ตอนที่ 646 ไข้ใจ
คนผู้นั้นมิทันตั้งตัวจึงตกใจจนรีบยกมือขึ้นมาบัง แต่เฝิงเยว่เอ๋อเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจนจนอดที่จะตกตะลึงมิได้
ก่อนหน้านี้นางรู้เพียงว่าองครักษ์เงาของมู่จวินฮานมีความสามารถและว่องไว
แต่วันนี้นางเพิ่งรู้ว่าบุรุษตรงหน้ามิเพียงมีวรยุทธที่สูงส่ง ทั้งยังว่ายน้ำเก่งและมีใบหน้าที่หล่อเหลาจนหาได้ยากยิ่ง
หากบอกว่ามู่จวินฮานมีใบหน้าที่หล่อเหลาแล้ว บุรุษผู้นี้ก็มิด้อยกว่ากัน
เฝิงเยว่เอ๋อตกตะลึงอยู่เช่นนั้น ส่วนองครักษ์เงาก็ถูกนางจ้องจนทำอันใดมิถูก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวจากไป
ทว่าเมื่อครู่ตอนที่เฝิงเยว่เอ๋อปีนขึ้นมานั้นได้ทับชายเสื้อของเขาพอดีจึงทำให้ตอนที่เขาลุกขึ้น นางก็เซไปหาเขาโดยมิทันตั้งตัว
ดีที่องครักษ์เงาผู้นั้นเคลื่อนไหวว่องไว พริบตาเดียวก็สามารถประคองนางไว้ได้จนตอนนี้ร่างของเฝิงเยว่เอ๋อมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาพอดี แต่เขามิได้สัมผัสส่วนอื่นบนร่างกายของนางเลย
เห็นท่าทางตกใจของเฝิงเยว่เอ๋อ เขาจึงรีบผละออก คำนับเฝิงเยว่เอ๋อเล็กน้อยแล้วรีบจากไป
เฝิงเยว่เอ๋อกลับใจลอยอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ใบหน้าและดวงตาของเขาล้วนสลักในหัวใจของนางหมดแล้ว
อีกด้านหนึ่ง มู่จวินฮานก็พาฟางหย่าเกอกลับไปที่เรือนและกำลังรอหมอหลวงอยู่
มู่จวินฮานเกิดความสั่นเทาขึ้นมาโดยมิรู้ตัว เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฟางหย่าเกอที่เพิ่งไปดูหลุมศพของฟางหลิงซู่จึงดูเจ็บปวดมากเพียงนี้
เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นของนางยามหมดสติและใบหน้าที่ซีดขาวแล้ว เขาก็มิอาจทำใจให้สงบได้
“คารวะท่านอ๋องขอรับ” มู่จวินฮานเฝ้ามองฟางหย่าเกออยู่เช่นนั้นจนมิรู้ตัวว่าหมอหลวงได้มายืนอยู่ข้างกายแล้ว เมื่อเห็นท่านหมอคำนับให้ เขาจึงได้สติขึ้นมา
“จงตรวจอาการสนมฟางว่าเป็นอย่างไรบ้าง ? ” มู่จวินฮานรีบลุกไปยืนด้านข้างเพื่อให้หมอหลวงได้ตรวจชีพจรของฟางหย่าเกออย่างถนัด เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของท่านหมอแล้ว ภายในใจของเขาก็รู้สึกกระวนกระวายตามไปด้วย
“เรียนท่านอ๋อง สนมฟางแค่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจทำให้ป่วยเป็นไข้ใจขอรับ” ผ่านไปครู่ใหญ่หมอหลวงก็ลุกขึ้น ก่อนจะโค้งกายเพื่อรายงานอาการให้มู่จวินฮานทราบ
“ไข้ใจอย่างนั้นหรือ ? เหตุใดจึงรุนแรงเพียงนี้ เมื่อครู่นางกระอักเลือดออกมาด้วย…” มู่จวินฮานเอ่ยเพื่อให้หมอหลวงตรวจอาการของฟางหย่าเกออย่างละเอียดอีกครั้ง เขามิรู้ว่าการป่วยใจจักรุนแรงได้ถึงเพียงนี้
