ตอนที่ 393 รู้สึกเศร้า / ตอนที่ 394 เพียงเจอหน้าก็เหมือนได้เจอเพื่อนเก่า

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 393 รู้สึกเศร้า

 

 

“ฉันกลับแล้วนะ ถ้าสวีอันหรานกล้าออกไปลับหลังฉันละก็…” สวีรั่วชียิ้มสยอง “เขาตายแน่”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วโบกมือ “กลับดีๆ ล่ะ”

 

 

“หา?” สวีรั่วชีนึกว่าเธอจะรั้งตนไว้เสียหน่อย แต่กลับปล่อยให้เธอกลับไปอย่างง่ายดายแบบนี้ ทำไมถึงไม่มีความรู้สึกเศร้าเหมือนสูญเสียอะไรสักอย่างไปเลยนะ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบภาพนั้นที่ถูกสวีรั่วชีทำพังโดยไม่ตั้งใจขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะวาดแก้ตรงลายเส้นสีแดงนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ

 

 

สวีรั่วชีเห็นโครงร่างว่าเป็นใครก็ไม่กล้าถามต่อ

 

 

“งั้นฉันไปแล้วจริงๆ นะ” เป็นสวีรั่วชีเสียเองที่รู้สึกไม่อยากไป

 

 

“อืม” ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้าหงึกๆ แต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง “วันไหนจะให้ไปขี่ม้าเป็นเพื่อนก็มารับฉันแล้วกัน”

 

 

“ได้” สวีรั่วชีขยี้หัวเธอ เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วขยับมือ กลีบดอกไม้กลับหนึ่งที่เพิ่งระบายสีเสร็จก็เบี้ยวไปด้วย

 

 

“เธอไปได้แล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังไล่เขา ตอนนี้เธอต้องการพื้นที่ให้ตัวเองได้ขบคิดอะไรคนเดียว

 

 

สวีรั่วชีทำผิดก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ จึงรีบออกไปทันที ชายร่างใหญ่สองคนหน้าประตูต่างก็คิดไม่ถึงว่าคุณนายสวีเข้าไปเพียงไม่นานก็ออกมาแล้ว

 

 

สวีรั่วชีพูดกับชายสองคนนั้นอย่างอวดดี “ห้ามบอกเหยียนเค่อล่ะ”

 

 

“ครับ” คนเฝ้าประตูมีปากแต่ก็ไม่กล้าพูด ต่อให้พวกเขาไม่รายงาน แต่โรงพยาบาลก็มีกล้องวงจรปิดนะ

 

 

เบลล์ไปเซ็นสัญญาที่แผนกบุคคลที่ชั้นเจ็ด ตอนแรกควรจะถือเอกสารสัญญาแล้วตรงไปที่

 

 

ฮุยเถิงเลย แต่เธออยากเจอเหยียนเค่อสักครั้งก่อนจะไป จึงขึ้นไปที่ชั้นยี่สิบสามแต่กลับเจอรุ่นน้องผู้หญิงของเหยียนเฟิง เธอรับประกันว่ารุ่นน้องคนนั้นน่าจะไม่เห็นเธอ แต่การได้มาเจอสวีอันหรานก็เป็นเรื่องที่เธอไม่ได้คาดคิดมาก่อน

 

 

เหยียนเค่อนั้นมีต้นทุนที่ดีกว่าเหยียนเฟิงเป็นไหนๆ แต่ทำไมถึงมีคนที่เบนไปหาเหยียนเฟิงเยอะขนาดนี้กันล่ะ

 

 

เบลล์พูดไม่ออก คนโง่บนโลกใบนี้มีมากเหลือเกิน

 

 

หลายวันมานี้เหยียนเฟิงหมกตัวอยู่ในบ้านตลอด และไม่ให้เธอออกไปข้างนอกด้วย ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแก้ขัดไปสองสามวัน จู่ๆ เขาก็เอาขั้นตอนการทำเรื่องออกจากงานกับเงินค่าผิดสัญญามาโยนให้เธอ แล้วเธอก็ถูกไล่ออกมา…

