บทที่ 225 พร้อมรบ
บรรยากาศของอาณาจักรจันทราเริ่มตึงเครียดมากขึ้นกว่าเดิม
นี่เป็นเพราะไม่กี่วันที่ผ่านมาทางราชสำนักได้ออกคำสั่งให้สอบสวน หลิงเล่อชาน และ หลิงจื่อ ในข้อหาบกพร่องต่อหน้าที่
แต่เนื่องจากพวกเขาจะไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะเอาผิดกับหลิงเล่อชานและหลิงจื่อ ทั้งคู่จึงรอดจากการถูกปลดออกจากตำแหน่งไปได้อย่างเฉียดฉิว
แต่ทุกคนที่ได้ยินข่าวนี้ต่างก็เข้าใจว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นโดยองค์จักรพรรดิ ที่ในที่สุดเขาก็เริ่มจะลงมือกับตระกูลหลิงหลังจากการอดทนมาหลายปี
และในเมื่อองค์จักรพรรดิได้เปิดงานเช่นนี้แล้วบรรดาข้าราชบริพารที่แน่นอนว่าต้องอยู่ข้างฝั่งเหลียงซาน ต่างก็พยายามหาข้ออ้างยัดความผิดให้กับตระกูลหลิงกันเป็นการใหญ่
และด้วยการรวมหัวกันของผู้คนมากมายที่พยายามจะยัดความผิดให้กับหลิงเล่อชานและหลิงจื่อ ในที่สุดทั้งคู่ก็ดวงซวยจนได้ จากการที่บรรดาผู้คนของเหลียงซานได้สร้างหลักฐานขึ้นมากันเองมากมายและกล่าวหาพวกเขาในความผิดต่าง ๆ นานา จนนับไม่หวาดไม่ไหว
ในคฤหาสน์แม่ทัพหลิง ตอนนี้ผู้คนในตระกูลหลิงต่างพากันตื่นตระหนก
หลิงเล่อชานและหลิงจื่อดิ้นเป็นเหมือนมดบนกระทะร้อน พวกเขามาที่ห้องทำงานของหลิงเจิ้งสง และพูดอย่างกระวนกระวายว่า “ท่านพ่อ เราจะทำอะไรต่อไปดี? ตอนนี้พวกข้ากลายเป็นผู้ต้องหาไปแล้ว และหากรอบนี้พวกข้าถูกจับ ต่อให้พวกข้ามีสิบชีวิตก็คงไม่เพียงพอที่จะรอดชีวิตได้แน่นอน!”
หลิงเจิ้งสงตอบกลับ “นี่พวกเจ้าโง่จริง ๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่? พวกเจ้าจะต้องไปทำอะไรอีก? ตอนนี้ไม่ว่าจักรพรรดิหรือจะใครก็ตามที่ยัดความผิดให้เจ้าหรือต้องการให้เจ้าไปมอบตัวสักกี่ครั้งก็ตาม เจ้าก็แค่อยู่เฉย ๆ และหลบอยู่ในคฤหาสน์นี้ก็พอ!”
“ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีใดหลีกเลี่ยงพวกเขา หรือต่อให้เจ้าจะต้องแกล้งทำเป็นบ้าและเล่นเป็นใบ้ พวกเจ้าก็ต้องไม่ออกไป แต่ถ้าหากพวกเจ้าไม่เชื่อฟังข้า และออกไปมอบตัวกับจักรพรรดิโดยคิดว่าตัวเองสามารถอยู่รอดได้โดยการขอขมาต่อเขา ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ที่แน่ ๆ เมื่อไหร่ชีวิตของเจ้าตกอยู่ในอันตรายข้าจะไม่ช่วยเจ้า”
“พวกเจ้าควรรู้ว่าเมื่ออดีตตอนที่ข้านำทัพออกไปทำสงคราม ข้านั้นเห็นคนตายมานับไม่ถ้วน ดังนั้นแม้ว่าข้าจะเห็นพวกเจ้าทั้งคู่ต้องตายต่อหน้า ข้าก็จะไม่มีแม้แต่จะกะพริบตา!”
