บทที่ 385 เกี่ยวข้อง
อาจด้วยตอนที่ถาวจิ้งผิงแต่งงานเกิดเรื่องขึ้น ดังนั้นครั้งนี้พอถึงงานแต่งงานของถาวซินหลันแล้ว ถาวจวินหลันจึงรู้สึกไม่สบายใจ มองจนกระทั่งถาวซินหลันขึ้นเกี้ยวไปแล้ว นางถึงค่อยๆ ถอนใจโล่งอกได้
แม้ว่าบาดแผลของถาวจิ้งผิงจะยังไม่หายดี แต่ว่าก็ยังยืนยันให้ถาวซินหลันขี่หลังส่งออกจากบ้าน พอมองไปแล้วก็ชวนให้ทั้งเป็นกังวลและเจ็บปวดใจ ตอนแรกองค์หญิงเก้าไม่เห็นด้วย แม้แต่ถาวจวินหลันเองก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ว่าถาวจิ้งผิงกลับยิ้มและยืนยันที่จะทำ “มีน้องสาวเพียงคนเดียว แล้วก็มีโอกาสแค่เพียงครั้งนี้ ตอนแรกท่านพี่แต่งงานไปข้าก็ไม่มีโอกาสได้ให้นางขี่หลังออกจากบ้าน ครั้งนี้งานของน้องเล็ก ไม่ว่าอย่างไรก็จะพลาดไม่ได้”
ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าใครต่างก็พูดห้ามอะไรไม่ได้อีก ยังดีที่เขาได้รับบาดเจ็บแค่ตรงอก หากไม่ไปรั้งดึงถูกตรงนั้น ก็ไม่ทำให้รอยแผลเปิดออกได้
หลังจากส่งถาวซินหลันขึ้นเกี้ยวแล้ว ถาวจวินหลันและองค์หญิงเก้าก็รีบขึ้นรถม้าตามไปข้างหลัง พวกนางทั้งสองคนเป็นตัวแทนคนจากบ้านแม่ไปส่งถาวซินหลันเข้าสู่บ้านใหม่ ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้เจ้าสาวต้องกังวลหรือรู้สึกหวาดกลัวจนเกินไป ถึงอย่างไรมีคนสนิทคอยอยู่เป็นเพื่อนคงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ส่วนหลี่เย่กับถาวจิ้งผิง ก็จะต้องตามไปเช่นกัน แต่ว่าจะไม่เข้าไปในเรือนด้านในเหมือนกับพวกนาง แต่จะอยู่ที่เรือนด้านหน้า ดังนั้นรถม้าจึงได้แบ่งเป็นสองขบวน
อีกทั้งถาวจวินหลันยังเดาว่าหลี่เย่กับถาวจิ้งผิงมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน
พอเข้าบ้านตระกูลเฉินและทำพิธีการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้าก็เข้าไปที่เรือนใหม่ของถาวซินหลันพร้อมกัน
พอเข้าสู่เรือนใหม่ เห็นได้ชัดว่าถาวซินหลันดูระแวดระวังและตื่นกลัว ใบหน้าที่แดงก่ำทำอย่างไรก็ไม่หายไป…จริงๆ แล้ว หน้าของนางทาด้วยแป้งหนาๆ ทับจนมองไม่เห็นว่านางหน้าแดง แต่ว่าหูที่แดงก่ำกลับแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของนาง
องค์หญิงเก้าพูดเย้าหยอกว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นสะใภ้บ้านตระกูลเฉินเต็มตัวแล้ว ต่อไปใครๆ ก็ต้องเรียกเจ้าว่าเฉินฮูหยินเล็กแล้ว”
ถาวซินหลันมององค์หญิงเก้าอย่างตำหนิ ความเขินอายแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ถาวจวินหลันเองก็ควบคุมรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้ แล้วก็มองการตกแต่งของเรือนใหม่ รู้สึกว่าทุกอย่างดูเหมาะสมอย่างมาก อีกทั้งเมื่อครู่ตอนเดินทางเข้ามา ขนาดของเรือนก็ถือว่าไม่เลว มองไปแล้วเห็นได้ถึงความใส่ใจของบ้านตระกูลเฉิน นางก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ครู่เดียวก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า “ฮูหยินของเราจัดเตรียมอาหารส่งมาให้ฮูหยินสี่ องค์หญิงเก้าและพระชายารองถาวเจ้าค่ะ โดยเฉพาะฮูหยินสี่ จะปล่อยให้หิวอยู่ไม่ได้”
ถาวจวินหลันได้ยิน ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้…คำพูดเช่นนี้ช่างเป็นตัวตนของเฉินฮูหยินจริงๆ
องค์หญิงเก้าเองก็หัวเราะ “ดูซี แม่สามีของเจ้าเอ็นดูเจ้ามากเพียงใด?”
