ตอนที่ 643 เปลี่ยนตัวตน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 643 เปลี่ยนตัวตน

“มิเป็นไร ต่อไปต้องดีขึ้นอยู่แล้ว ท่านอ๋องและพระชายารักใคร่กลมเกลียวก็นับเป็นโชคดีของจวนอ๋องมู่มิใช่หรือ ? ”

ท่านอ๋องและพระชายา

เฮอะ ก่อนหน้านี้ตอนที่นางเป็นพระชายา เหตุใดไม่มีคนมาพูดเช่นนี้กับนางบ้าง

ตอนนั้นมู่เหล่าหวางเฟยต้องการให้นางตายนับครั้งมิถ้วน อีกทั้งยัดเยียดสตรีให้มู่จวินฮานมิหยุดหย่อน

ตอนนี้พอเปลี่ยนเป็นพระชายาที่สามารถควบคุมได้ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที มู่เหล่าหวางเฟยช่างปรับตัวได้รวดเร็วเสียจริง !

หากนางมิได้พบเจอเรื่องทั้งหมดด้วยตนเอง บางทีคงมิกล้าเอ่ยเช่นนี้ก็ได้

“เรียนมู่เหล่าหวางเฟย พระชายามาขอพบเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นว่าตอนนี้เฝิงเยว่เอ๋อมิได้เป็นอันใดแล้ว อันหลิงเกอก็รู้สึกเบาใจ อย่างน้อยก็ได้ทดแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายเคยช่วยมู่จวินฮานไว้ ต่อไปถ้าเกิดอันใดขึ้นก็จะถือเป็นคนละเรื่อง

ทว่าปี้จูที่อยู่ข้างกายเฝิงเยว่เอ๋อเมื่อเห็นฟางหย่าเกอก็ถึงขั้นตกตะลึง

ก่อนหน้านี้นางเคยพบอันหลิงเกอตอนที่ปลอมตัวเป็นซูฉางเฟิงแต่ก็มิได้คิดอันใด ทว่าตอนนี้ได้พบฟางหย่าเกอก็มิรู้เหตุใดจึงรู้สึกว่าช่างเหมือนอันหลิงเกอเสียเหลือเกิน

แต่คิดแล้วก็มิแปลกอันใด เพราะพวกนางอยู่เผ่าเดียวกันทั้งยังมีสายเลือดที่เกี่ยวข้องกันอีกด้วย

พอปี้จูนึกถึงการตายของอันหลิงเกอก็อดที่จะขอบตาแดงมิได้ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของปี้จูแล้ว อันหลิงเกอก็รู้สึกปวดใจมิน้อย

น่าเสียดายที่ตอนนี้มิอาจแสดงตัวตนได้จึงทำเพียงค่อยไปปลอบใจเด็กคนนี้วันหลังแล้วกัน

“คารวะพระชายาเจ้าค่ะ” ฟางหย่าเกอคำนับให้แก่เฝิงเยว่เอ๋อ จากนั้นก็เตรียมตัวถอยออกไป

“รอก่อน ข้าจักพาเจ้าไปทำความรู้จักกับที่นี่”

มิรู้ว่าเฝิงเยว่เอ๋อมีจุดประสงค์อันใด แต่อันหลิงเกอก็ยังพยักหน้ารับเพราะฐานะของนางตอนนี้มิอาจปฏิเสธคนเหล่านี้ได้ อีกอย่างนางก็มิได้รังเกียจเฝิงเยว่เอ๋อจึงมิได้คิดอันใดมาก

“เจ้ามาจากเผ่าพิษหนอนกู่ คงเคยได้ยินชื่ออันหลิงเกอมาบ้าง” เฝิงเยว่เอ๋อเหมือนกำลังหยั่งเชิงฟางหย่าเกอ

“มิเคยเจ้าค่ะ”

ฟางหย่าเกอส่ายหน้า คนของเผ่าพิษหนอนกู่หากมิเคยได้ยินก็นับว่ามิแปลกอันใดหรอก

“อืม…” เฝิงเยว่เอ๋อคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง

“พระชายา เชี่ยเซินคงต้องขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอมิอยากถกเถียงเรื่องนี้กับนางอีก หากนางฉลาดพอก็ควรมองออกว่าฟางหย่าเกอมิได้มีความคิดที่จะแย่งชิงตำแหน่งกับนาง

“เจ้าไปเถิด”