ในเวลาเดียวกับที่หลิงเจิ้งสงกล่าวจบ ทันใดนั้นหัวหน้าองครักษ์ของคฤหาสน์ ว่านสงจ้านวิ่งเข้ามาในห้องและพูดกับหลิงเจิ้งสง “ท่านแม่ทัพ ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่ามีคนนำรายงานเข้าทูลต่อองค์จักรพรรดิว่าท่านมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรจินหนิง ตอนนี้พวกเขาได้กล่าวหาว่าท่านได้กลายเป็นกบฎไปแล้ว!”
หลิงเล่อชานและหลิงจื่อตกใจอย่างมาก พวกเขามองไปที่หลิงเจิ้งสง อย่างใจจดใจจ่อและถามว่า “ท่านพ่อ เราจะทำอย่างไรกันดี นี่มันมีความเป็นไปได้สูงที่บรรดาพวกราชองค์รักษ์จะบุกเข้ามาในไม่ช้า!”
หลิงเจิ้งสงพูดอย่างใจเย็น “เราควรจะทำอย่างไรงั้นเหรอ? ข้าจะไปรู้ได้ยังไงกัน? ข้ามันก็แค่คนแก่ที่ใกล้ตายและลาออกจากตำแหน่งไปทั้งหมดแล้ว ข้าจะไปทำอะไรแบบนั้นได้ยังไง? ไม่ว่าใครจะมาจับข้า ข้าก็จะแกล้งตายให้มันเห็น ส่วนพวกเจ้า พวกเจ้าอยากจะทำอะไรก็ได้ตามใจพวกเจ้า! ว่าแต่ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าก็เริ่มจะไม่สบายเหมือนกันใช่ไหม? ข้ารู้ว่าโลกนี้มันไม่ง่ายเลยที่พวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“เอาล่ะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอย่ามารบกวนข้าจนกว่าทัพของพวกราชองค์รักษ์จะบุกมาที่คฤหาสน์ของข้า! สงจ้าน ไปควบคุมทหารของเจ้าให้อยู่ในความสงบซะ แต่ถ้าหากเจ้าอยากจะจากไป เจ้าก็จงจากไปซะตั้งแต่ตอนนี้ แต่ถ้าเจ้าต้องการจะอยู่หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ถ้าเจ้าไม่ตาย อย่างน้อย ๆ ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นแม่ทัพ!”
หลิงเล่อชาน หลิงจื่อและว่านสงจ้าน ต่างถอยออกมาจากห้องของหลิงเจิ้งสงด้วยความกังวล
พวกเขาตอนนี้ที่ยังมองไม่เห็นทางออกของสถานการณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจมองโลกในแง่ดีได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ หลิงฉุยฟง ปรากฏตัวขึ้นทันทีที่คนอื่น ๆ ออกไปจากห้องของหลิงเจิ้งสง
“ท่านพ่อ ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” หลิงฉุยฟงถามขึ้น
หลิงเจิ้งสงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เจ้าจงไปเตรียมพร้อมได้ มันกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้าแล้ว! ตอนนี้สถานะของข้าได้กลายเป็นกบฏไปแล้ว ข้าคิดว่าอีกไม่น่าเกิน 2 วันเหลียงซานจะต้องส่งคนมาจับตัวข้าไปแน่ เมื่อถึงเวลานั้นนั่นคือเวลาที่เราต้องลงมือ”
“ไม่มีปัญหาทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว” หลิงฉุยฟงผงกศีรษะ “ข้าจะทำให้โลกได้เห็นว่านอกจากกองทหารส่วนตัวของตระกูลเราแล้ว พวกเรายังมีกองทัพแห่งพระเจ้าที่อยู่ยงคงกระพันด้วย!”
หลิงเจิ้งสงที่แต่เดิมดูจริงจังก็หมดความสงบและถามว่า “เอ่อ…ให้ข้าเป็นผู้นำทัพของเจ้าออกไปรบได้ไหม?”
หลิงฉุยฟงพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ท่านพ่อ นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญให้ข้าทำก่อนเถอะ ข้าฝึกพวกเขามาหลายปีแล้ว เมื่อวิกฤตนี้จบลงและถ้าหากท่านต้องการ ข้าจะมอบพวกเขาให้ท่านได้ไปบัญชาการบ้างดีไหม?”
