ตอนที่ 402 ตอบคำถาม
ซู่เวิ่นฟังคำพูดของนางแล้วเพียงยักไหล่
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าส่งของขวัญผิดที่เสียแล้ว ข้าเพียงรับคำไหว้วานของคนอื่นก็ต้องจัดการให้ ใช่ไหม”
เซียงฉือไม่เข้าใจที่ซู่เวิ่นพูดจึงจ้องมองนาง เห็นท่าทีที่แสดงออกว่ามันสมควรจะเป็นเช่นนั้นของซู่เวิ่นแล้ว นางก็หัวเราะอย่างเห็นขำ
เซียงฉือใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากพยายามไม่หัวเราะเปิดเผยจนเกินไปนัก
เมื่อหัวเราะได้ครู่หนึ่งเห็นซู่เวิ่นยังคงมองนางอยู่เช่นนั้นจึงเอ่ยปาก
“ใต้เท้าเป็นสตรีที่น่าสนใจจริงๆ ข้ามาขอบคุณท่านเพราะท่านมีความรู้ลึกซึ้ง มีวิชาการแพทย์ลึกล้ำ ทำให้ข้าติดค้างไมตรีจิตของใต้เท้า”
“ครั้งนี้หากใต้เท้าได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น คนผู้นั้นก็ติดค้างไมตรีใต้เท้าเช่นกัน แต่หากใต้เท้าจะกรุณาบอกแก่ข้าว่าคนคนนั้นคือผู้ใด เมื่อข้ารู้แล้วก็จะสำนึกขอบคุณเขาเช่นกัน”
“ไม่ทราบว่าคนคนนั้นคือใครหรือเจ้าคะ”
เซียงฉือพูดอ้อม ใช้คำพูดราวกับกำลังเล่นต่อคำ ท้ายที่สุดหลังจากพูดจบแล้ว ทั้งเซียงฉือและซู่เวิ่นต่างถอนหายใจยาว หญิงสาวทั้งสองสบตากันแล้วหัวเราะ
ซู่เวิ่นเป็นหญิงสาวที่ใครถามแล้วนางจะตอบ เมื่อเซียงฉือถามนางจึงตอบให้
“ข้ามีผู้มีพระคุณอยู่คนหนึ่งซึ่งเคยช่วยชีวิตข้าไว้ขณะมีภัย และข้าก็เป็นคนรู้บุญคุณคน คนคนนั้นเคยสั่งข้าไว้ว่า หากมีโอกาสก็ให้ช่วยดูแลเจ้าด้วย”
“คืนนั้นขันทีในตำหนักเจิ้งหยางมาแจ้งข่าวว่าอาการป่วยรุนแรงมาก แต่ทางกองโอสถส่งสวีฝูไปแล้ว ถึงนางจะงดงามทว่าสมองทึมทึบ ร่ำเรียนมาหลายปีแต่ก็ยังใช้การไม่ได้ พอข้าได้ยินว่าอาการเจ้าคับขัน เกรงว่านางจะสะเพร่าทำผิดพลาดจึงรีบตามไป แต่ว่าข้าเข้าตำหนักเจิ้งหยางไม่ได้ จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าเหอ”
ซู่เวิ่นเป็นคนซื่อตรงจริงๆ แต่ว่าคนที่ฝากฝังให้นางดูแลตนคนนั้นคือใคร นางยังไม่อาจรู้ได้
นางเกิดความสงสัยว่าในโลกนี้จะยังมีใครที่ทำให้ข้าราชสำนักสตรีคนหนึ่งในวังติดค้างหนี้บุญคุณใหญ่หลวงนี้ได้ ถึงกับไหว้วานนางให้ช่วยดูแลตน
เซียงฉือจึงคิดจะถามต่อ แต่ซู่เวิ่นพูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องถามแล้ว พวกข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขานี่แผนการแยบยลเต็มไปหมด ข้าไม่คุยกับเจ้ามากแล้วประเดี๋ยวจะถูกเจ้าหลอกถามเอา ในเมื่อคนคนนั้นเขาดูแลเจ้า เจ้าก็อย่ากังวลใจไปเลย เขาไม่ต้องการให้เจ้ารู้ เจ้าก็ไม่ต้องเดาให้มาก ดูแลตัวเองให้ดีก็จะเป็นการตอบแทนบุญคุณเขาที่ดีที่สุดแล้ว อีกอย่าง…” ซู่เวิ่นหยุดลงเหมือนใช้ความคิด พอเห็นเซียงฉือกำลังจะเอ่ยปากก็รีบห้ามไว้ กลัวว่าถูกนางถามแล้วตนเองจะไม่ทันระวังหลุดปากพูดถึงคนคนนั้นออกมา
เซียงฉือยิ้มไม่บีบคั้นนางอีก ฟังนางพูดต่อ
