ภาคที่ 5 บทที่ 52 ทหารประชิดเมือง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้นบนถนน

“ยังมีผ้านวมอีกไหม?”

“บ้านใครยังมีผ้านวมอีก”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนลอยมาจากนอกประตู เด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังกำไม้กวาดด้ามหนึ่งนั่งเคร่งขรึมอยู่บนม้านั่งตัวน้อยพลันหมุนตัว

“แม่ แม่ เอาผ้าห่ม” นางตะโกน

ในบ้านพลันมีสตรีอุ้มผ้าห่มวิ่งออกมา เด็กหญิงตัวน้อยเปิดประตู ในตรอกมีคนมากมายอุ้มผ้าห่มวิ่งอยู่บนถนน บนถนนใหญ่ก็มีเกวียนคันแล้วคันเล่า ด้านบนวางผ้าห่มกองไว้ไม่น้อย

ผ้าห่มเหล่านี้มีใหม่มีเก่าสารพัดแบบต่างๆ กันไป กองหนาเป็นตั้งอย่างรวดเร็วยิ่ง เมื่อเห็นว่ากองเต็มแล้วคนลากรถก็วิ่งไปยังกำแพงเมืองทันที

เทียบกับความเงียบสงบบนถนนใหญ่ ใกล้ๆ กำแพงเมืองผู้คนออรวมกันอยู่ เกวียนผ้าห่มมาถึงปุบก็มีคนที่รออยู่ขนลงมาแบกขึ้นหลังย่ำขึ้นบนกำแพง

ผ้าห่มผืนแล้วผืนแล้วถูกพาดแขวนไว้บนกำแพง มองไกลๆ เหมือนกำแพงสี่ด้านถูกผ้าห่มคลุมไว้ เมื่อผ้าห่มปูแขวนแล้ว สตรีทั้งหลายที่รออยู่ก่อนก็ราดน้ำในถังลงมา

ชาวบ้านเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าไปมาเช่นนี้อย่างเป็นระเบียบ ข้างกายพวกเขายังมีชาวบ้านที่แบกก้อนหินท่อนไม้ขึ้นลงไม่ขาด ด้านบนด้านล่างตะโกนฮุยเลฮุยเอะอะ แต่เป็นระเบียบเรียบร้อย ยุ่งแต่ไม่วุ่นวาย

ฉับพลันเสียงหวีดแหลมก็ลอยมาจากข้างนอก ผู้คนรู้สึกเพียงเหนือศีรษะมีเสียงชนกระแทกหนักหน่วงดังขึ้น นี่เป็นเสียงกระสุนหินกระทบบนกำแพง เพรามีผ้าห่มเปียกคลุมป้องกันอยู่จึงลดความเสียหายที่มีต่อกำพงเมืองลงได้ แต่กลับขวางก้อนหินที่ข้ามกำแพงเมืองกลิ้งร่วงลงมาไม่ได้

“หมอบไว้ หมอบไว้”

“พิงกำแพง พิงกำแพง”

เสียงตะโกนลนลานดังขึ้นวุ่นวาย แม้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีคนถูกก้อนหินอัด เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น ด้านล่างประตูเมืองอลหม่านไปแถบหนึ่ง แต่ยังมีคนวิ่งเข้ามายกคนที่ได้รับบาดเจ็บหนีไปที่ถนนด้านใน

บ้านที่อยู่ติดถนนล้วนปล่อยให้ว่าง พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงเฝ้าอยู่ที่นี่ สั่งการให้ยกคนที่ได้รับบาดเจ็บเข้าไปจากนั้นเริ่มรักษา

ก้อนหินไม่กลิ้งร่วงลงมาอีกแล้ว ผู้บาดเจ็บใต้ประตูเมืองก็ล้วนถูกจัดการ แต่ก้อนหินและคราบเลือดที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้นก็ยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกหนักอึ้ง

“กระสุนหินของชาวจินเหวี่ยงเข้ามาได้แล้ว คูเมืองพวกนั้นถูกถมเรียบแล้วหรือ?”