ถาวซินหลันเขินอายเสียจนแทบเอาหัวมุดลงไปในเสื้อ
พอได้เวลาอันสมควรแล้ว ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้าก็กลับออกมา ถึงแม้จะไม่วางใจ แต่จะอยู่ต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ได้มิใช่หรือ?
ออกจากจวนเฉินมา ถาวจวินหลันกับหลี่เยขึ้นรถม้าแล้ว นางก็ได้กลิ่นเหล้าบางๆ จากตัวของหลี่เย่ นางจึงขมวดคิ้ว “ท่านดื่มเหล้ารึ? ท่านเป็นแผล ดื่มเหล้าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
หลี่เย่ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ดื่มไปแค่สองแก้วเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่เหล้าแรงอะไรด้วย”
ถาวจวินหลันเองก็รู้ว่าดื่มเพียงเล็กน้อยไม่น่าจะเป็นอะไร แต่ว่าก็อดบ่นไม่ได้ “แม้ว่าจะไม่เป็นอะไร แต่ก็ไม่ควรดื่มอยู่ดี”
หลี่เย่เองก็ไม่โกรธ อีกทั้งรอยยิ้มยังอบอุ่นมากขึ้น “วันนี้เป็นวันมงคลของซินหลัน ทำไมถึงจะไม่ดื่มฉลองเสียหน่อยเล่า”
ถาวจวินหลันจึงไม่พูดอะไร พอคิดถึงเฉินฟู่กับถาวซินหลัน นางก็ค่อยๆ ถอนใจออกมา “วันนี้พวกเขาทั้งสองคนได้เป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ต่อไปข้าก็ไม่ต้องกังวลใจอะไรอีก” ถึงแม้ว่าควรจะดีใจ แต่ไม่รู้เหตุใดในใจของนางกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์และไม่สบายใจ
หลี่เย่มองแล้วยิ้ม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พูด แต่จากสายตาก็แสดงออกว่าเขาไม่เชื่อ
ถาวจวินหลันยิ้มแล้วตีเขา พอหยอกล้อกันเล่นเช่นนี้ ก็ทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้นอย่างมาก พอกลับถึงเรือนได้เจอกับซวนเอ๋อร์และหมิงจู ความรู้สึกไม่สบายใจก็หายไป
วันที่สาม ถาวซินหลันก็พาเฉินฟู่กลับมาที่บ้าน แน่นอนว่าถาวจวินหลันเองก็ต้องไป แล้วยังไม่ไปเพียงคนเดียว นางพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูไปด้วย พูดไปแล้ว วันนี้เด็กทั้งสองคนนี้จะได้พบกับน้าเขยเป็นครั้งแรก
อาจด้วยเพิ่งแต่งงาน พอมองไปแล้วจึงรู้สึกว่าเฉินฟู่ดูแตกต่างจากปกติ ไม่ว่าเห็นใครก็มีใบหน้าเปื้อนยิ้ม อีกทั้งพูดเยอะขึ้น ถาวจวินหลันคิดในใจว่า เฉินฮูหยินเห็นเข้า คงจะต้องดีใจมากเป็นแน่
พอมองไปทางถาวซินหลัน ก็ยิ่งรู้สึกว่าท่าทางเหมือนผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว พอนางถูกมองเช่นนี้พลันเขินอาย
แต่ว่าถาวจวินหลันมองไปแล้วรู้สึกว่าเหมือนเป็นการแกล้งทำมากกว่า จึงยิ้มแล้วมองเย้าหยอดถาวซินหลัน เป็นอย่างที่คิด ถามซินหลันแกล้งแสดงท่าทีออกมาจริงๆ แล้วก็กรอกตามองถาวจวินหลันอย่างตำหนิ
ถาวจวินหลันจึงหัวเราะออกมาทันที “ดูท่าเจ้าจะใช้ความเขินอายไปในวันแต่งงานจนหมดเสียแล้ว”
ถาวซินหลันโกรธขึ้นมา “ท่านพี่ !”