“อีกอย่างข้าก็เป็นหมอ การรักษาช่วยเหลือคนเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องทำเต็มกำลังอยู่แล้วอย่าว่าแต่เจ้าเลย เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องขอบคุณ แต่หากนำของขวัญมาแล้วข้าไม่รับไว้ คงจะทำให้เจ้าไม่สบายใจสินะ”
ซู่เวินกัดนิ้วคิ้วขมวด ถึงความงามของนางจะไม่ถึงขั้นล่มเมืองได้ แต่ใบหน้างดงามขาวผุดผาด เปล่งปลั่งมีเลือดฝาด ขณะที่อ่านตำราแพทย์อยู่นั้น ดวงตาเป็นประกายราวสาดส่องเจิดจ้าทั่วทิศ ดังนั้นเซียงฉือจึงรู้สึกว่านางงดงามกินใจ บุคลิกเป็นเลิศ
ขณะนี้สาวงามปานนี้กำลังกัดนิ้วแล้วพูดขึ้นอย่างลำบากใจว่า
“ทำให้เจ้าลำบากใจเขาคงไม่ชอบใจนัก เช่นนั้นของนี้ข้ารับไว้ก็แล้วกัน แต่ก็เพียงครั้งเดียวนะ ต่อไปหากยังนำของมาอีก ข้าจะสั่งยาทำให้เจ้าพูดอะไรไม่ได้อีกเลย”
เซียงฉือหัวเราะพรืดแต่ก็สะบัดมือรีบบอกว่า
“ไม่กล้า ไม่กล้าแล้ว…”
แต่ในใจนั้นชื่นชอบสตรีที่คิดอะไรก็พูดแบบนั้นคนนี้หนักหนา
ตอนที่ 403 องค์หญิงหมิงอวี้
เซียงฉือไม่กล้าถามอีก นางมีความรู้สึกที่ดีต่อซู่เวิ่นมากขึ้น ทั้งคู่คุยเรื่องสัพเพเหระกันไปกระทั่งได้ยินด้านนอกมีคนมาตามเซียงฉือกลับตำหนัก
เซียงฉือจึงลุกขึ้นบอกลา ซู่เวิ่นรั้งนางไว้ครู่หนึ่ง
“ข้าคิดว่า ข้าได้รับการไหว้วานมาจึงไม่บอกชื่อคนคนนั้นกับเจ้า แต่ว่าคนคนนั้นห่วงใยเจ้าอย่างจริงใจ หวังว่าเจ้าจะถนอมเขาให้ดีนะ”
“ยังมีอีก อย่าได้คิดมากและเสียใจเกินไป เรื่องในใจเจ้าหนักหนานัก ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป จะส่งผลร้ายรุนแรงมาก”
“การป่วยไข้ครั้งนี้แม้จะรุนแรงแต่เจ้าก็ต้องขอบใจมัน หากมิใช่เช่นนั้นอาการของโรคจะยิ่งซึมลึก ถึงเวลานั้นต่อให้เทพยดาลงมาจากสวรรค์ก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้”
เซียงฉือพยักหน้า เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจพูดว่า
“ข้าจะจำไว้ ครั้งนี้ทำให้ใต้เท้าซู่เวิ่นเป็นห่วงแล้ว”
พูดจบเซียงฉือคารวะแช่มช้อยแล้วลุกขึ้นจากไป
เซียงฉือรู้ว่าซู่เวิ่นพูดด้วยความปรารถนาดี และเพราะเหอจิ่นเซ่อเคยบอกกับนางแล้วว่าโรคใจจำเป็นต้องรักษาด้วยยาใจ หากไม่ใช่เพราะนางป่วยไข้เช่นนี้ เหอจิ่นเซ่อที่เคร่งขรึมคงจะไม่พูดเรื่องพวกนี้กับนาง
จู่ๆ เซียงฉือก็ไม่คิดอยากอยู่ไปวันๆ อีกต่อไป นางปรารถนาจะมีแกนยึดเหนี่ยว เพื่อจะได้มีเป้าหมายในการก้าวต่อไป ความรู้สึกเช่นนั้นประดุจเรือน้อยลอยออกจากหมอกหนาทึบ ได้พบทิศทางประภาคาร ซึ่งทำให้เกิดพลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง
เซียงฉือคิดไปพลางเดินเข้าตำหนักเจิ้งหยางแล้วเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้ง นางได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยสนุกสนานจากในตำหนัก เซียงฉือบังเกิดความสงสัยว่าคนคนนั้นคือใคร น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงได้เห็นหญิงสาวอายุราวสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่ง นางนั่งอยู่ถัดลงไปจากหรงจิง กำลังเขียนกลอนกระเซ้ากันอยู่กับฮ่องเต้
เซียงฉือเพราะได้รับการเรียกตัวจากฮ่องเต้จึงได้เดินเข้าไปแล้วคารวะหรงจิง
“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
เซียงฉือเหลือบตามองสตรีในชุดราชสำนักสีม่วง บังเกิดความสงสัยในฐานะของนาง เซียงฉือเข้าวังมาหลายปีแล้วยังไม่รู้เลยว่าในวังนี้ยังมีสตรีเช่นนี้อยู่
ดูจากเครื่องแต่งกายก็รู้ว่านางมีฐานะสูงส่งอย่างยิ่ง แต่นางไม่ใช่สนมนางในอย่างแน่นอน เพราะนางเกล้ามวยผมง่ามคู่ซึ่งเป็นทรงผมที่หญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนในหลานโจวซูโจวมักจะหวีกัน ไม่ผิดแน่นอน
หรงจิงเห็นเซียงฉือเงยหน้ามองมาก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านนี้คือองค์หญิงหมิงอวี้น้องสาวคนเล็กสุดของข้า ตอนเสด็จพ่อสวรรคตนางเพิ่งจะสี่ขวบ จึงได้ติดตามจวงไท่เฟย[1]ไปปฏิบัติธรรมบำเพ็ญภาวนายังอารามหวงหมิงที่ซูโจวเพื่อเป็นการถวายพระราชกุศลแด่เสด็จพ่อ ตอนนี้ใกล้ถึงวัยจี๋จี[2]แล้ว จึงได้กลับวังมา!”
เมื่อฟังจบ เซียงฉือรีบทำความเคารพตามพิธี
“หม่อมฉันเซียงฉือถวายพระพรองค์หญิงหมิงอวี้ ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
พอนางพูดจบหรงจิงยังไม่ได้เรียกให้ลุกขึ้น องค์หญิงหมิงอวี้ก็กระโดดโลดเต้นเข้าไปประคองเซียงฉือพูดขึ้นว่า
“พี่สาวคนนี้งดงามทีเดียว ไม่ทราบว่าเป็นพระสนมของเสด็จพี่หรือ”
น้ำเสียงของนางสดใสนุ่มนวลมีสำเนียงพิณของเด็กสาวชาวซูโจว ด้วยท้ายคำของแต่ละประโยคจะพูดออกมาเป็นท่วงทำนอง อีกทั้งนางยังอ่อนเยาว์ จึงเจือกลิ่นอายความไร้เดียงสาที่น่ารัก
เซียงฉือยังไม่ทันพูดอะไร หรงจิงก็พูดขึ้นก่อนว่า
“นางเป็นข้าราชสำนักสตรีของพี่ไม่ใช่สนม เจ้าน่ะออกจากวังนานเกินไปแล้ว นี่ก็ใกล้จะเป็นสาวเต็มที แต่เรื่องในวังช่างรู้น้อยนิดนัก”
“เจ้านะเจ้า กล้าแอบหนีออกมาจากขบวนต้อนรับ เจ้าเป็นองค์หญิงหากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าจะทำอย่างไร หมิงอวี้เอ๋ย พอเจ้าผ่านพิธีจี๋จีก็จะเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว ไว้พี่จะเป็นธุระจัดหาคู่ครองให้เจ้า”
“เมื่อกลับวังมาแล้ว ก็ตั้งใจศึกษาพิธีการมารยาทให้ดีเถิด”
หรงจิงคิ้วขมวด วันนี้เซียงฉือแต่งชุดข้าราชสำนักสตรี แต่องค์หญิงหมิงอวี้ออกจากวังไปตั้งแต่เล็กจึงไม่รู้จัก ทำให้หรงจิงรู้สึกกังวลใจ
[1] ไท่เฟย (太妃) คือ พระมเหสีของฮ่องเต้พระองค์ก่อน (ไม่ใช่อัครมเหสี ซึ่งจะหมายถึงไทเฮา)
[2] จี๋จี (及笄) เด็กสาวสมัยโบราณเมื่ออายุสิบห้าปีจะทำพิธีบรรลุนิติภาวะด้วยการเกล้ามวยปักปิ่น ถึงพร้อมด้วยวัยที่จะออกเรือนได้แล้ว