กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 854

เจ้าแห่งป่าสิงโตเพลิงน้ำแข็งไกล่าวอย่างหยามเหยียดว่า “เสือดำโบราณอันใด ราชางูเหลือมหยกเก้าเศียรอันใดกันได้หายสาบสูญไปนับร้อยนับพันปี ผู้ใดจะรู้ว่าพวกมันเป็นเสือบนกระดาษหรือเปล่า ข้าว่านะต่อยตีพวกมันให้ตายไปเลยโดยตรง……”

“เพี๊ยะ……”

กล่าวยังไม่ทันจบเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กลิ้งเป็นงูมังกรแล้วจู่โจมสิงโตเพลิงน้ำแข็งโดยตรง ร่างงูใหญ่โตมหึมารัดสิงโตมังกรไฟเอาไว้หุ้ม หัวเก้าหัวใหญ่โตนั้นได้อ้าปากโลหิตกว้างพร้อมครึกครักๆฉกกัดสิงโตน้ำแข็งไฟ

น่าเสียดายที่สิงโตเพลิงน้ำแข็งแม้ว่าจะเป็นเจ้าแห่งป่าอันดับต้นๆในซากปรักหักพังอันเก่าแก่ ภายใต้การรัดของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ทุ่มเทกำลังมากมายก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ จึงถูกเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กินเข้าไปทั้งที่ยังเป็นๆ

ทุกคนมองดูกันอย่างอ้าปากตาค้าง

นั่นเป็นถึงสิงโตเพลิงน้ำแข็งขั้นสูงสุดระดับสี่นะ ต่อหน้าราชางูเหลือมหยกเก้าเศียรก็ไม่ได้เรื่องเช่นนี้เลยหรือ?

เรื่องราวที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงอ้าปากค้างยังไม่จบ

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กินสิงโตเพลิงน้ำแข็งหมดแล้วยังส่ายหัวด้วยความรังเกียจอีกด้วย

“ไม่อร่อย ไม่อร่อยเลย ข้าจะอ้วกแล้ว ก็ยังเป็นหมูย่างของนายท่านที่เอร็ดอร่อย พวกเจ้ายังมีใครที่อยากทุบตีนายท่านของข้าให้ตายอีก”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จ้องไปยังอสุรกายตัวอื่นๆอย่างดุร้าย

อสุรกายต้วอื่นๆยังจะกล้าส่งเสียงโห่ร้องที่ใดกัน แต่ละตัวเนื้อตัวสั่นเทาและยอมจำนนโดยดี

ปักษีเพลิงโลกันต์ตัวหนึ่งกล่าวเยินยอว่า “มนุษย์ผู้สูงศักดิ์สง่างาม ข้าก็ขอเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของท่านได้หรือไม่ ข้าสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อท่านตลอดไป ท่านให้ข้าไปทางทิศตะวันออกข้าจะไม่ไปทางทิศตะวันตกเด็ดขาด”

อสุรกายทั้งเหล่าต่างตื่นตกใจ

ใช่สิ เหตุใดพวกเขาถึงคิดไม่ถึง

แม้ว่าหญิงผู้นี้จะมีความแข็งแกร่งต่ำต้อยแต่นางได้ทำสัญญากับเสือดำโบราณ แม้ว่าราชางูเหลือมหยกเก้าเศียรจะไม่ได้ทำสัญญากับนางแต่ก็ยอมรับนางเป็นเจ้านาย บางทีช้าหรือเร็วก็อาจจะทำสัญญากับนาง

หากว่าพวกเขาก็ยอมจำนนต่อหญิงผู้นี้และเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของนาง ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก

สามารถทำสัญญากับเจ้านายคนเดียวกันกับราชางูเหลือมเก้าเศียรและเสือโบราณ นั้นเป็นเกียรติสูงมากเพียงใด

เหล่าอสุรกายคุกเข่าลงด้วยขาข้างหนึ่งแล้วกล่าวก่อนค่อยเกรงกลัวภายหลังว่า “นายท่านท่านทำสัญญากับข้าเถอะนะ ข้าก็อยากเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของท่านและจะไม่มีวันทรยศ”

“ทำสัญญากับข้าเถอะ ความเร็วของข้านับว่าเป็นหนึ่งในหมู่อสุรกาย นายท่านต้องการไปที่ใดข้าสามารถใช้ความว่องไวที่เร็วที่สุดพาท่านไปได้”

“ข้าแข็งแกร่งราวกับกระทิง หนึ่งตัวเทียบเท่ากับสิบอสุรกายระดับเดียวกันสิบตัว ต่อสู้ต้องพุ่งทะยานเป็นอันดับหนึ่งเป็นแน่ ท่านทำสัญญากับข้าเถอะนะ”

“……”

พวกมนุษย์ต่างตะลึงตาค้าง

กระทิงไฟเก้าเขาก็ตะลึงตาค้าง

กู้ชูหน่วนก็ตกตะลึงตาค้างเช่นเดียวกัน

นี่มันเกิดอันใดขึ้น?

