ตอนที่ 405 ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อเห็นเลี่ยซานที่ตายไปด้วยน้ำมือของอาอู่ แววตาของเลี่ยหยางก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความเคียดแค้น จิตสังหารแรงกล้าแผ่ออกมาจากร่างของเขาอย่างไม่ปิดบัง

บุตรชายอย่างเลี่ยซาน แม้ว่าพลังและพรสวรรค์ของเขาเป็นเพียงระดับทั่วไปและไม่ได้โดดเด่น เลี่ยซานก็เป็นบุตรที่รักอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องมาจบชีวิตเพราะเงื้อมมือของอาอู่ในวันนี้ เช่นนั้นแล้วเลี่ยหยางจะไม่โกรธแค้นได้อย่างไร?

หากกฎแห่งฟ้าดินไม่ขวางไว้ เลี่ยหยางก็คงจะปรี่เข้าไปและลงมือสังหารอาอู่ด้วยตัวเอง

หลังจากเช็ดคราบเลือดเปื้อนบนคมกริช อาอู่ก็เก็บกริชไว้ตามเดิมก่อนชำเลืองมองเลี่ยซานผู้ซึ่งแน่นิ่งไร้ลมหายใจอยู่บนพื้น เวลานี้ใบหน้าของเขาไม่แสดงถึงความยินดียินร้ายใดๆ ทว่าภายในใจกำลังปั่นป่วนอย่างที่สุด

อาอู่มิใช่คนโหดเหี้ยม หากอีกฝ่ายไม่ได้ทำเรื่องที่เลวร้ายจนเกินจะรับได้กับเขาก่อน เขาก็คงจะไม่โหดเหี้ยมและไร้ความปรานีเช่นนี้

การสังหารเลี่ยซานทำให้เกิดความเจ็บปวดยิ่งกว่าสังหารเลี่ยหยางโดยตรงเสียอีก ครานี้ถือว่าเขาได้ล้างแค้นให้กับบิดามารดาที่ล่วงลับไป

ในเวลานี้ กฎแห่งฟ้าดินก็ค่อยๆคลายม่านป้องกันลงซึ่งเป็นการบ่งบอกให้เห็นว่าเลี่ยซานหมดลมหายใจไปแล้วจริงๆ

ทันใดนั้น เลี่ยหยางก็ไม่รอช้าและกระโจนตรงเข้าไปหมายจะสังหารอาอู่ให้ได้

ทว่าซูชิงเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว และก่อนที่เลี่ยหยางจะลงมือได้สำเร็จ เขาก็เข้ามาขวางการโจมตีที่พุ่งตรงไปหาอาอู่ไว้ได้

“หลีกไป อย่ามาขวางข้า! ไอ้เด็กเวรนี่ฆ่าลูกชายของข้า! ข้าจะเฉือนร่างเขาไปเรื่อยๆจนกว่าจะลบล้างความแค้นในใจได้!”

เลี่ยหยางตะโกนกร้าวราวกับเสียสติขณะแผ่พลังออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาเหวี่ยงฝ่ามือที่เปี่ยมไปด้วยพลังเกือบทั้งหมดฟาดตรงไปที่ซูชิงทันที

“นี่เป็นความผิดของเขาเอง หากเขาไม่เริ่มเสนอการเดิมพันชี้เป็นชี้ตาย อาอู่ก็คงจะสังหารเขาไม่ได้ง่ายนักหรอก”

ซูชิงไม่หวาดหวั่นใดๆ แม้ว่าพลังของเขาจะอ่อนแอกว่าเลี่ยหยาง เขาก็สามารถขัดขวางการโจมตีของอีกฝ่ายได้

เวลานี้อาอู่กลับไปรวมกลุ่มกับซูวั่งชวนและคนอื่นๆแล้ว ต่อให้เลี่ยหยางจะต้องการสังหารอาอู่อีก เกรงว่าเขาคงไม่มีโอกาสอีกต่อไป

“ฮึ่ย!”