 

 

อืม…ตอนนั้นเธอก็แอบดีใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะรีบออกมาเซ็นสัญญา

 

 

ความจริงในชีวิตก็ไม่มีฉากที่โอเวอร์อย่างการที่ต่างคนต่างก็ตกหลุมรักกันมากมายขนาดนั้นหรอก มีแค่จุดจบอัปลักษณ์ที่ถูกความเป็นจริงทำร้ายอย่างยับเยินก็เท่านั้น

 

 

ตอนบ่ายฮุยเถิงก็มีการต้อนรับผู้จัดการเข้ามาใหม่อีกหนึ่งคน เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่การปกป้องคุ้มกันที่อยู่ในระดับเดียวกับบอสใหญ่ทำให้ทุกคนรู้สึกฉงนสงสัยมากกว่า

 

 

อันหร่านได้รับข้อความจากเหยียนเค่อก็อยากจะไปกระโดดตึก คนที่ตายไวที่สุดก็คือคนที่รู้มากที่สุดนั่นล่ะ ถึงเธอจะสงสัยแต่เธอก็ไม่อยากรู้เยอะขนาดนั้นจริงๆ

 

 

ยังไม่ทันที่อันหร่านจะไปหาเบลล์ เบลล์ก็มาหาเธอเสียก่อน

 

 

“สวัสดีค่ะ”

 

 

“สวัสดีค่ะผู้จัดการ” อันหร่านรู้สึกคอแห้ง แค่ดูก็รู้แล้วว่าต้องเป็นพนักงานดีเด่นมากความสามารถ คนกากๆ อย่างซย่าเสี่ยวมั่วต้องถูกบีบให้แหลกกลายเป็นฟองสบู่แน่นอน

 

 

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ คุณคือหัวหน้าบก.ของคุณซย่าเหรอคะ” เหยียนเค่อไม่ได้สั่งให้เบลล์ดูแล

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่ว แต่คำที่แฝงไว้ก็คงมีความหมายประมาณนี้แหละ

 

 

อันหร่านพยักหน้า “เมื่อกี้ประธานเหยียนเพิ่งส่งข้อความมาบอกให้ฉันไปพบคุณน่ะค่ะ”

 

 

“จริงๆ ด้วยสินะ…” เบลล์ส่ายหัว “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ประธานเหยียนบอกว่าคุณจะบอกฉันเรื่องประสบการณ์ที่คุณพบเจอมาเหรอคะ”

 

 

“เหอะ ค่ะ” อันหร่านทั้งโมโหทั้งเสียใจ “จำไว้ว่าประธานเหยียนไม่ใช่บอสของฮุยเถิงก็พอแล้วค่ะ”

 

 

เบลล์ยกยิ้มที่มุมปาก “หลายวันก่อนคุณซย่าก็เพิ่งได้เจอกับฉันน่ะค่ะ ฉันก็เลยหวังว่า…”

 

 

ไม่หรอกมั้ง อันหร่านมองเธออย่างตกตะลึง จะให้เธอกุมความลับทั้งหมดนี้แล้วให้คนพวกนี้เอาไปหัวเราะเยาะกันลับหลังหรือไง!

 

 

แบบนี้ก็ดูไร้มนุษยธรรมเกินไปหน่อย เบลล์คิด “คุณก็บอกไปว่า คุณไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร บรรยายลักษณะของฉันให้เขาฟังก็พอแล้วค่ะ”

 

 

อันหร่านฝืนใจพยักหน้า ถ้าเลือกได้ เธอจะไม่มาฮุยเถิงเลย ต้องโทษยายเซียวอู๋อี้นั่นคนเดียว!

