บทที่ 524 บังคับให้เจ้าห้าอยู่ต่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 524 บังคับให้เจ้าห้าอยู่ต่อ
พระพันปีก็จนปัญญาส่วนไห่กงกงนั้นกล่าวว่า: “ไทเฮา มิเช่นนั้นปล่อยให้ข้าน้อยอุ้มเอาไว้”

พระพันปีทรงเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้างทรงอุ้มมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว

ก็ดี……

กำลังจะกล่าวเจ้าห้าก็ลืมตาขึ้น แววตาของเขาหมองลงจนทำให้ไห่กงกงตกใจจึงถอยออกไปเล็กน้อย

ไห่กงกงตกใจจนรีบกล่าวขึ้นมาว่า: “ข้าน้อยสมควรตาย สมควรตาย เสี่ยวซื่อจื่ออย่าได้กล่าวโทษเลย!”

พระพันปีมองดูหลานชายตัวน้อยและพบว่าเด็กคนนี้เข้าใจทุกอย่างจริงๆ

“อยากให้เสด็จย่าอุ้มเอาไว้ตลอดเวลาหรือ?” พระพันปีทรงถาม

เจ้าห้ามองพระพีนปีแล้วยังคงโกรธอยู่จึงหลับตาลงแล้วพิงอยู่ด้วยลักษณะท่าทีที่ท่านทำให้ข้าไม่พอใจแล้วยังจะส่งข้าให้ผู้อื่นอีก

แต่พระพันปีทรงมองว่าหลานชายตัวน้อยชอบให้พระนางทรงอุ้ม ข้ารับใช้คนอื่นนั้นไม่เข้าตาเขาเอาซะเลย ถึงจะเหนื่อยแต่ก็มีความสุขอยู่แล้ว!

พระพันปีมองดูหลานชายตัวน้อยแล้วก็เกียจคร้านที่จะจากออกไปและอารมณ์ก็ดีขึ้นแล้วจึงอุ้มเจ้าห้าไปมาอยู่ในห้องบรรทม

รวมทั้งทรงตรัสคำพูดที่เป็นการกล่อมเด็ก พระพันปีทรงตรัสถึงเรื่องของตำหนักเฉาเฟิ่ง เจ้าห้าลืมตาขึ้นมองอย่างสนใจ

พระพันปีทรงตรัสอยู่ตรงนั้นเจ้าห้ามองไปที่นั่นอย่างเชื่องช้า พระพันปีทรงเห็นก็ตรัสว่าเด็กคนนี้เฉลียวฉลาดและชมเชยอยู่ตลอด!

เหล่าผู้รับใช้ก็ไม่กล้ากล่าวว่าไม่และก็ชมเชยตามอยู่ตลอด เสี่ยวซื่อจื่อนั้นฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก!

กระทั่งพระพันปีก็ทรงเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง เจ้าห้าดูเหมือนจะรู้ว่าพระพันปีทรงเหน็ดเหนื่อยจึงมองย้อนกลับไปพิงหนานกงเย่อย่างเกียจคร้าน หนานกงเย่เฝ้าสังเกตดูลูกชายอยู่ตลอด นี่เป็นบรรพบุรุษตัวน้อยหากว่าไม่จัดการให้ดีกลับก็ไม่ต้องขึ้นเตียงแล้ว

หนานกงเย่ลุกขึ้นเดินยังตรงหน้าลูกชาย: “เสด็จย่าทรงเหนื่อยแล้ว?”