“เฮ้อ…เอางั้นก็ได้!” หลิงเจิ้งสงพูดอย่างจนใจ
หลิงฉุยฟงพยักหน้าและมุดหายลงไปในพื้นทันที
หลิงเจิ้งสงที่เห็นว่าหลิงฉุยฟงหายลงไปในพื้นแล้ว เขาก็พยายามส่งพลังวิญญาณลงไปใต้ดินเพื่อตรวจจับการคงอยู่ของบรรดาทหารที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินอย่างตั้งใจ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามสักขนาดไหนเขาก็ไม่สามารถหาร่องรอยของบรรดาทหารของหลิงฉุยฟงที่ซ่อนตัวได้อยู่ดี
เมื่อหาทหารที่อยู่ใต้ดินไม่เจออยู่สักพัก หลิงเจิ้งสงก็ถอดใจและมองไปที่คฤหาสน์สราญรมย์ด้วยแววตาเป็นห่วง กองทัพที่ทรงพลังเช่นนี้กลับถูกส่งออกมาจากคฤหาสน์สราญรมย์ แล้วพวกของหลิงตู้ฉิงจะมีอะไรไว้ป้องกันตัวเอง?
ในเวลานี้ภายในคฤหาสน์สราญรมย์ หลิงตู้ฉิงกำลังหลอมกระบี่อยู่เงียบ ๆ
กระบี่ที่เขากำลังหลอมอยู่ตอนนี้ไม่ใช่อาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ มันไม่ใช่แม้แต่อาวุธวิเศษระดับวิญญาณ มันเป็นเพียงแค่กระบี่เหล็กธรรมดา แต่ลักษณะเฉพาะคือมันแข็งเป็นพิเศษ
วัตถุดิบหลักที่ใช้หลอมมันคือ เหล็กทมิฬ ที่เขาแลกเปลี่ยนมาจากเผ่าอสูรทมิฬ นอกเหนือจากนั้นวัสดุที่ใช้ก็เป็นแค่แร่และส่วนผสมธรรมดา ๆไม่มีค่าอะไรมาก
หลิงตู้ฉิงหลอมกระบี่เล่มนี้มา 10 วันแล้ว
ในขณะที่หลอมกระบี่ หลิงตู้ฉิงได้พูดกับสมาชิกคนอื่น ๆ ของเขาว่า “พวกเจ้าจงเข้าไปหลบในรถม้าทั้งหมด ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถปกป้องพวกเจ้าได้ทั้งหมด เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น นอกจากพ่อบ้านโม่ ซือโถว ซิน(โจวจื่อซิน) และเฟิง ทุกคนจงเข้าไปด้านในรถม้าให้หมด ตอนนี้ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดที่กำลังลอยใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่นานการต่อสู้ครั้งใหญ่รอบนี้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
หลิงยู่ชานและเด็กคนอื่น ๆ ปีนเข้าไปในถ้ำเล็กทันที
พวกเขารู้ดีว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีพรสวรรค์เหนือมนุษย์ปกติ แต่พวกเขาก็ยังไม่เติบโตพอที่จะวัดกับรรดารุ่นใหญ่ที่กำลังจะมาบุกคฤหาสน์ของพ่อพวกเขาได้ ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือปกป้องตัวเองให้ดีและไม่เป็นตัวถ่วงของหลิงตู้ฉิง
นอกจากเด็ก ๆ แล้ว เหลียงเฟ่ยเอ๋อ มี่ไลและเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ รวมถึงถังชี่หยุนและเหล่าภรรยาทุกคนก็ขึ้นรถด้วยเช่นกัน
แต่ถึงแม้พวกเขาจะเข้าไปด้านในรถแล้วพวกเขาทั้งหมดก็ยังสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกผ่านทางหน้าต่างและประตูได้
“นายท่าน ตอนนี้มีผู้คนมากมายล้อมรอบคฤหาสน์สราญรมย์ของเราไว้แล้ว!” ซือโถวเหวินหยวนหัวเราะ
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เมื่อถึงเวลาเจ้ารับมือแต่เฉพาะพวกผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตนภาขั้นสูงขึ้นไปที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนพวกที่เหลือทั้งหมดปล่อยให้พวกมันเป็นปุ๋ยให้กับซิน ส่วนซิน เจ้าจงคว้าโอกาสนี้และใช้ดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตเพื่อบ่มเพาะพลังของเจ้าเองซะ!”