ท่านหมอมิกล้าขัดคำสั่งของมู่จวินฮานจึงนั่งลงตรวจชีพจรให้ฟางหย่าเกออีกครั้ง มิว่าตรวจเช่นไรก็พบว่าฟางหย่าเกอเป็นเช่นนี้เพราะไข้ใจอยู่ดี
“เรียนท่านอ๋อง อาการของสนมฟางคือไข้ใจจริง ๆ ขอรับ”
หมอหลวงเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่ทุกคำนั้นกระแทกลงกลางใจของมู่จวินฮาน มิว่าไข้ใจหรืออันใด นางก็เป็นเช่นนี้เพราะฟางหลิงซู่
“ควรรักษาเยี่ยงไร ? ” มู่จวินฮานถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปถามหมอหลวง
“ข้าน้อยจะไปจัดยาให้แก่สนมฟางขอรับ หลายวันนี้ควรพักผ่อนให้มากและมิควรครุ่นคิดให้มากด้วยขอรับ” หมอหลวงกล่าวจบก็ถอยออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงมู่จวินฮานและฟางหย่าเกอ
เห็นใบที่ซีดเซียวของฟางหย่าเกอแล้ว มู่จวินฮานก็ทำได้เพียงนั่งลงที่ข้างเตียง
มู่จวินฮานควรกลับไปทำงานในราชสำนักเพราะมีเรื่องต้องจัดการมากมาย แต่ตอนนี้ฟางหย่าเกอป่วยหนัก เขาจึงมิอาจวางใจและไปจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้
เขาเองก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใดสตรีผู้นี้จึงมีผลต่อจิตใจมากมายเช่นนี้ ราวกับว่าเขาหลงรักสตรีที่ได้พบหน้ากันมิกี่ครั้งเข้าเสียแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้มู่จวินฮานจึงมอบหมายงานต่าง ๆ ในราชสำนักให้ชิงเฟิงไปจัดการ ส่วนตัวเขาก็ย้ายสารราชการอื่น ๆ ไปไว้ที่เรือนฝูหลิงของฟางหย่าเกอเพื่อจะได้คอยเฝ้านางไปด้วย
เดิมทีเรือนฝูหลิงเป็นของอันหลิงเกอ หลังจากนางหายไปที่นี่ก็ถูกปล่อยว่าง บัดนี้อันหลิงเกอในคราบฟางหย่าเกอก็ได้มาเป็นเจ้าของอีกครั้ง
ฟางหย่าเกอหมดสติไปถึงสองวันและตลอดสองวันที่ผ่านมามู่จวินฮานก็มิได้พักเลยเพราะหากเขามิไปต้มยาให้นางด้วยตนเองก็วุ่นวายกับสารราชการทั้งวัน
ตอนที่อันหลิงเกอฟื้นขึ้นมาจึงพบว่ามู่จวินฮานกำลังฟุบหลับอยู่ที่ข้างเตียงของนาง ตอนนั้นเขากำลังหลับมิได้สติ พอเห็นท่าทางของมู่จวินฮานและกองเอกสารที่วางเอาไว้มิไกล อันหลิงเกอก็รู้ว่าเขาอยู่ดูแลนางตลอดเวลา
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วนางก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในหัวใจ มู่จวินฮานคนนี้ทำให้นางอดนึกถึงมู่จวินฮานในอดีตมิได้ หากทั้งหมดมิเคยเปลี่ยนไปจะดีแค่ไหนกันเชียว
ขณะที่อันหลิงเกอกำลังใจลอยอยู่นั้น มู่จวินฮานคล้ายรู้สึกได้ถึงสายตาของนางและตอนที่เขากำลังจะเงยหน้าขึ้นก็สัมผัสเข้ากับมือของนางที่กำลังแตะใบหน้าเขาอยู่พอดี
ทั้งสองสบตากันอยู่เช่นนั้น ก่อนจะเป็นอันหลิงเกอที่เตรียมชักมือกลับ ทว่าโดนมู่จวินฮานจับมือเอาไว้เสียก่อนพร้อมทั้งดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด
มู่จวินฮานซบหน้าลงที่ซอกคอของนางพลางสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ บนเส้นผมของนางอย่างหลงใหลจนอันหลิงเกอเบิกตาโพลงและได้แต่อิงซบอยู่ในอ้อมกอดของมู่จวินฮานเพื่อฟังเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขา ทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาโดยมิรู้ตัว
“เจ้าช่างเหมือน…คนที่ข้าเคยรู้จัก” ทั้งคู่กอดกันอยู่เช่นนั้นจนมิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดมู่จวินฮานจึงเอ่ยทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย แต่เมื่ออันหลิงเกอได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาแล้ว น้ำตาของนางก็ไหลริน
อันหลิงเกออยากเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังของเขา ทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงวางไว้ที่เดิม มู่จวินฮานก็เหมือนรู้ถึงความเคลื่อนไหวของคนในอ้อมกอดจึงดึงตัวนางออกเล็กน้อย
มิรู้ว่าเหตุใดหลังจากคืนนั้นที่เขาได้สบตากับนาง หัวใจของมู่จวินฮานราวกับถูกนางครอบครองเอาไว้เสียแล้ว
“เด็กเด็ก ไปจัดเตรียมอาหารเจรสชาติอ่อนมาที” ตอนแรกที่ได้ยินมู่จวินฮานสั่งสาวใช้เช่นนั้น อันหลิงเกอมิเข้าใจจุดประสงค์ของเขาเพราะตอนนี้มิได้มีพิธีอันใดแล้วเหตุใดต้องทานอาหารเจด้วย
“ตอนนี้ร่างกายของเจ้าอ่อนแอมากจึงทานของแสลงมิได้ ก่อนหน้านี้เพิ่งมีพ่อครัวอาหารเจฝีมือดีคนใหม่เข้ามา ข้าคิดว่าเจ้าทานอาหารพวกนี้จะดีกว่า”
มู่จวินฮานอธิบายให้นางฟังอย่างอ่อนโยน แม้อันหลิงเกอชอบทานเนื้อแต่ตอนนี้ร่างกายนางมิค่อยแข็งแรงทั้งยังต้องทานยาด้วย อาหารพวกนั้นจึงมิเหมาะกับนางเท่าไรนัก
มู่จวินฮานทำให้นางยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัว นี่เป็นรอยยิ้มแรกของนางในรอบหลายวัน มู่จวินฮานในตอนนี้ทำให้นางอดนึกถึงเมื่อก่อนมิได้ ช่วงเวลานั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน
เทียบกับความอบอุ่นของเรือนฝูหลิงแล้ว ตอนนี้เรือนของเฝิงเยว่เอ๋อช่างหนาวเหน็บ เฝิงเยว่เอ๋อรู้ว่าตั้งแต่ที่มู่จวินฮานกลับมาก็คอยเฝ้าฟางหย่าเกออยู่ตลอด มิเพียงค้างที่นั่นทุกคืน เพราะตอนกลางวันมู่จวินฮานก็เอาแต่ขลุกอยู่กับฟางหย่าเกอ
จักมิให้นางโกรธได้อย่างไร นางสู้ฟางหย่าเกอมิได้ตรงไหน
หลายวันมานี้สาวใช้ที่มารายงาน หากมิใช่ข่าวว่ามู่จวินฮานดูแลฟางหย่าเกอเช่นไรก็มักเป็นเรื่องที่เขาตั้งใจต้มยาให้ฟางหย่าเกอด้วยตนเอง
ข่าวพวกนี้ทำให้เฝิงเยว่เอ๋อแทบทนมิไหวแต่ก็ทำได้เพียงขังตัวเองไว้ในห้องและไม่คิดออกไปข้างนอก ในเมื่อมู่จวินฮานมิห่างจากฟางหย่าเกอแล้ว นางออกไปจะมีความหมายอันใด
เดิมทีนางคิดว่ามู่จวินฮานจักมั่นคงต่ออันหลิงเกอผู้เดียว คาดมิถึงว่าฟางหย่าเกอผู้นี้สามารถเอาชนะอันหลิงเกอได้ !