พระพันปีทอดพระเนตรดูลูกชายแล้วทอดพระเนตรหลานชาย ทรงเหนื่อยมากแล้วจริงๆ

หนานกงเย่อุ้มเจ้าห้ากลับไปเจ้าห้าก็นอนอยู่เช่นนั้น พระพันปีทรงทอดพระเนตรหลานชายคนเล็กและกุมมือของหลานชายคนเล็กเอาไว้: “เจ้าหวู่ เสด็จย่าได้เตรียมของเล่นสนุกมากมายไว้ให้เจ้า เจ้าดูซิว่ามีที่ชอบหรือไม่”

พระพันปีเดินกลับไปหนานกงเย่ก็อุ้มลูกชายคนเล็กเดินไปยังเตียงหงส์แล้ววางลูกชายลง

แม้ว่าร่างกายเจ้าห้าจะอ่อนแต่เขาสามารถนั่งได้

หนานกงเย่นั้นเคยชินซะแล้ว

“เสด็จย่าเตรียมสิ่งของดีๆมากมายไว้ให้เจ้า หากเจ้าไม่รังเกียจก็นำมันกลับไปให้แม่ของเจ้าเช่นไรก็มาแล้วรอบหนึ่ง”

หนานกงเย่กล่าวเช่นนั้นเจ้าห้าก็เริ่มมองไปยังสิ่งของตรงหน้า

ไห่กงกงกล่าวว่า: “ช่างเป็นเด็กวิเศษจริงๆ เสี่ยวซื่อจื่อที่ตัวเล็กเช่นนี้เหตุใดถึงได้รู้เรื่องไปหมดนะ?”

ได้ยินไห่กงกงกล่าวเจ้าห้าก็เงยหน้าขึ้นเหลือบมองไห่กงกงราวกับว่าไม่ชอบที่เขาก่อกวนขึ้น ไห่กงกงรีบปิดปากไม่กล้าที่จะทำให้บรรพบุรุษตัวน้อยโมโห

เจ้าห้ามองย้อนกลับไปร่างน้อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าและจับปิ่นสีทองชิ้นหนึ่ง จับไว้แล้วนั่งลงที่เดิม

พระพันปีทรงทอดพระเนตร: “เจ้าช่างมีใจรู้ถึงแม่ของเจ้า เช่นนั้นเสด็จย่าถามเจ้าหน่อยว่าเจ้าเลือกชิ้นหนึ่งในนี้ให้เสด็จย่าหน่อย”

พระพันปีทรงล้อเล่นและก็ไม่ได้จริงจัง

เจ้าห้ากลับใส่ใจ มองไปรอบๆและเห็นตรงทิศหนึ่ง

ไห่กงกงรีบเดินเข้ามาและนำลูกปัดพวงหนึ่งมอบให้เจ้าห้า เจ้าห้าไม่ต้องการและไม่แม้แต่จะมอง

ไห่กงกงนำตลับแป้งชิ้นหนึ่งมา เจ้าหาก็ยังคงไม่ต้องการ

ผ่านไปสามสี่ครั้งไห่กงกงก็เหนื่อยแล้ว คาดเดาไม่ได้จึงต้องขอความเมตตา: “บรรพชนตัวน้อย ข้าน้อยหาไม่เจอ สิ่งของมากมายเช่นนี้หรือไม่ท่านก็หาเอง”

เจ้าห้าเหลือบมองไห่กงกงดูเหมือนว่าจะไม่พอใจกับไห่กงกงที่บอกให้เขาหาด้วยตัวเอง ทำราวกับเขายังเป็นเด็กแล้วเอามาไม่ได้

หนานกงเย่อุ้มลูกชายไปวางไว้ในสถานที่ที่เขามองดู เขาคว้าลูกท้อฝ้ายให้กับพระพันปี

พระพันปีมองดูลูกท้อฝ้ายในมือแล้วทรงยิ้มไม่หุบ

“โอ้ ดูเจ้าห้าของเราสิ เหตุใดถึงได้ฉลาดเช่นนี้! มีเพียงเจ้าห้าของเราที่รู้จักห่วงใยเสด็จย่า!”