ในเมื่อฟางหย่าเกอมิรู้จักอันหลิงเกอก็ไร้เหตุผลที่จะสนทนาด้วยอีก

ความจริงแล้วเฝิงเยว่เอ๋อนั้นรู้ดีว่าเหตุใดต้องสืบข่าวของอันหลิงเกอเพราะนางอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วอันหลิงเกอตายไปจริงหรือไม่

และในวันนั้น นางก็รู้เรื่องที่มู่เหล่าหวางเฟยลงมือทำเป็นอย่างดี

เพียงแต่…นางมิอาจขัดขวางได้และนางก็มิอยากจะขัดขวางด้วย

หากอันหลิงเกอตายแล้วทั่วหล้าก็จะไม่มีผู้ใดสามารถแย่งมู่จวินฮานไปจากนางได้อีก

ทว่าเมื่อข่าวการตายของอันหลิงเกอถูกส่งมา นางก็มิอยากจะเชื่อ นางเฝ้าขอคำยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็มิได้มีหลักฐานอันใดเพิ่ม

อันหลิงเกอช่วยนางเอาไว้ เฝิงเยว่เอ๋อจึงอดกลัวมิได้

นางรู้ดีว่ามิอาจเป็นเจ้าของมู่จวินฮานอย่างแท้จริงได้ กระทั่งตอนนี้หัวใจของเขาก็ยังไม่มีนางอยู่ ส่วนอันหลิงเกอผู้นั้นแม้หายตัวไป แต่เฝิงเยว่เอ๋อกลับรู้สึกว่าสักวันหนึ่งอีกฝ่ายต้องกลับมาแน่นอน

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางกังวลมิน้อย

โดยเฉพาะยามที่ได้พบฟางหย่าเกอที่มาจากเผ่าพิษหนอนกู่ แววตาของอีกฝ่ายช่างเหมือนกับอันหลิงเกอยิ่งนัก

แววตาที่ไร้ความหวาดกลัว ไร้ซึ่งความปรารถนา ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ

แต่ทั้งสองก็มีบางอย่างที่แตกต่างกันคืออันหลิงเกอมิยอมลงให้ใครง่าย ๆ ส่วนฟางหย่าเกอมิเป็นเช่นนั้น

ทั้งหมดนี้จึงทำให้เฝิงเยว่เอ๋อสับสนไปหมด

“นายหญิงเจ้าคะ ท่านอ๋องมิมาหา ท่านก็ไม่สนใจหรือเจ้าคะ ? ”

เสี่ยวหยามิเข้าใจ แม้ตนมีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่ก็รู้ดีว่าสตรีทุกคนล้วนปรารถนาที่จะได้พบท่านอ๋อง อย่างไรสำหรับจวนแห่งนี้ท่านอ๋องก็เป็นเหมือนผืนฟ้าของทุกคน

แต่อันหลิงเกอมิได้แต่งกับท่านอ๋องด้วยตัวตนแท้จริง อีกทั้งยังตั้งใจหลบเลี่ยงด้วย เหตุใดต้องทำเช่นนี้ ?

หรือก่อนหน้านี้ที่นางได้ยินว่าอันหลิงเกอเคยเป็นพระชายาของท่านอ๋องจักเป็นเรื่องจริง ?

ดูท่าอันหลิงเกอคงมีเรื่องราวที่มิต้องการให้ผู้ใดรู้ซุกซ่อนไว้อีกมากมาย

แต่เสี่ยวหยารู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์ถามจึงมิได้กล่าวอันใดต่อ บางเรื่องก็หาใช่เรื่องของตนไม่

ตอนนี้การได้ติดตามอันหลิงเกอ ชีวิตของนางก็สบายขึ้นมิน้อย นางไม่มีทางหักหลังอันหลิงเกอและไม่มีทางคิดเช่นนั้น

“ก็เงียบสงบดี”

อันหลิงเกอกล่าวพร้อมยิ้มออกมา ความจริงแล้วเหตุใดนางจะไม่คิดถึงมู่จวินฮานเล่า พวกนางมิได้ใกล้ชิดกันเช่นเมื่อก่อนมานานเพียงใดแล้ว

แต่มู่จวินฮานได้ลืมนางจนสิ้น มิรู้แม้กระทั่งว่านางเป็นผู้ใดแล้วจะทำอันใดได้

อีกอย่างนางต้องแก้แค้นให้จงได้ มู่เหล่าหวางเฟยผู้นั้นจะต้องมิตายดี !