ชาวบ้านที่แนบติดกำแพงอยู่ถกเถียงกันเสียงเบา

“แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคาดหวังว่าคูเมืองจะขวางชาวจินได้”

แม่ทัพทั้งหลายที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองเวลานี้สีหน้าเคร่งขรึมมองไปนอกเมือง สายตาสบกับรถยิงหินคันแล้วคันเล่าที่กำลังบีบเข้าใกล้ด้านนี้อย่างเชื่องช้าภายใต้การคุ้มกันของรถเกราะ

“สำหรับชาวจิน ความเร็วที่ถมคูเมืองก็ช้าพอตัว” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยขึ้น คล้ายพวกเขาไม่รีบโจมตีเมือง

ทหารจินที่บีบเข้าใกล้ประตูเมืองตั้งแถวเคร่งครัด เกราะวาววับ แต่จำนวนคนกลับไม่มาก สีหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้ดุร้าย ตรงกันข้ามติดจะหยอกเล่นอยู่บ้าง

“กำแพงเมืองของเมืองหลวงสูงหนาไม่เหมือนที่อื่นจริงๆ”

อวี้ฉือไห่ที่ยืนอยู่ใต้ธงผืนหญ่ผืนหนึ่งใจกลางกระบวนทัพลูบหนวดเอ่ยขึ้น เขามองไปยังเมืองด้านหน้า สีหน้าสบายๆ

“ครั้งก่อนตอนข้ามา เคยดูอย่างละเอียด”

เขาพูดพลางก้าวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว

“หมื่นลี้เชื่อมเมฆา ก้มทัศนาดุจดาวไถ ก่อสร้างประณีตเกรียงไกร ไพร่พลทางลับเร้นซ่อน”

เป็นบทกวีที่ดีจริงๆ

แต่รอบด้านไม่มีเสียงถอนหายใจชมเชย อวี้ฉือไห่หันกลับมามองทีหนึ่ง แม่ทัพจินทั้งหลายผู้หน้าตาหยาบเถื่อนเหล่านี้เวลานี้ ไม่ดวงตาเต็มไปด้วความละโมบมองเมืองตรงหน้าคิดถึงสมบัติล้ำค่าและสตรีด้านใน ก็มองเขาอย่างงุนงงอยู่บ้าง คล้ายไม่เข้าใจว่าทำไมยังไม่เข้าโจมตี

พวกคนเถื่อนไร้อารมณ์สุนทรีย์

อารมณ์สุนทรีย์ของอวี้ฉือไห่เลือนหายไปอยู่บ้าง

“เมืองแห่งนี้สูงใหญ่อีกเท่าใด ทหารทั้งหลายของพวกเราก็ต้องบุกเอาชนะได้แน่” แม่ทัพจินคนหนึ่งเอ่ยอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “เมืองที่พบตลอดทางที่ผ่านมานี่เมืองไหนๆ ก็ล้วนแข็งแกร่งกว่าแดนเหนือ แต่แล้วอย่างไร”

“แม่ทัพและทหารเหล่านั้นอ่อนแอไม่ทานทนสักการโจมตี” แม่ทัพจินอีกคนหนึ่งเท้าสะเอวหัวเราะลั่น

อวี้ฉือไห่อมยิ้มมองด้านหน้า

“ใช่แล้ว ดังนั้นกำแพงเมืองหนาแข็งแกร่งเช่นนี้มองเมินไม่ต้องคิดถึงก็ได้” เขาเอ่ย “สิ่งที่พวกเราต้องโจมตีไม่ใช่ประตูเมือง แต่เป็นหัวใจของคนด้านใน”

เขาเอ่ยพลางก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งอีกหน

“โจมตีขยี้ความกล้าหาญของพวกเขา ทำลายจิตวิญญาณของพวกเขา ตีหัวเข่าพวกเขาให้แหลก ให้พวกเขาก้มหัวยอมสยบอยู่เบื้องหน้าพวกเรา”

คำพูดนี้ทำให้คนสุขสันต์มากกว่ากลอนบทกวีชวนสับสนมึนงงนั่นเมื่อครู่มาก แม่ทัพจินทั้งหลายด้านข้างกุมท้องหัวเราะบ้าคลั่งขึ้นมา

“แต่” อวี้ฉือไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อยอีกหน “เมืองหลวงนี่ไม่เหมือนกับที่ข้าจินตนาการไว้อยู่บ้าง”

“ไม่เหมือนอย่างไร?” แม่ทัพทั้งหลายข้างกายเอ่ยถาม

อวี้ฉือไห่มองคูเมืองมากมายถี่ยิบตรงหน้ารวมถึงพื้นดินขรุขระไกลออกไปอีก นี่เห็นชัดยิ่งว่าขุดขึ้นใหม่ ด้านนอกประตูเมืองของเมืองหลวงก่อนหน้านี้ทำนุบำรุงจนราบเรียบยิ่ง