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 394 เพียงเจอหน้าก็เหมือนได้เจอเพื่อนเก่า

 

 

เบลล์เห็นสีหน้าที่ทั้งโมโหและเสียใจของเธอแล้วก็เอ่ยปลอบใจ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าเผลอหลุดพูดออกไปฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก” ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยเหยียนเค่อได้ด้วย

 

 

อันหร่านทำมือ ‘OK’ “ฉันจะพยายามนะคะ” เธอต้องโทรไปหาหัวหน้าบก.คนเก่าให้เขากลั่นแกล้งเซียวอู๋อี้เสียหน่อย น่าโมโหจริงๆ

 

 

เสน่ห์ของซย่าเสี่ยวมั่วนี่มองข้ามไปไม่ได้เชียว เบลล์ยิ้มบางๆ มีเพื่อนดีๆ ใกล้ตัวเยอะขนาดนี้เชียว

 

 

“คุณสวยมากเลยค่ะ คุณใช่คนที่หมั้นหมายกับท่านประธานเหยียนหรือเปล่าคะ” อันหร่านครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

 

 

เบลล์ยักไหล่แล้วเอ่ยหยอกล้อ “ฉันสวยกว่าคู่หมั้นเขาตั้งหลายเท่าค่ะ” เธอก็แค่พูดความจริง

 

 

อันหร่านหัวเราะอย่างสะใจ “ถ้าต่อไปเหยียนเค่อคบกับผู้หญิงขี้เหร่คนนั้นจริงๆ ถึงฉันจะหลับฝันก็จะต้องตื่นเพราะขำแน่เลยค่ะ”

 

 

ผู้หญิงคนนี้มีอะไรก็พูดออกมาหมด ไม่กลัวว่าเธอจะเอาไปฟ้องเหยียนเค่อสักนิด

 

 

พออันหร่านเกิดความสะใจแล้วก็จะลืมตัว เผลอเรียกเบลล์ว่า ‘คุณน้อง’ เมื่อพูดออกมาแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะก๊าก

 

 

“ฉันน่าจะแก่กว่าคุณนะคะ” เบลล์ดูเด็กก็จริงแต่น่าจะอายุมากกว่าพวกเขาอยู่หลายปี

 

 

“ไม่หรอกค่ะ ฉันอายุมากกว่าซย่าเสี่ยวมั่ว” อันหร่านโบกมือ เธอไม่ได้หน้าแก่ แต่เธอแก่อยู่แล้ว

 

 

“ซย่าเสี่ยวมั่วนี่ มองอายุไม่ออกเลยนะคะ” เบลล์เปลี่ยนคำเรียกใหม่ รู้สึกว่าก็ไม่เลวนัก

 

 

“เขากินแล้วนอน นอนแล้วกินอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ไม่มีเรื่องให้กลุ้มใจอะไรหรอกค่ะ” อันหร่านบรรยายซย่าเสี่ยวมั่วซะเหมือนหมู ทำเอาเบลล์ได้ยินแล้วก็หัวเราะไม่หยุด ก่อนจะยื่นมือไปหาเธออย่างเป็นมิตร “หวังว่าต่อไปจะได้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขนะคะ”

 

 

“ค่ะ” อันหร่านจับมือกับเธอ

 

 

หญิงสาวสองคนราวกับถูกชะตากัน แถมยังคุยกันถูกคออีกด้วย จนกระทั่งเบลล์ต้องไปประชุมถึงจะยอมหยุด

 

 

เหยียนเค่อทนไม่ไหวแล้วกับการที่สวีอันหรานคอยตามตื๊อเขา พอเขาอารมณ์ดีสักหน่อยก็เข้ามากวนประสาท บีบบังคับให้เขาลงไม้ลงมือ

 

 

“รีบลงรถไป”

 

 

“ตอนที่ไอ้ฉินซื่อหลานพูดฉันก็ยังไม่เชื่อนะ ไม่คิดว่านายจะเอารถคันนั้นให้เซ่าหมิงฟ่านไปจริงๆ”

 

 