เลี่ยหยางแค่นเสียงด้วยความไม่พอใจพร้อมกับมีสีหน้าที่หม่นหมอง จากนั้นเขาก็ถอยกลับออกไปและไม่ประจันหน้ากับซูชิงอีก

“เหอะ ข้าจะจดจำเหตุการณ์ในวันนี้ไว้ให้แม่น ในภายภาคหน้า ข้าจะทำลายชนเผ่าเมฆาครามของเจ้าและล้างแค้นให้กับบุตรชายของข้าเป็นแน่!”

เมื่อได้ยินวาจาเชิงข่มขู่ของเลี่ยหยาง ซูวั่งชวน ซูชิงและคนอื่นๆก็ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด พวกเขาเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้มีโอกาสนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

สีหน้าของฉินส่าวชิงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ในสายตาของเขา ไม่ว่าจะเป็นเลี่ยหยางหรือเลี่ยซาน พวกเขาก็เป็นเพียงหมากในกระดานของเขาเท่านั้น ความเป็นความตายของคนทั้งสองแทบไม่มีผลกระทบอะไรต่อเขา

แม้ว่าเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ยอมแพ้ของชนเผ่าเมฆาคราม มันจะทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองไม่น้อย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนเลย

พลังความแข็งแกร่งที่อาอู่แสดงให้เห็นเมื่อครู่ทำให้ฉินส่าวชิงมีลางสังหรณ์ร้ายเกิดขึ้นในใจ จู่ๆฉินส่าวชิงก็คิดว่าหากยังพยายามฉีกหน้าชนเผ่าเมฆาครามต่อไป โอกาสชนะของเขามีเพียงน้อยนิดเท่านั้น

“ฮ่าๆๆ จริงดังคำกล่าวที่ว่าไว้ สีครามเกิดจากสีน้ำเงินทว่าเข้มข้นยิ่งกว่าสีน้ำเงินเสียอีก และความแข็งแกร่งของอาอู่ในตอนนี้ก็ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ”

*สีเขียว(คราม)เกิดจากน้ำเงินทว่าเข้มข้นกว่าน้ำเงิน หมายถึง ศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์ คนรุ่นหลังเก่งกว่ารุ่นก่อน

ฉินส่าวชิงยิ้มบางๆทันทีขณะยืนขึ้นและมองไปที่อาอู่พร้อมรอยยิ้ม “อาอู่ยังเยาว์วัยนัก ทว่าเขาก็มีพลังที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีอสูรมายาระดับสูงที่น่าอิจฉาถึงสองตัว หากเขาหมั่นเพียรฝึกยุทธ์ต่อไป อนาคตของเขาจะเจิดจรัสอย่างไร้ผู้ต้านโดยแท้”

เมื่อได้ยินวาจาของเจ้าเมืองฉิน ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็หัวเราะเบาๆโดยไม่เอ่ยตอบโต้

ในทางกลับกัน เลี่ยหยางตวัดสายตามองฉินส่าวชิงด้วยความแปลกใจและใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว เขาคิดว่าอย่างน้อยเจ้าเมืองฉินก็น่าจะเศร้าใจสักหน่อย ทว่าเห็นได้ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายไม่แยแสกับการตายของเลี่ยซานเลยสักนิด ความหวาดหวั่นเริ่มก่อตัวในหัวใจของเลี่ยหยางทันที การที่เขาเลือกลงเรือลำเดียวกับฉินส่าวชิงนั้น ไม่อาจรู้ได้เลยว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่

“อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้ยินมาว่าหลายคนจากชนเผ่าเมฆาครามออกไปไล่ล่าจับอสูรมายากลับมา หรือว่าชนเผ่าเมฆาครามจะมีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับสูงอยู่งั้นรึ?”