ขุดคูเมืองมากและลึกเช่นนี้ออกมาได้ในเวลาสั้นๆ เห็นได้ว่าต้องใช้กำลังคนมากมายนัก

คูเมือง เครื่องกีดขวางเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันเมือง ทำเช่นนี้ได้ย่อมต้องรู้ว่าทหารจินจะมาเยือน แต่ขณะที่รู้ว่าทหารจินจะมาเยือนยังจัดกำลังคนกำลังของมากเช่นนี้มาทำเรื่องเช่นนี้ได้ เห็นได้ว่าชาวบ้านในเมืองยังไม่ตื่นตระหนกพังทลาย

นอกจากนี้เมื่อครู่ผ่านหมู่บ้านใกล้เมืองหลวง คนก็ล้วนหนีหายบ้านว่างเปล่า ตลอดทางไม่พบประชาชนวิ่งลนลานกระจายรอบด้าน

“ดูท่าชาวบ้านด้านนี้ของเมืองหลวง จะสุขุมกว่าก่อนหน้านี้มาก” อวี้ฉือไห่อมยิ้มเอ่ย ท่าทางถอนหายใจชื่นชมอยู่บ้าง “ไม่เสียทีเป็นประชาชนใต้เบื้องพระบาทของโอรสสวรรค์”

พูดจบรอยยิ้มในดวงตาพลันกลายเป็นเย็นเยียบ ยกมือขึ้นโบก

“โล่มนุษย์บุก”

“พวกเราก็ยิงหินได้”

แม่ทัพคนหนึ่งบนกำแพงมองทหารจินด้านนอกประตูเมืองผ่านช่องแล้วเอ่ยเสียงเบา

“ไม่ไหว ใกล้อีกหน่อย ไม่เช่นนั้นยิงหินไปก็เสียเปล่า” แม่ทัพอีกคนหนึ่งเอ่ย

ยิงหินที่สำคัญใช้กับการโจมตีเมือง ส่วนการโจมตีสวนมุ่งจัดการรถเกราะ แต่เวลานี้รถเกราะของทหารจินคุ้มกันเป็นชั้นๆ อยากโจมตีทีเดียวให้โดน จำต้องให้พวกมันเข้ามาใกล้อีกหน่อย

ยามทั้งสองคนเอ่ยคำนี้ แม้สีหน้ากังวลแต่ไม่ได้หวาดกลัวมาก ท่าทางคงเพราะปลายหางตามองเห็นรถยิงกระสุนของกองทหารชิงซานคันนั้นที่ตั้งอยู่ตรงกลาง

นี่เป็นถึงอาวุธที่ร้ายกาจยิ่งกว่าการยิงหิน แน่นอนกองหทารชิงซานบอกว่าตอนนี้ไม่ใช้ รอกองทัพใหญ่ของทหารจินบีบเข้าใกล้เมืองถึงจะใช้ ถึงเวลาโยนออกไปทีหนึ่งสังหารตายเป็นเบือได้ถึงใช้ของให้เป็นประโยชน์ที่สุด ข่มขวัญที่สุดได้

ตอนนี้ไกลใช้กระสุนหินหลังจากนั้นเข้าใกล้ใช้ศรก็เพียงพอแล้ว

แม่ทัพทั้งหลายเคร่งเครียดอยู่บ้างแล้วก็ตื่นเต้นอยู่บ้างอย่างประหลาด รอคอยรถเกราะเข้ามาใกล้อีกหน่อยรวมถึงแล่นเชื่องช้าอยู่บนถนนขรุขระมาถึงก็จะส่งสัญญาณยิงหิน แต่รถเกราะที่เคลื่อนอยู่ฉับพลันก็หยุด ทหารจินด้านหลังวุ่นวายชั่วครู่หลังจากนั้นก็ไล่คนกลุ่มหนึ่งออกมา

เมื่อเห็นคนเหล่านั้น แม่ทัพบนกำแพงเมืองอดไม่ได้เบิกตาโตสีหน้าเขียว

นี่คือประชาชนชาวโจวกลุ่มหนึ่ง มีผู้เฒ่ามีเด็กบุรุษสตรีต่างๆ กันไป แต่ละคนๆ สีหน้าจนตรอกร่ำไห้ตะโกนเมื่อทหารจินหวนแส้ลงมา

“คนด้านในจงฟัง รีบเปิดประตูเมืองเสีย”

ทหารจินสิบกว่าคนควบม้าใกล้เข้ามาด้านหน้า ใช้ภาษาโจวตะโกนเสียงดัง

“เปิดประตูเมือง รับประกันไม่ต้องกังวลชีวิต”