ความเปลี่ยนแปลงก็ช่างรวดเร็วเกินไปกระมัง

หัวหน้าสำนักฉางซาเป็นคนแรกที่ตอบสนองได้ก่อน เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “สวรรค์ สัตว์ทั้งหลายต้องการทำสัญญากับนางทั้งนั้นเช่นนั้นนางก็ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นเจ้าแห่งอสูรนับหมื่นหรอกหรือ? แม่นางมู่เพียงแค่เจ้ายินยอมเข้าร่วมสำนักฉางซาของเรา ไม่ว่าเจ้าจะมีข้อเรียกร้องอันใดข้ารับปากทั้งนั้น”

นิกายอื่นๆตบต้นขาในทันที

เจ้าแห่งอสูรนับหมื่นอันดีผู้หนึ่งช่างศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้แล้วจะพลาดได้อย่างไร

แต่ละนิกายแย่งชิงกันดึงกู้ชูหน่วนมาเป็นพวกอีกครั้งโดยเกรงว่าช้าไปหนึ่งก้าวก็จะถูกคนอื่นแย่งชิงไปเสียแล้ว

สี่ตระกูลใหญ่ก็นั่งนิ่งไม่อยู่แล้ว

ตระกูลไป๋หลี่และตระกูลซั่งกวนรู้สึกเสียใจภายหลังแล้ว

โดยเฉพาะตระกูลซั่งกวน พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรมากมายเช่นนั้น

หากรู้แต่แรกว่านางเป็นเจ้าแห่งอสูรนับหมื่น พวกเขากล่าวสิ่งใดก็คงจะไม่ล้มเลิกการแต่งงานนั้น

ซั่งกวนชิงชักสีหน้าอันชราแล้วกล่าวว่า “แม่นางมู่ก่อนหน้านี้ล้มเลิกการแต่งงานเป็นคนในเผ่าที่ดื้อรั้นตัดสินใจเองโดยที่พวกเราไม่ได้เต็มใจเลย เพียงแค่เจ้ายินยอมเรื่องการแต่งงานของเราก็ยังคงเป็นเช่นดังเดิม”

“ถุย ผู้อาวุโสซั่งกวนเหตุใดเจ้าถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้ หากข้าจำไม่ผิดตอนนั้นเจ้าเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาบอกว่าต้องการล้มเลิกสัญญาการแต่งงานระหว่างซั่งกวนหมิงหลางกับเจ้าเด็กหน่วน เหตุใดตอนนี้เห็นว่านางเป็นเจ้าแห่งอสูรนับหมื่นเลยต้องการจัดงานแต่งงานใหม่หรือ? ข้าบอกเจ้าไว้เลยไม่มีหนทางหรอก นางได้เป็นลูกสะใภ้ของข้าแล้ว ”

ลูกชายคนโตตระกูลหลิงหัวเราะเยาะและโจมตีอย่างไม่เกรงใจ

ทุกคนมองไปยังซั่งกวนหมิงหลางด้วยสายตาเย้ยหยันโดยที่สีหน้าของซั่งกวนหมิงหลางดูไม่ได้เป็นพักๆ

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสุรกาย แต่ละคนต่างก็ถือว่ากู้ชูหน่วนได้รับความนิยมจึงได้พุ่งไปทางนางด้วยการแย่งชิงก่อนคค่อยหวาดกลัวทีหลัง โดยที่เกรงว่านางจะถูกชิงตัวไป

กู้ชูหน่วนตกใจจนถอยกลับครั้งแล้วครั้งเล่า

ความสัมพันธ์ลึกซึ่งเช่นนี้นางจะควบคุมตนเองได่ที่ใดกัน

หากไม่วิ่งเกรงว่าจะถูกพวกเขาแยกร่างซะแล้วสิ

สนใจดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีไม่ได้แล้ว กู้ชูหน่วนตบด้วยมือข้างหนึ่งยังเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์มือข้างหนึ่งยังเจ้าเสือน้อย

ยืนนิ่งอันใดอยู่ ลมแรงยังไม่รีบวิ่งอีก

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กับเจ้าเสือน้อยกลืนน้ำลายลงและรีบตามกู้ชูหน่วนไปราวเป็ดเทอะทะบ้าคลั่ง

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ได้ดึงกู้ชูหน่วนกับเจ้าเสือน้อยขึ้นเลยโดยตรงถึงได้เหวี่ยงทุกคนให้ค่อยๆถอยออกไป

ไม่รู้ว่าวิ่งไปนานเท่าใดเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จึงได้หยุดลง และมองไปยังทิศทางที่นางเพิ่งจากออกด้วยความรู้สึกที่หวนนึกถึงก็ยังกลัวอยู่

“ทำให้หนูน้อยตกใจแทบตาย คนพวกนี้ก็ช่างบ้าบิ่นเกินไปแล้วกระมัง”

“โป๊ก”

กู้ชูหน่วนเขกหัวพวกเขาเป็นรางวัลอย่างไม่เกรงใจ

“พวกเจ้าสองคนจงใจหรือเปล่า?”