ไห่กงกงรับกล่าวอยู่อีกฝั่งว่า “ไทเฮา เสี่ยวซื้อจื่อหวังว่าพระองค์จะมีอายุยืนยาวพะย่ะค่ะ”

“ข้ารู้” พระพันปีอุ้มเจ้าห้าขึ้นมา ทรงรับสั่งให้คนจัดเก็บสิ่งของบนเตียง ส่วนเจ้าห้ากลับผล็อยหลับไปแล้ว

พระพันปีทรงทอดพระเนตรหลานชายตัวน้อยและทนไม่ได้ที่จะปล่อยมือ

“เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าดูเด็กๆมากมายเช่นนี้ กำลังคนไม่เพียงพอใช้สินะ ได้ยินมาว่าเจ้านั้นเพื่อดูแลเจ้าห้าแล้วก็ให้สวีกงกงอยู่ต่ออีกด้วย

นี่ก็ไม่ใช่วิธีแก้ ข้าว่าไม่เช่นนั้นก็ให้เจ้าห้าอยู่ในวัง ให้ข้าดูแลแทนเจ้าและลดหน้าที่ของเจ้าด้วย “พระพันปีชอบเจ้าห้าผู้เป็นหลานชายตัวน้อยคนนี้จริงๆ

หนานกงเย่ไม่กล้ารับปากแล้วเหลือบมองลูกชายซึ่งนอนหลับอยู่: “เรื่องนี้ต้องถามอวิ๋นอวิ๋นถึงจะได้และเด็กคนนี้นั้นข้าไม่สามารถเป็นผู้ตัดสินใจได้ นิสัยดื้อรั้นของเขาไม่ใช่จะเป็นสิ่งที่ข้าสามารถควบคุมได้ หากเสด็จแม่ชื่นชอบให้เขาอยู่สักสองวันก็ไม่เป็นไรแต่ข้ากลัวว่าเขาจะใช้อารมณ์ ให้เขาอยู่สักสองวันก็จะสิ้นลมหายใจซะแล้ว”

“สิ้นลมหายใจ?” เป็นคำพูดที่พระพันปีไม่ทรงชอบฟัง พระพักตร์จึงหมองหม่นลง

“เจ้ากล่าวสิ่งใดของเจ้า ข้าจะทำร้ายหลานชายของตนเองได้หรือ?” พระพันปีทรงไม่เคยคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องของการเป็นพ่อแต่เป็นเรื่องของการเป็นหลานชาย

“หากเสด็จแม่ทรงพอพระทัยเช่นนั้นก็ให้เจ้าห้าอาศัยอยู่เถอะ ลูกทูลลาไปดูอวิ๋นอวิ๋นก่อน หรงเต๋อเฟยได้รับไข้หวัดนางจึงไปดูพระนางแล้ว”

หนานกงเย่กล่าวจบก็จากไปแล้ว พระพันปีนั้นราวกับทรงได้ลูกรักเช่นนั้น รีบรับสั่งให้ไห่กงกงไปหาหนานกงเย่และให้นำแม่นมมา

ในวังนั้นไม่มีแม่นมจึงต้องการคนในจวนอ๋องเย่ถึงจะได้

ไม่นานนักไห่กงกงก็กลับมาและรีบกราบทูลว่า: “ทูลไทเฮา ท่านอ๋อองเย่บอกว่าลูกชายคนเล็กไม่กินนมของคนเป็นเวลาผ่านมาได้เดือนเศษแล้ว ปกติแล้วดื่มนมวัวพะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็ง่ายแล้วไปตระเตรียมไว้ ต้องสดใหม่และต้องดูแลให้ดี”

“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้พะย่ะค่ะ”

ตำหนักเฉาเฟิ่งรื่นเริงขึ้นมา อย่างที่ทุกคนรู้นี่เป็นการเริ่มต้นของความยากเย็นต่อไป

หนานกงเจ้าห้าตื่นขึ้นมาไม่เห็นพ่อที่ไร้ความเมตตาของเขาผู้นั้นก็ไม่พอใจซะแล้ว มือเล็กๆถือปิ่นสีทองเอาไว้และหลับตาลงโดยไม่สนใจผู้ใดเลย