พวกเขาตะโกนรอบแล้วรอบเล่า หลังจากนั้นทะยานม้าอ้อมกลับวนเวียนรอบชาวโจวที่ถูกไล่อยู่

ทหารจินเหล่านี้มาถึงในระยะที่ศรยิงได้แล้ว แต่บนกำแพงกลับไม่มีคำสั่งให้ยิงโจมตี คนทั้งหมดล้วนสีหน้าสับสนมองดูประชาชนที่ถูกไล่ให้เข้ามาใกล้ทุกทีๆ เหล่านั้น

หลังร่างประชาชนเหล่านี้ รถเกราะรวมถึงทหารจินที่จะโจมตีเมืองขยับอีกครั้ง

“ใต้เท้า” มีรองแม่ทัพอดไม่ได้เอ่ยเรียกเสียงเบา

เวลานี้ยังทำอันใดได้อีก? ออกคำสั่งยิงหินยิงโจมตีหรือ? ถ้าเช่นนั้นเห็นชัดเจนยิ่งว่าคนที่จะบาดเจ็บก่อนคือชาวโจวเหล่านั้น

“ชาวจินหน้าไม่อายน่าตายเหล่านี้” มีแม่ทัพทุบกำแพงเมืองอย่างแรง

แต่หากไม่ยิงหิน รถเกราะและบันไดยาวโจมตีเมืองของทหารจินเหล่านั้นก็จะมาถึงใต้ประตูเมืองแล้ว

ทหารจินสิบกว่าคนขี่ม้าวิ่งมาข้างหน้าใกล้กว่าเดิมอีกหน แล้วยังจงใจง้างศรยิงมาบนกำแพงเมืองอย่างเต็มไปด้วยการท้าทายอีกด้วย

เวลานี้หากก้าวออกมาใช้คันศรย่อมยิงทหารจินไม่กี่คนตายได้แน่นอน

มีนายทหารอดไม่ได้ขยับร่าง

“ไม่มีคำสั่งไม่อาจขยับส่งเดช” หลังร่างเสียงนิ่งสนิทลอยมา

นายทหารคนนั้นแข็งทื่อทันที ไม่กล้าขยับอีกสักนิด ปลายหางตามองเห็นสตรีชราคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังร่าง

สตรีชรามองเขาครู่หนึ่งแล้วจึงไปข้างหน้าลาดตระเวนดูบนกำแพงเมืองต่อ ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงร่ำไห้ตะโกนเสียงร้องด่าที่ลอยมาใต้กำแพงเมือง

ชาวโจวถูกไล่ใกล้เข้ามาทุกที รถเกราะเคลื่อนบนนนขรุขระอย่างเชื่องช้าแต่ก็ใกล้เข้ามาทุกทีเช่นกัน

“ยิง”

ฉับพลันบนกำแพงก็มีคำสั่งคำหนึ่งลอยมา

ทหารยิงหินที่รอคอยมาตั้งนานแล้วยิงกระสุนหินออกไปทันที

ชั่วขณะหนึ่งก้อนหินประหนึ่งฝนลอยไปใต้ประตูเมือง

ใต้ประตูเมืองเสียงรถเกราะแตกรวมถึงเสียงกรีดร้องเสียงด่าทอของทหารจินดังขึ้น ขนาบด้วยเสียงร่ำไห้ตะโกนด้วยความหวาดกลัวของชาวโจว

แม่ทัพจินที่ยืนอยู่ไกลออกไปเห็นภาพนี้ก็สีหน้ายิ่งโกรธจัด

คิดไม่ถึงชาวโจวถึงกับเป็นเช่นนี้ เห็นประชาชนของตนเองถูกแส้หวดไล่กลับไม่โกรธแค้นก้าวออกมาทันที ตรงกันข้ามยังนิ่งสงบรอโอกาส ทำการโจมตีโดยไม่สนชาวโจวสักนิด

สีหน้าของเขาเขียวคล้ำ ออกคำสั่งให้รถเกราะและทหารจินที่คืบหน้าไปถอยกลับมา พลางโบกมือโหดเหี้ยม

พร้อมกับการโบกมือครั้งนี้ ทหารม้าชาวจินที่แตกกระจายไปเพราะการโจมตีของกระสุนหินก็รวมตัวกันใหม่อีกหนทันที ล้อมชาวโจวที่ร่ำไห้ตะโกนดาบฟันหอกแทง