“ปรักปรำ ข้าเพียงแค่ไม่ต้องการให้พวกเขาดูแคลนนายท่าน ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะตอบสนองกลับรุนแรงเช่นนั้น”

กู้ชูหน่วน “……”

เจ้าเสือน้อยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “นายท่าน ข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี ต่อไปพวกเขาเห็นนายท่านแล้วก็จะไม่ใช้สายตาดูถูกเหยียดยามอีกต่อไปแล้ว”

“พวกเจ้าสร้างเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ข้าจะชิงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีไปได้อย่างไร”

สัตว์เทพทั้งสองตอบสนองกลับมาทันทีและมองดูฝ่ายตรงข้ามอย่างงุนงง

“พวกเจ้าทั้งสองไม่ใช่สัตว์เทพโบราณหรอกหรือ ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีนั้นมีพวกเจ้าจัดการให้อยู่ก่อนค่ำคืนนี้ไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีใดก็ต้องมอบดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีมาอยู่ตรงหน้าข้า”

“อย่าได้บ่ายเบี่ยงแล้วก็ห้ามหาข้อแก้ตัว ยิ่งอย่าได้ล้มเหลวไม่เช่นนั้นพวกเจ้าเจ้าสารเลวทั้งสองก็ไม่ต้องติดตามข้าอีกต่อไป”

“นายท่าน……”

“นายท่าน……”

“ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้วยังไม่รีบไปตามหาดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีอีก หรือว่ายังจะต้องให้ข้าแบพวกเจ้าไปอีก?”

เมื่อเห็นว่ากู้ชูหน่วนโมโหจริงๆ สัตว์เทพทั้งสองก็จากไปด้วยความตื่นตกใจ จากไปไม่กี่ก้าวก็มองดูกู้ชูหน่วนซึ่งจ้องเขม็งมองด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม

หลังจากที่สัตว์เทพออกไปแล้วกู้ชูหน่วนก็ขมวดคิ้วแน่น รู้สึกสับสนอยู่ในใจโดยที่ไม่รู้ว่าพวกเขจะสามารถชิงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีมาได้หรือไม่

“แคร้ง……”

ด้านนอกเกิดเสียงดังขึ้นมา กู้ชูหน่วนลุกขึ้นแล้วเดินตามเสียงนั้นไป

ทางที่ผ่านบนพื้นดินขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ทุกหนทุกแห่งเป็นร่องรอยของการต่อสู้ทั้งนั้น ต้นไม้เก่าแก่อายุนับพันปีมากมายก็ถูกถอนขึ้นมาทั้งรากเลย

แล้วก็เดินหน้าต่อไปก็เป็นหางสุนัขจิ้งจอกสีขาวเป็นเส้นๆ แต่ละเส้นสูงเทียบเท่ากับผู้ใหญ่ และก็ไม่รู้ว่าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นตัวใหญ่มากเพียงใดกันแน่

“สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นจิ้งจอกเก้าหางระดับเจ็ดหรอกนะ?”

กู้ชูหน่วนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้

หลังจากเดินไปอีกระยะหนึ่งกู้ชูหน่วนก็เห็นร่างของสุนัขจิ้งจอก ร่างกายของมันพรุนไปหมดทั้งตัวโดยที่และตายจมกองเลือดไปตั้งนานแล้ว

ที่ทำให้นางประหลาดใจคือข้างๆศพของเจ้าสุนัขจิ้งจอกยังมีคนสองคนนอนหมดสติอยู่ด้วย

คนสองคนเป็นผู้ที่นางทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า

ชายสวมหน้ากากผู้หนึ่ง

เสี่ยวหูเตี๋ยผู้หนึ่ง

พวกเขาทั้งสองได้รับบาดเจ็บและทั้งคู่ได้หมดสติไป

เมื่อพิจารณาจากอาการบาดเจ็บน่าจะเกิดหลังจากการต่อสู้กับสุนัขจิ้งจอกระดับเจ็ด พวกเขาทั้งสองคนก็กัดกันหยั่งกับสุนัขจึงได้ต่างคนต่างบาดเจ็บสาหัสเจียนตายเช่นนี้

นอกจากพวกเขาแล้วยังจะมีขวานด้ามหนึ่งโดยที่ขวานนั้นขึ้นสนิมเล็กน้อย ถือไว้ในมือก็ไม่รู้สึกถึงพลังปราณวิญญาณอันใดเลย และก็ไม่รู้ว่าเป็นขวานผานกู่หรือเปล่า

กู้ชูหน่วนนั้นรังเกียจแต่นางเกรงว่าหากขวานในมือเป็นขวานผานกู่จริงๆ เช่นนั้นก็จะพลาดเงินร้อยล้านแล้วไม่ใช่หรือ

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งกู้ชูหน่วนก็เก็บขวานไว้แล้วนำตัวเยี่ยจิ่งหานกับเหวินเส่าอี๋ไปยังถ้ำที่เซี่ยวอวี่เซวียนซ่อนตัวอยู่

หลังจากจัดการทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นกู้ชูหน่วนก็เหนื่อยเสียจนหายใจหอบ

แต่ว่านางพอใจยิ่งนัก

ชายสามคนนี้ต่างสง่างามท่าทางผ่าเผย นอนเรียงด้วยกันเป็นแถวแล้วดูเช่นไรก็เป็นบุญตาเช่นนั้น