว่า “นี่ฉันก็ไม่รู้แล้วค่ะ ลองถามใครสักคนดูไหมคะ?”
เริ่นจื่อหลิงกำลังจะตอบรับ แต่ตอนนี้กลับมีคนรีบวิ่งมาอย่างลุกลี้ลุกลน ปรากฏว่าเป็นหลี่ว์อีอวิ๋นที่ควรอยู่ดูแลหลี่ว์ไห่ที่คลินิก
สาวน้อยวิ่งมาอย่างร้อนรนเล็กน้อย หายใจหอบแฮ่ก หน้าของเธอดูตื่นตระหนกพูดว่า “พี่เริ่น พวกพี่เห็นพ่อของฉันไหมคะ?”
เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วพูด “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
สาวน้อยพูดคล้ายจะร้องไห้ออกมา “ฉันเพิ่งจะเดินห่างออกมาแป๊บเดียว แต่พอกลับไปที่ห้องคนไข้ พ่อของฉันก็หายไปแล้ว! ฉันถามหมอแล้ว เขาก็บอกว่าไม่เห็น ทำยังไงดีคะ! พ่อของฉันยังเป็นไข้สูงอยู่เลย!”
หลีจื่อรีบพูดปลอบ “ไม่เป็นไรหรอก อาจจะเพิ่งฟื้นขึ้นมา ไม่ยอมอยู่ค้างที่คลินิกล่ะมั้ง? อาจจะกลับบ้านไปเองแล้ว!”
“แต่…”
เริ่นจื่อหลิงพูด “งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน หมู่บ้านนี้ก็ไม่ใหญ่ อยากหาคนก็หาเจอได้ไม่ยาก พวกเราแยกกันไปดูเถอะ”
“ได้ๆ!” สาวน้อยรีบพยักหน้าพูด
ลั่วชิวตอบ “งั้นพวกเราไปหาทางนี้แล้วกัน”
ลั่วชิวชี้ไปที่ทางหนึ่ง เริ่นจื่อหลิงจึงพยักหน้า แล้วก็ไปรวมตัวกับหลีจื่อและหลี่ว์อีอวิ๋น เดินไปอีกทิศทางหนึ่ง
พอเห็นพวกเริ่นจื่อหลิงทั้งสามคนเดินไปแล้ว ลั่วชิวก็ไม่ได้ไปตามทางที่ตกลงกันไว้
เขากำลังมองดูตำแหน่งที่ตั้งคลินิก แล้วเดินไปในคลินิกเล็กๆ นั้น สำหรับเจ้าของสมาคมแล้ว เรื่องการหาคนไม่ใช่เรื่องยากเลย
หลี่ว์ไห่ไม่ได้หลงทางไป
ข้อมูลแสดงไว้ เขายังอยู่ในคลินิกนั่น
…
ข้างในคลินิกเล็กๆ หลี่ว์เฉาเซิงกำลังตรวจโรคให้กับชาวบ้าน คลินิกนี้มักจจะยุ่งตลอดเพราะเป็นคลินิกเดียวในหมู่บ้านนี้
ตอนที่ลั่วชิวและโยวเย่เดินผ่านห้องตรวจรักษาไป หลี่ว์เฉาเซิงกำลังใช้เครื่องช่วยฟังทาบบนร่างกายของเด็กเล็กคนหนึ่ง
ตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาอย่างองอาจผ่าเผย หลี่ว์เฉาเซิง แม้กระทั่งเด็กคนนั้น หรือพ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็ไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขาเลย
ลั่วชิวเพียงแค่มองดูแวบเดียว แล้วก็เดินเข้าไปในห้องที่อยู่ข้างในห้องตรวจรักษา ข้างในนี้เป็นห้องทำงานของหลี่ว์เฉาเซิง ประตูไม่ได้ปิดสนิท แต่แง้มไว้เล็กน้อย
ตอนที่ทุกคนไม่ทันสังเกต ประตูบานนี้ก็ค่อยๆ เปิดแง้มออกอีกเล็กน้อย
ห้องทำงานนี้ไม่ใหญ่ แวบเดียวก็เห็นทั้งห้องแล้ว ลั่วชิวเดินเข้าไปที่ด้านหน้าตู้เหล็กตู้หนึ่งใกล้กับกำแพง พอคุณสาวใช้เห็นสายตาของเจ้านายมองไปทางนั้น เธอก็ยื่นมือออกไป จับไปที่ตัวล็อกของตู้เหล็ก
แกร็ก
ประตูตู้เหล็กค่อยๆ เปิดออก
เห็นเพียงแค่ชั้นวางในตู้เหล็กนี้ถูกคนเอาไปหมดแล้ว มีเพียงพื้นที่ที่กว้างมากๆ ที่หนึ่ง และหลี่ว์ไห่ก็ซ่อนตัวอยู่ในนี้
หลี่ว์ไห่ยังมีท่าทางสลบไสล หลังมือมีเข็มเจาะอยู่ และด้านบนของตู้มีถุงน้ำเกลือแขวนเอาไว้หนึ่งถุงหนึ่ง
เตียงคนไข้ไม่พอจึงพาคนป่วยมาให้น้ำเกลือที่นี่เหรอ เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน
ที่นี่เป็นห้องทำงานของหลี่ว์เฉาเซิง เขาย่อมถือครองกุญแจตู้มีแต่เพียงผู้เดียว