ราวกับว่าเขากำลังจะตายโดยหายใจอย่างอ่อนโรยและสีหน้าก็แย่นัก

พระพันปีก็ต้องการพักผ่อนด้วยเช่นกัน พระนางนอนอยู่บนเตียงหงส์ ขณะที่หนานกงเจ้าห้าอยู่อีกฝั่งหนึ่งซึ่งมีไห่กงกงอยู่ด้วยและจ้องมองอยู่อีกฝั่ง

ข้าหลวงก็เตรียมเอาไว้แล้วสิบกว่าคนซึ่งปรนนิบัติอยู่ด้านล่าง หากว่าเกิดเรื่องใดขึ้นมาก็เริ่มจัดการได้ในทันที ผู้ใดจะคาดคิดว่าตลอดทั้งคืนนั้นหนานกงเจ้าห้าไม่ได้ส่งเสียงเลยแม้แต่น้อยและไม่ถ่ายไม่ปัสสาวะด้วย

เมื่อพระพันปีทรงตื่นขึ้นในตอนเช้า เขายังคงถือปิ่นปักผมและหลับตาเอาไว้ไม่ได้ตื่นขึ้นมา เพียงแต่ว่าสีหน้านั้นซีดลงเล็กน้อย

พระพันปีดูไม่ค่อยดีนักจึงถามไห่กงกงว่า: “เหตุใดถึงไม่ตื่นสักที?”

“ไม่ใช่ว่าไม่ตื่นพะย่ะค่ะ แต่ตื่นแล้วก็หลับตาลงอีก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวซึ่งทำให้ข้าน้อยหวาดกลัวแย่แล้วพะย่ะค่ะ ตอนนี้ข้าน้อยคิดว่าขณะที่อ๋องเย่จากไปมีชีวิตชีวาเช่นนั้นเกรงว่าจะไม่ดี เกรงว่าเสี่ยวซื่อจื่อจื่อจะไม่กินไม่ดื่มจริงๆพะย่ะค่ะ!”

ไห่กงกงกังวลจนเหงื่อแตก!

พระพันปีกลับทรงสงบนิ่ง: “ยังจะนิ่งอยู่ทำไมยังไม่รีบไปเชิญอ๋องเย่มาอีก”

ไห่กงกงเร่งรีบวิ่งออกไป พระพันปีทรงอุ้มหลานตัวน้อยและตบอย่างจนปัญญา: “เสด็จย่าไม่ดีไม่ควรแยกพวกเจ้าแม่ลูกออกจากกัน เสด็จย่ากลับลืมช่วงเวลาขณะที่เสด็จย่าแยกออกจากลูกของตนเอง”

หนานกงเจ้าห้าจนแล้วจนรอดก็ไม่ลืมตาสักที ปกป้องอธิปไตยของเขาด้วยชีวิต

ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากตำหนักเย็นและหนานกงเย่ก็เดินตามหลังนาง ฉีเฟยอวิ๋นโมโหจนอยากจะโบยเขาให้ตาย

“เจ้าห้าหัวรั้นเช่นนั้น ท่านไม่กลัวว่าตอนกลางคืนจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขาหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นโมโหเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อคืนไม่ได้กล่าวพอมาแล้วก็พักอาศัยอยู่ในห้องนอนด้านข้างแล้ว

หนานกงเย่เดินตามอยู่ด้านหลังฉีเฟยอวิ๋นและอธิบายว่า: “เรื่องนี้ยากที่จะปฏิเสธ”

“เช่นอย่างนั้นท่านก็ไม่สนใจเจ้าห้าแล้วหรือ? เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์เช่นนั้นหากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆจะทำเช่นไร?”

“เหตุใดถึงจะเกิดเรื่องหล่ะก็เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น” หนานกงเย่สีหน้าดูหงอยเศร้า

“หนานกงเย่……” ฉีเฟยอวิ๋นหันมองไป เห็นดวงตาจ้องด้วยความโกรธจนทำให้หนานกงเย่หวาดผวาจนตัวสั่นและหยุดเคลื่อนไหวไม่ขยับเขยื้อน

ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะกล่าวสิ่งใดอยู่ไห่กงกงก็มาแล้ว