ฉินส่าวชิงมองซูวั่งชวนด้วยความสับสน เพียงเมื่อไม่กี่วันก่อน ชนเผ่าเมฆาครามทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่และส่งคนออกไปจับอสูรมายาจำนวนมากกลับมา แน่นอนว่าเจ้าเมืองอย่างเขาก็ต้องทราบเรื่องนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเขาทึกทักไปเองว่าชนเผ่าเมฆาครามเพียงแค่แสร้งทำตัวมีลับลมคมใน เขาจึงมิได้สนใจเรื่องนี้นัก

ในเวลานี้ เขาคาดเดาได้ทันทีว่าชนเผ่าเมฆาครามน่าจะมีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับสูงอยู่อย่างแน่นอน และอสูรมายาจำนวนมากเหล่านั้นต่างก็ถูกสยบโดยชนเผ่าเมฆาคราม

เมื่อคิดได้เช่นนี้ จู่ๆความกลัวก็เกาะกุมในหัวใจของฉินส่าวชิง หากเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ความแข็งแกร่งของชนเผ่าเมฆาครามในปัจจุบันก็คง…

“ฮ่าๆๆ ชนเผ่าของเราได้พบผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับสูงจริงและเราทำการสยบอสูรจำนวนมากเมื่อไม่กี่วันก่อน เดิมทีแผนของเราคือปล่อยอสูรออกไปในวันนี้เพื่อประจันหน้ากับเจ้าเมืองฉิน เพียงแต่ในเมื่อเรื่องก่อนหน้านี้เป็นการเข้าใจผิดและเราได้คุยกันแล้ว เรื่องนี้จึงถูกลืมเลือนไปโดยปริยาย”

แน่นอนว่าซูวั่งชวนก็ไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะทำให้ฉินส่าวชิงหวาดหวั่นขึ้นมา ฉินส่าวชิงไม่รู้ไพ่ตายของพวกเขาและเวลานี้เขาเพียงสับสนเท่านั้น ซูวั่งชวนจึงสามารถกล่าวอวดอ้างเกินจริงเพื่อทำให้อีกฝ่ายสับสนยิ่งกว่าเดิม หากว่าเจ้าเมืองฉินต้องการกำจัดชนเผ่าเมฆาคราม เขาก็จะต้องคิดพิจารณาให้ดีเสียก่อน

เมื่อได้ยินวาจาของซูวั่งชวน ใบหน้าของฉินส่าวชิงก็เหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เขามิใช่คนประเภทที่จะหวาดกลัวได้ง่ายๆ เขายิ้มเล็กน้อยขณะกล่าวตอบ “ผู้อาวุโสซูช่างใจร้ายจริงๆ หากท่านรู้จักผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับสูงท่านก็น่าจะแนะนำให้ข้าได้รู้จักเพื่อที่ข้าจะได้แสดงความเคารพต่อเขา ไม่ทราบว่าตอนนี้ผู้ฝึกสัตว์อสูรยังอยู่ที่นี่รึไม่?”

ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับสูงล้วนได้รับความสนใจแม้ในโลกมายา เมื่อนึกถึงจำนวนอสูรมายาที่ถูกคนของชนเผ่าเมฆาครามจับตัวไปในช่วงที่ผ่านมา ผู้ฝึกสัตว์อสูรคนนั้นก็จะต้องอยู่ในระดับปรมาจารย์เป็นอย่างต่ำ

หากได้ทำความรู้จักหรือผูกมิตรกัน ฉินส่าวชิงเชื่อว่ามันจะช่วยเขาได้มากอย่างแน่นอน ฉินส่าวชิงคิดว่าชนเผ่าเมฆาครามจะต้องให้สัญญาบางอย่างเพื่อให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับปรมาจารย์คนนั้นตกลงช่วยพวกเขา