เนื่องจากไม่มีผู้ใหญ่อยู่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรักษามารยาท บรรยากาศก็ดูสบายๆ อีกทั้งมีคนอยู่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้นั่งแยกโต๊ะ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้โต๊ะเพียงตัวเดียวก็ยังนั่งไม่เต็ม ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูยังเล็ก อีกคนยังให้แม่นมคอยป้อนข้าว ส่วนอีกคนกินนม จึงไม่ต้องนั่งโต๊ะ
หลี่เย่ก็ยิ้มแล้วมองถาวจิ้งผิงกับเฉินฟู่ “หากว่าอีกสองปีมีคนนั่งสองโต๊ะได้ คิดว่าคงจะคึกคักขึ้นมาก”
ถาวจวินหลันยิ้มแล้วรีบพูดเสริมทันที “เป็นอย่างที่ท่านว่าจริงๆ”
องค์หญิงเก้ากับถาวซินหลันต่างหน้าแดง ถาวซินหลันพยายามบังคับตัวเองให้สงบและเปลี่ยนเรื่องพูด “เรื่องการถูกลอบทำร้ายครั้งนั้น ตอนนี้สืบได้เบาะแสอะไรบ้างหรือ?”
พูดถึงเรื่องนี้ ท่าทีของทุกคนก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ด้วยหลี่เย่เป็นคนสืบเรื่องนี้ ดังนั้นสายตาของทุกคนย่อมมองไปทางหลี่เย่โดยไม่ได้นัดหมาย เฉินฟู่เอ่ยปากถามออกมาว่า “ครั้งก่อนที่ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”
หลี่เย่พยักหน้า มองไปทางถาวจวินหลัน จากนั้นก็พูดออกมาว่า “เกี่ยวข้องกัน แต่ว่าสาเหตุสำคัญก็ยังเป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้ หากว่าไม่เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้คงตรวจสอบได้ผลไปนานแล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องการเสียตำแหน่งของผู้ว่าการเมืองหลวง เรื่องนี้จึงสืบอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ว่า ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ในใจของข้าก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว”
เฉินฟู่ครุ่นคิดอยู่สักพัก มองหลี่เย่อย่างสงสัย จากนั้นก็พูดออกมาว่า “หรือว่าจะเกี่ยวกับผู้ว่าการเมืองหลวง?”
“แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้อง แต่เขาก็ต้องรู้เห็น” หลี่เย่หัวเราะอย่างเยือกเย็น “ไม่เช่นนั้น คนมากมายเช่นนี้ อยู่ๆ นักฆ่าจะหายไปได้อย่างไร?” พูดอย่างไม่น่าฟังล่ะก็ มีขุนนางใต้บังคับบัญชาของผู้ว่าการเมืองหลวงคนใดไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงอย่างละเอียดกัน? แต่กลับหานักฆ่าไม่พบ จะโกหกใครได้?
เฉินฟู่พยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง แต่ว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้อะไรเลย”
หลี่เย่ยิ้มบางๆ แล้วจิบชา “แต่เขาไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนของข้าได้ตามไปด้วย คนของเขาหายไป แต่คนของข้าไม่ได้หายไปด้วย”
เรื่องนี้ถาวจวินหลันไม่เคยได้ยินหลี่เย่พูดมาก่อน จึงรู้สึกตกใจทันที แล้วก็อดมองไปทางหลี่เย่ไม่ได้
หลี่เย่ค่อยๆ อธิบาย “ตอนที่คนของข้าตามไปถึงเรือนแห่งหนึ่ง คนก็กลับหายไปแล้ว”
ถาวจวินหลันใจเต้นแรงทันที หายไปหน้าเรือนนั้น นักฆ่าผู้นั้นเข้าไปหลบในเรือน หรือว่าถูกคนในเรือนนั้นสั่งสอนที่ทำงานพลาดกันแน่?
หลี่เย่รอจนทุกคนคาดเดากันไปแล้ว ถึงค่อยๆ พูดต่อว่า “เรือนนั้นไม่มีคนอาศัยอยู่ มีเพียงแค่คนงานแก่ๆ เฝ้าอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น พอคนของข้าไปสอบถามแล้ว ต่างก็พูดว่าไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าคนของข้าพบรอยเลือดสดๆ ที่พื้นตรงประตูด้านข้าง” ตอนนั้นนักฆ่าพวกนั้นก็ได้รับบาดเจ็บ ถึงอย่างไรทหารองครักษ์ของเขาก็ไม่ใช่คนด้อยฝีมือ
พอได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ ทุกคนต่างก็เข้าใจได้ทันที นักฆ่าคนนั้นจะต้องถูกคนเอาตัวไปซ่อนไว้อย่างแน่นอน
เฉินฟู่ถามถึงประเด็นสำคัญทันที “เจ้าของเรือนนั้นเป็นใครหรือ?”