ดังนั้น ก่อนที่นางจะทำเรื่องนี้สำเร็จจึงมิสามารถกลับไปอยู่ข้างกายมู่จวินฮานได้ การที่เขาจดจำนางมิได้เช่นนี้เมื่อคิดให้ดีแล้วก็ดีเหมือนกัน

บางทีพวกนางคงต้องจากกันไปเช่นนี้

อย่างไรอันหลิงเกอก็มีเรื่องต้องทำ การให้เขาคิดว่าสตรีที่รักสังหารมารดาของตน สู้ให้เขามิรู้ว่านางเป็นผู้ใดไปตลอดกาลยังดีกว่า

“พักผ่อนเถิด” หลังอันหลิงเกอเพิ่งจะหลับตาลงก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านนอก

“เสี่ยวหยา” นางปลุกเสี่ยวหยาเบา ๆ เสี่ยวหยาเข้าใจความหมายของนางดีจึงมองออกไปนอกหน้าต่าง

นอกห้องมีเงาคนวูบผ่านไปจริง

เป็นผู้ใด !

เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้อันหลิงเกออดรู้สึกกังวลมิได้ หรือนางเผลอหลุดตัวตนที่แท้จริงออกไปจนมู่เหล่าหวางเฟยจับได้ หากเป็นเช่นนั้นมู่เหล่าหวางเฟยจะทำเช่นไรกับนางบ้าง

ตอนนี้นางยังมิอาจสังหารมู่เหล่าหวางเฟยได้ จักกำจัดมู่เหล่าหวางเฟยได้ก็ต่อเมื่อความผิดทั้งหมดถูกเปิดเผยออกมาเสียก่อน

มีเพียงวิธีนี้ถึงจะทำให้คนทั้งใต้หล้าได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของมู่เหล่าหวางเฟยและโดนผู้คนประณาม

จนกว่าจะถึงตอนนั้นอันหลิงเกอต้องอดทนรออย่างสงบและทันใดนั้นประตูก็เปิดออก

เสียงฝีเท้าหยุดอยู่ที่หน้าประตู อันหลิงเกอจึงลุกขึ้นนั่ง

“ใช่เจ้าหรือไม่ ? ” คนที่อยู่หน้าประตูถามเบา ๆ

เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นคือใคร ร่างของอันหลิงเกอก็สั่นเทาขึ้นมา

ฟางหลิงซู่หรือ ?

นางมิรู้ว่าควรตอบเช่นไรดี แต่นางรู้ว่าตอนที่ฟางฮวาออกมาจากหอพิษกู่คงถูกเขาสงสัยเป็นแน่

“เจ้ามาแล้วหรือ” นางตอบกลับไป ก่อนจะให้เสี่ยวหยาถอยออกไปด้วย

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอิ่งจือเป็นผู้ใด ! ” ทันทีที่ฟางหลิงซู่เข้ามาก็กอดอันหลิงเกอไว้แน่น ก่อนจะดันร่างของนางออกแล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม

เหตุใดอันหลิงเกอจึงเสี่ยงอันตรายไปอยู่กับคนพวกนั้นได้

“เขาช่วยชีวิตข้าไว้”

ทันทีที่นางกล่าวออกมาก็รู้สึกเสียใจที่พลั้งปาก และนางก็เห็นความรู้สึกผิดปรากฏอยู่ในแววตาของฟางหลิงซู่อย่างชัดเจน

“ข้าผิดเองที่ปกป้องเจ้ามิดีพอ” ฟางหลิงซู่เอ่ยออกมาเสียงเบาและรู้สึกปวดใจยิ่งนัก

“ฟางหลิงซู่ มิใช่ความผิดเจ้าและตอนนี้ข้าอยู่ที่จวนอ๋องมู่เพราะต้องการแก้แค้นเท่านั้น”

ฟางหลิงซู่เข้าใจนางดี แต่การที่นางกลับมาจวนแห่งนี้ก็ทำให้ฟางหลิงซู่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเลย

“ข้าเตรียมศพของสตรีไว้ให้คนของจวนอ๋องมู่ดูแล้ว” อันหลิงเกอพยักหน้ารับ นางรู้ว่าทุกเรื่องที่ฟางหลิงซู่ทำก็เพื่อต้องการช่วยนาง

“ข้าอยู่นานมิได้ ข้าต้องไปก่อน ส่วนนกพิราบสื่อสารตัวนี้เจ้าเก็บเอาไว้ใช้งานเมื่อยามจำเป็นเถิด”