“รับทราบ นายท่าน” โจวจื่อซินตอบรับด้วยน้ำเสียงประหม่า
ตอนนี้นางรู้สึกประหม่าเป็นที่สุด เนื่องจากนางรู้ตัวดีว่าถ้าหากวันนี้นางพลาด นางจะต้องถูกเหล่าคนที่อยู่ด้านนอกจับกินแน่นอน
ตอนนี้นางจึงนั่งอยู่ในอ่างเหล็กอย่างเคร่งเครียด พลางกำเมล็ดดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตไว้แน่น
ทางด้านนอกของคฤหาสน์สราญรมย์ ตอนนี้บรรดาผู้คนต่างมายังคฤหาสน์ด้วยสายตาตื่นเต้น
ข่าวของผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ได้แพร่กระจายไปยังทุกคนแล้ว
ทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกต่างก็รอที่จะเข้าไปช่วงชิงมัน
พวกเขาเข้าใจดีว่าถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถครอบครองทั้งร่างของผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ได้ แต่มันก็ยังมีโอกาสที่พวกเขาอาจจะได้ส่วนแบ่งเป็นหยดเลือดมาบ้างสักหยดสองหยดก็ยังดี
จือหมิงฮ่าวและหมิงเซียนจ้าวต่างมองไปที่คฤหาสน์สราญรมย์ด้วยดวงตาที่เศร้าหมอง เนื่องจากเจ้าสำนักของพวกเขายังมาไม่ถึง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาทางแย่งตัวของโจวจื่อซินจากฝูงผู้คนเหล่านี้
อีกด้านหนึ่ง ขันที 12 คนจากอาณาจักรอ้าวเทียนต่างก็จ้องมองไปที่คฤหาสน์สราญรมย์อย่างเศร้าโศก
“เป้าหมายหลักของเราคือเหลียงเฟ่ยเอ๋อ!” ขันทีหลี่เน้นย้ำกับคนของเขา “ส่วนเรื่องของผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ หากมีโอกาส พวกเจ้าก็จงพยายามลองฉกมันมาดู แต่ถ้าหากว่าไม่มีโอกาสพวกเราก็พาแค่เหลียงเฟ่ยเอ๋อกลับไป”
ขันทีคนอื่น ๆ พยักหน้า ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความปรารถนา
พวกเขาต่างสงสัยและคาดหวังว่าการได้กินผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ ที่โลหิตของนางมีสรรพคุณคล้ายกับดอกไม้ฟื้นชีพ จะสามารถชดเชยส่วนที่ถูกตัดไปของพวกเขาได้ ซึ่งถ้าหากมันเป็นจริง พวกเขาคงจะยอมตายเพื่อให้ได้มันมาแน่นอน
ที่ด้านข้างขันทีทั้ง 12 คน มีเด็กสาวหน้าตางดงามอยู่นางหนึ่งและที่ข้าง ๆ ของนางก็มีหญิงชราที่กำลังมองไปที่คฤหาสน์สราญรมย์
“นายหญิง พวกเราจะช่วยเหลียงซานจริง ๆ เหรอคะ? ข้าเพิ่งตรวจสอบมาอย่างละเอียดและได้รู้ว่า ผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ที่อยู่ข้างในนั่นทรงพลังเป็นอย่างมาก!” หญิงชราพูด
หญิงสาวตอบกลับ “เอาน่า ไหน ๆ เราก็มาถึงที่นี่แล้ว เราก็รอดูสถานการณ์ไปก่อน ถึงต่อให้จะมีอะไรผิดพลาดไป แต่ภายใต้อำนาจของเหรียญตราผนึกสวรรค์ ผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ก็ไร้ความหมาย!”
หญิงสาว ผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกซะจากจะเป็นเฉินถิงฟางที่มาจากตระกูลเฉินแห่งสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิ
ขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองไปที่คฤหาสน์สราญรมย์ด้วยความโลภ กลิ่นเลือดที่รุนแรงก็โชยมาแต่ไกล
ในเวลาเพียงครู่เดียวหลังจากได้กลิ่นเลือด ร่างสีแดงเลือด 12 ร่างก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้า!
และในตอนนี้อสูรโลหิตก็ได้มาถึงในที่สุด!!