เดิมทีเหยียนเค่อก็ไม่อยากเข้าบริษัทอยู่แล้ว ตอนนี้อยากจะกลับไปนอนเท่านั้น อีกสองสามวันอาจจะต้องไปดูงานที่เกียวโต ไอ้คนอยู่ว่างๆ ไม่ทำการทำงานพวกนี้นอกจากจะไม่เห็นใจเขาแล้วยังมาหาเรื่องเขาอีกสารพัด

 

 

“นายจะโทรหาใครอะ” สวีอันหรานเห็นเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็ถามขึ้นอย่างสงสัย

 

 

เหยียนเค่อก็ไม่ปิดบัง เลื่อนดูรายชื่อผู้ติดต่อก่อนจะกดไปที่ชื่อของสวีรั่วชี

 

 

“เฮ้ยๆๆ หยุดเลย!” สวีอันหรานรีบดึงข้อมือเขาไว้ “ทำไมนายถึงใจร้ายแบบนี้ล่ะ”

 

 

เหยียนเค่อออกแรงดึงข้อมือของตัวเองกลับ ก่อนจะใช้สายตาบีบให้เขาลงจากรถ

 

 

สวีอันหรานล่ะกลัวเขาเลย ยิ่งสนิทเท่าไรก็ยิ่งรู้จุดอ่อนเยอะเท่านั้น น่ากลัวเกินไปแล้ว

 

 

“อ้อ ฉันนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง”

 

 

สวีอันหรานก้าวขาลงรถไปข้างหนึ่งแล้ว เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็รีบชักขากลับเข้ามา “เราขับไปคุยไปเถอะ”

 

 

“ถ้านายไม่ลงไปฉันก็ไม่เล่า” เหยียนเค่อมองตรงไปด้านหน้า ไม่สนใจคนข้างๆ

 

 

“งั้นนายก็พูดมาสิ”

 

 

เหยียนเค่อก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเรื่องนี้จะมีประโยชน์ต่อสวีอันหรานหรือเปล่า แต่ทำให้เขาคลายกังวลไปได้สักนิดก็ดีเหมือนกัน “จำได้ไหมว่าคราวก่อนที่ฉันไปบ้านนายฉันนั่งตรงไหน”

 

 

สวีอันหรานพอจำได้รางๆ จึงพยักหน้า

 

 

“นายหาเวลาตอนเที่ยงหรือว่าตอนกลางคืนหลังจากเปิดไฟแล้วก็ได้ นั่งตรงตำแหน่งนั้นแล้วดูผนังบ้านที่ติดทีวีของพวกนาย ถ้านายไม่เห็นอะไรแปลกๆ งั้นนายก็เอาหน้าแนบกับผนังแล้วหาเอา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าบอกสวีรั่วชีนะว่าฉันเป็นคนบอกนาย และก็อย่าโง่ถึงขนาดที่ว่าไปหาต่อหน้าสวีรั่วชีด้วย”

 

 

เหยียนเค่อพูดสิ่งที่ควรจะพูดไปหมดแล้ว จะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว

 

 

สวีอันหรานมองเขาอย่างงุนงง “นายรู้อะไรมา ทำไมนายถึงรู้ดีว่าบ้านฉันมีอะไรมากกว่าตัวฉันอีกล่ะ”

 

 

สวีอันหรานเริ่มสงสัยว่าเหยียนเค่อ**เมียของตัวเองแล้ว

 

 

การเป็นคนดีนี่มันเหนื่อยจริงๆ เหยียนเค่อเปิดประตูให้เขา ก่อนจะถีบซ้ำๆ ไล่สวีอันหรานลงจากรถไปแล้วเอ่ยเตือน “ต่อไปถ้ามีอะไรไม่ต้องมาหาฉันอีก!”

 

 

Aston Martin one77 รูปทรงโฉบเฉี่ยวขับออกไป ทิ้งให้สวีอันหรานยืนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บในฤดูใบไม้ผลิเพียงคนเดียว