หากเปรียบเทียบกับชนเผ่าเมฆาคราม เขาในฐานะเจ้าเมืองเพลิงมายาย่อมมีสิ่งที่เสนอให้ได้มากกว่า ตราบใดที่ได้พบกับผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับปรมาจารย์ผู้นั้น เขาก็ย่อมสามารถโน้มน้าวใจให้คนผู้นั้นมาอยู่ฝ่ายเดียวกันได้ เมื่อถึงตอนนั้น หากให้สัญญาและให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น เขาเชื่อว่าจะสามารถทำให้ผู้ฝึกอสูรระดับปรมาจารย์มาเป็นแขกคนสำคัญของตนเองได้

น่าเสียดายที่ฉินส่าวชิงคาดไม่ถึงเลยว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับปรมาจารย์ที่ชนเผ่าเมฆาครามกล่าวถึงคือฉินอวี้โม่ผู้ที่เขาได้ก่อเรื่องสร้างความบาดหมางไว้แล้วมากมาย หากเขาทราบก่อนหน้านี้ เขาคงไม่กล้ามีความคิดเหล่านี้อย่างแน่นอน

“ฮ่าๆๆ แน่นอนว่ายังอยู่ เพียงแต่ท่านเจ้าเมืองฉินได้สร้างความขุ่นเคืองใจให้คนผู้นั้นแล้ว เกรงว่าหากข้าบอกตัวตนของนางไปตอนนี้ เจ้าเมืองฉินคงจะรู้สึกอายจนแทรกแผ่นดินหนีไม่ทัน”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่พยักศีรษะให้เขา ซูวั่งชวนก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวออกไป

ฉินส่าวชิงผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้นและสายตาของเขาเลื่อนบรรจบที่ฉินอวี้โม่ด้วยความตกใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับปรมาจารย์ที่ว่านั่นคือแม่นางอวี้โม่ผู้นี้?

เมื่อสบสายตากับฉินส่าวชิง ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าว “น่าเสียดายจริงๆที่ข้าคือผู้ฝึกสัตว์อสูรคนนั้น ก่อนหน้านี้เมื่อพบกัน เจ้าเมืองฉินกล่าวแต่เพียงเรื่องจะสอบสวนตัวตนของข้าและจับข้ากลับไปที่จวนเจ้าเมือง ไม่เคยกล่าวเลยว่าจะปฏิบัติและให้การต้อนรับข้าเป็นอย่างดี”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของฉินส่าวชิงก็บูดบึ้งไปชั่วขณะ เขาอดหันไปจ้องหน้าเลี่ยหยางอย่างดุดันไม่ได้ ตอนนี้ฉินส่าวชิงเริ่มรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป

“ท่านจอมยุทธ์คือผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับปรมาจารย์งั้นรึ?”

ฉินส่าวชิงมองฉินอวี้โม่และเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและยิ้มโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ ฉินส่าวชิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย หากเป็นเพียงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเชี่ยวชาญก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับปรมาจารย์ โลกมายาแห่งนี้ก็มีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเชี่ยวชาญจำนวนมากซึ่งไม่ถือว่ามีความโดดเด่นแต่อย่างใด

“แค่ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับปรมาจารย์จะนำมาเทียบกับท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ได้ยังไงเล่า”

ซูน่ามองฉินอวี้โม่และแสร้งแสดงอากัปกิริยาเทิดทูน นางยิ้มและกล่าวต่อ “ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดไขข้อข้องใจของซูน่า ฉินส่าวชิงผู้มีสีหน้าคลายกังวลเมื่อครู่ก็กลายเป็นเหยเกอีกครั้ง

‘ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ’ เจ้าเมืองฉินรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร

หากตัวตนของฉินอวี้โม่ในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะแพร่งพรายออกไป ไม่เพียงแต่เจ้าเมืองทั้งหลายเท่านั้น ทว่าแม้แต่ผู้ปกครองของโลกมายาในปัจจุบันอย่างฉินเหยียน—เจ้าเมืองมายาก็คงไม่ลังเลที่จะยอมลดศักดิ์ศรีและเชื้อเชิญให้ฉินอวี้โม่มาเป็นผู้อาวุโสของเมืองมายาด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม ฉินส่าวชิงพลาดโอกาสที่จะประจบประแจงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะไปแล้ว ในทางกลับกัน เขาได้สร้างเรื่องวุ่นวายให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง

หากผู้นำฉินเหยียนทราบเรื่องนี้ ฉินส่าวชิงมั่นใจเลยว่าเขาจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน

“เจ้าเมืองฉิน ขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆขณะมองดูสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของฉินส่าวชิงด้วยความสาแก่ใจ

“ฮ่าๆๆ จอมยุทธ์อวี้โม่ช่างเป็นคนตลกจริงๆ”

เมื่อได้ยินวาจาของสตรีตรงหน้า แม้ฉินส่าวชิงยังโกรธแค้นอยู่เล็กน้อย เขาก็ยิ้มตอบด้วยท่าทีอ่อนน้อมและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ

ความน่าเกรงขามของผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะนั้นเขาเข้าใจอย่างชัดเจน บัดนี้ฉินส่าวชิงรู้สึกเสียดายยิ่งนัก หากเขาไม่ถูกยุแหย่โดยเลี่ยหยาง เขาก็คงปรับตัวเปลี่ยนข้างได้หลังจากที่รู้ตัวตนของฉินอวี้โม่

หากรู้ก่อนว่าฉินอวี้โม่เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ เจ้าเมืองฉินก็คงจะปฏิบัติต่อนางอย่างแขกคนพิเศษและไม่ทำให้ขุ่นข้องหมองใจอย่างแน่นอน

สีหน้าของเลี่ยหยางในตอนนี้ก็ดูไม่ได้เช่นกัน เขาไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

หากเขารู้ว่านางเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ ต่อให้เขาจะมีความกล้าหาญเพียงใด เขาก็ไม่กล้าหาเรื่องนางอย่างแน่นอน

เพราะในความจริง ต่อให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะจะมีความแข็งแกร่งในระดับทั่วๆไป ทว่าคนเหล่านั้นก็มีกองทัพอสูรมายาขนาดใหญ่ที่คอยสนับสนุนอยู่ หากต้องเผชิญอย่างซึ่งๆหน้า แม้แต่ตัวเขาก็ไม่มีโอกาสเอาชนะได้

ในที่สุดเลี่ยหยางก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดครานี้ฉินอวี้โม่และชนเผ่าเมฆาครามจึงดูเฉยเมยไม่ทุกข์ร้อน เมื่อมีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะอยู่ในชนเผ่า แน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องกังวลสิ่งใด

ทันใดนั้น จิตสังหารที่ก่อตัวในหัวใจของเลี่ยหยางก็จางหายลงไปมากและแปรเปลี่ยนกลายเป็นความหวาดกลัว เขาตระหนักถึงการกระทำทั้งหมดของตนเองเป็นอย่างดี หากซูวั่งชวนและคนอื่นๆต้องการคิดบัญชีกับเขา ฉินส่าวชิงก็คงไม่ยืนอยู่ในฝ่ายเดียวกับเขาอีกต่อไป

ด้วยการที่มีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะและอสูรมายาระดับสูงจำนวนมาก ต่อให้คนในชนเผ่าเพลิงคำรามทั้งหมดรวมพลังกันก็คงจะไม่มีทางต้านทานได้

อีกอย่างก็ยังมีหลายคนในชนเผ่าเพลิงคำรามที่ไม่พอใจเขานัก หากถึงเวลานั้นจริงๆ เกรงว่าตำแหน่งผู้นำของเขาจะต้องสั่นคลอน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เลี่ยหยางก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยและมีความคิดของการล่าถอยผุดขึ้นมา เขาไม่ต้องการรบราอีกต่อไป