ได้ยินเสียงร่ำไห้ตะโกนเสียงกรีดร้องของชาวบ้านด้านนอก คนทั้งหมดบนกำแพงล้วนหน้าเขียว นายทหารทั้งหลายยังควบคุมตนเองได้ ชาวบ้านทั้งหลายเหล่านั้นยากจะหักห้ามเนื้อตัวสั่นเทา

แม้เป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครสักคนกระโดดออกมา กระทั่งเสียงด่าทอดังลั่นก็ไม่มี

นี่ก็เพราะก่อนหน้านี้กองทหารชิงซานบอกย้ำหลายหนแล้ว ยามทำศึกไม่อาจหันหลังกลับ ไม่อาจเคลื่อนไหวตามใจ ไม่อาจเห็นศัตรูแล้วโหวกเหวก ไม่เช่นนั้นจะจัดการตามกฎทหาร

นอกจากนี้เวลานี้ก็มีผู้เฒ่าเด็กสตรีหลายคนตระเวนเฝ้าจ้องดูพวกเขาอยู่บนกำแพงเมือง

เสียงร่ำไห้ตะโกนนอกเมืองค่อยๆ หายไป กลับเป็นความสงบ

คิดดูก็รู้ว่าชาวบ้านเหล่านั้นถูกสังหารตายไปแล้ว

บนกำแพงเมืองยังคงเงียบกริบไม่มีความวุ่นวายสักนิด ปฏิกิริยาที่ไร้เสียงเช่นนี้ทำให้ทหารจินนอกเมืองยิ่งโกรธ

“พวกเจ้าไม่ยอมแพ้ รอหลังเมืองแตกก็จะมีจุดจบเช่นนี้”

นอกเมืองเสียงตะโกนด่าของทหารจินลอยมา

คนบนกำแพงเมืองไม่ใช่ไม่มีปฏิกิริยาจริงๆ พวกเขาโกรธแค้นทั้งยังโศกเศร้า ยังมีชาวบ้านมากกว่านั้นคิดขึ้นว่าหากตอนแรกหนีออกจากเมืองหลวงไป ถ้าเช่นนั้นคนที่ถูกฆ่าล้างบางใต้ประตูเมืองเวลานี้จะเป็นตนเองหรือไม่

ชาวจินโหดร้ายเท่าไร ทำสงครามนองเลือดไร้ความรู้สึกเท่าไร นาทีนี้พวกเขาไม่ใช่เพียงฟังคำบอกเล่ากระท่อนกระแท่นในเหลาสุราโรงน้ำชา และไม่ได้อยู่ว่างๆ มองดูความโศกเศร้าของชาวบ้านอพยพและผู้ลี้ภัย แต่สัมผัสด้วยตนเองอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

ในเวลานี้เอง เสียงกลองเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น

ความหมายของเสียงกลองเสียงฆ้อง นายทหารชาวบ้านล้วนคุ้นเคยแล้ว พวกเขาแทบจะเริ่มเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัว

นายทหารทั้งหลายเลิกเปิดสิ่งที่คลุมอยู่บนร่างยิงศรเข้าใส่ทหารจินใต้ประตูเมืองอย่างพร้อมเพรียง ชาวบ้านทั้งหลายแต่ละคนๆ ก็กลิ้งก้อนหินน้อยใหญ่ไปหารถยิงหิน

ชั่วขณะนอกประตูเมืองเสียงกรีดร้องดังระงม

ทหารม้าชาวจินที่อยู่ใต้ประตูเมืองพากันร่วงจากม้า รถเกราะที่ถอยหลังแต่ยังอยู่ในระยะการยิงของกระสุนหินก็ถูกทุบแหลก ขบวนแถวของทหารจินที่เดิมทีบีบเข้าใกล้เริ่มถอยหลังอย่างรวดเร็ว

อวี้ฉือไห่ที่ยืนอยู่ไกลๆ ชะเง้อมองทุกสิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เวลานี้ทหารจินที่ไปโจมตีตรงประตูเมืองอื่นก็ส่งคำบรรยายสถานการณ์ศึกเช่นนี้มาเช่นกัน

“ไม่ใช่บอกว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีทหารสักเท่าไร นอกจากนี้ล้วนเป็นนายทหารกับเจ้าพนักงานที่เพียงทำท่าเฝ้าประตูเมืองไม่เคยสังหารคนเท่านั้นหรือ?” เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมเตรียมรับศึกได้เข้มงวดเช่นนี้ เห็นชัดว่าเป็นกองทหารสู้รบที่ฝึกฝนจนชำนาญ”