“เมื่อก่อนเป็นเรือนนอกของเฝินหยางโหว ต่อมาเกิดเรื่องกับเฝินหยางโหวขึ้น ที่นั่นจึงร้างไป” หลี่เย่ทุบโต๊ะ ท่าทางดูเกรี้ยวกราด ถาวจวินหลันสังเกตเห็นว่า พอพูดถึงเฝินหยางโหว ท่าทางของหลี่เย่ก็เปลี่ยนไปในทันที
เห็นได้ชัดว่า หลี่เย่ไม่ชอบเฝินหยางโหวนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ หรือเป็นเพราะว่าเป็นบ้านทางฝั่งมารดาของฮองเฮา?
พอพูดถึงเฝินหยางโหว อีกคนที่สีหน้าเปลี่ยนไปก็คือองค์หญิงเก้า ถึงแม้ว่าองค์หญิงเก้าจะก้มหน้าลงไปเพื่อซ่อนความรู้สึกเอาไว้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าถาวจิ้งผิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกได้ ก่อนยื่นมือออกมากุมมือขององค์หญิงเก้าเอาไว้แล้วตบเบาๆ เพื่อปลอบใจ
องค์หญิงเก้ามองถาวจิ้งผิง มือที่กำแน่นก็ค่อยๆ คลายออกมา สายตาดูสับสนมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน ถาวจวินหลันก็คิดได้ว่าองค์หญิงเก้าเกือบถูกฮองเฮาจับให้แต่งงานกับลูกชายของเฝินหยางโหว จึงอดหันไปมององค์หญิงเก้าไม่ได้ จากนั้นก็เอ่ยปากถามหลี่เย่ว่า “หรือจะเป็นการแก้แค้นส่วนตัว?”
หลี่เย่พยักหน้า แต่ก็พูดต่ออย่างรวดเร็ว “เพียงแต่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องบางอย่าง ไม่แน่ว่าอาจจะด้วยเหตุผลนี้ทั้งหมด ถึงอย่างไร จวนเฝินหยางโหวก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่เหลือตำแหน่งใดๆ ในวังไม่มีใครรับราชการได้อีก แล้วเหตุใดจะต้องลงทุนทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้?”
ถาวจิ้งผิงกับเฉินฟู่พยักหน้าพร้อมกัน พริบตาเดียวบรรยากาศก็เงียบสงัด
ถาวจวินหลันเห็นพลันยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “เอาล่ะๆ อยู่ดีๆ พูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาทำไมกัน? พูดเรื่องอื่นดีกว่า กินข้าวกันอย่างอารมณ์ดี หลังกินข้าวเสร็จแล้ว เดี๋ยวซินหลันกับฝูชิงยังต้องรีบกลับไปอีก”
จากนั้นทุกคนต่างก็ไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก บรรยากาศจึงกลับมาครื้นเครงเช่นเดิม
เพียงแต่เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของถาวจวินหลัน คิดว่ากลับไปแล้วจะต้องถามหลี่เย่ให้ละเอียด เมื่อครู่ที่ท่าทีของเขาเปลี่ยนไป ทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พวกผู้ชายต่างไปดื่มชากันในห้องหนังสือ พวกผู้หญิงนั่งคุยกันและกินผลไม้
ถาวจวินหลันถามถาวซินหลันว่า “บ้านตระกูลเฉินเป็นอย่างไรบ้าง?” ถึงแม้จะรู้ว่าเฉินฟู่ไม่มีทางทำไม่ดีต่อถาวซินหลัน แต่นางก็ยังอดถามออกไปไม่ได้
ถาวซินหลันพยักหน้า “ไม่ว่าพ่อสามีหรือแม่สามีต่างก็ดีกับข้าอย่างมาก นอกจากพี่สะใภ้ใหญ่ที่นิสัยไม่น่าคบหาเท่าไร ก็ไม่มีอะไรอื่นอีกเจ้าค่ะแม้ว่า ฝูชิงจะเงียบบ้าง แต่เขาก็ดีกับข้ามาก ทุกเรื่องต่างทำตามความต้องการของข้า”
พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็สบายใจได้ทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเกิดในตระกูลสูงส่ง อีกทั้งยังเป็นลูกสาวคนเดียว จึงมีนิสัยเอาแต่ใจไปบ้าง เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเอาความอะไรกับนาง เจ้าเพียงแต่อยู่ในเรือนของเจ้าก็พอแล้ว ถึงอย่างไรแม่สามีของเจ้าก็ไม่มีทางทำไม่ดีกับเจ้า”
ถาวซินหลันพยักหน้า อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “พ่อสามีพูดกับข้าเรื่องช่วยรื้อคดีของท่านพ่อ เพียงแต่พูดว่าขาดพยานคนสำคัญที่ยังหาตัวไม่พบ”
ถาวจวินหลันไม่รู้เรื่องนี้ พอได้ยินแล้วก็นิ่งอึ้งไปในทันที