ตอนที่ 511 เส้นทางนี้ช่างแสนยาวไกล

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 511 เส้นทางนี้ช่างแสนยาวไกล

ถือเป็นคืนที่ฟู่เสี่ยวกวนเมามายอย่างหนัก

ซูเจวี๋ยอุ้มเขาอย่างระมัดระวัง และตามมาด้วยภรรยาทั้งสามของฟู่เสี่ยวกวนเพื่อเดินทางกลับไปยังจวนฟู่

ไฟในห้องน้ำชาของตระกูลเยี่ยนยังคงสว่างอยู่ เยี่ยนเป่ยซี ปู่ของหลานสามรุ่นยังคงนั่งอยู่ด้านใน

หลังจากฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์บทกวีนั้นและยังได้กล่าวอีกสิ่งที่ขัดกับความรู้ของพวกเขาออกมา นี่คือคำเอ่ยของคนเมาที่แท้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

ในสายตาของพวกเขาทั้งหมด กลับมิใช่

เขาบรรยายถึงใต้หล้าในอนาคตให้ฟัง ทว่าความคิดของพวกตนในยามนี้กำลังปะทะกันอย่างรุนแรง

นี่คือความต้องการที่สวนทางกับสวรรค์ !

“ความคิดของเขา… อันตรายจนเกินไป” เยี่ยนฮ่าวชูสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เอ่ยถามคำถามนี้กับฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนได้ตอบมาแล้ว แต่คำตอบนี้เกินความคาดหมายของทุกคนไปมาก

เป็นสิ่งที่ทำให้ต้องตกตะลึงโดยที่ไม่ต้องแสดงออกอย่างแท้จริง

“ข้ากลับรู้สึกว่าหากสามารถบรรลุเป็นแคว้นที่สมบูรณ์แบบเยี่ยงนั้นได้จริง ก็คงจะดีเยี่ยม” เยี่ยนซีเหวินฉุกคิด ทบทวนอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยต่ออีกว่า “วิสัยทัศน์ยี่สิบสี่คำของเขาส่งเสริมกับนโยบายยี่สิบคำที่ฝ่าบาทเคยตรัสออกมา นโยบายยี่สิบคำของฝ่าบาทก็คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมา จากที่มองในตอนนี้เขาก็คิดเยี่ยงนั้นมาโดยตลอด”

เยี่ยนหลินชิวยังคงรู้สึกเหนื่อยล้าจากคำเอ่ยเหล่านั้น เขารู้สึกว่ามันน่าตกใจจนเกินไป ทำให้ยากที่จะยอมรับได้ “แคว้นที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ผู้ที่แย่งชิงผืนปฐพีมิใช่ว่าควรนั่งอยู่บนบัลลังก์เยี่ยงนั้นหรือ เหตุใดต้องให้ราษฎรเป็นผู้เลือกจักรพรรดิด้วย เป็นไปมิได้ เป็นไปมิได้อย่างแน่นอน ฟู่เสี่ยวกวนเมามายแล้วจริง ๆ เป็นเพียงแค่ความฝันของคนเสียสติเท่านั้น”

แต่แล้วเยี่ยนเป่ยซีก็ได้ลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วเดินไปยังหน้าต่าง มองดูโคมไฟสีแดงที่อยู่ด้านนอกและเกล็ดหิมะที่ลอยกระทบกับโคมไฟ “นี่ก็ดึกมากแล้ว กลับห้องของตนเพื่อโต้รุ่งกับคืนส่งท้ายปีเถิด เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูห้องนี้ออกไป จงลืมคำเอ่ยที่เขาเอ่ยออกมาเสีย ต่อจากนี้มิอนุญาตให้กล่าวถึงมัน ณ ที่ใดอีกทั้งสิ้น”

บรรดาบุตรและหลานชายต่างเอ่ยลากันและออกไป ส่วนเยี่ยนเป่ยซียังคงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง

เขากำลังดื่มด่ำกับคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนอย่างถี่ถ้วน

คาดว่า ตนได้เข้าใจลำดับความต้องการทั้งห้าอย่างคร่าว ๆ แล้ว ดังนั้นนโยบายใหม่ที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังผลักดันและการจัดการด้านการค้าก็เพื่อให้กระเป๋าเงินของชาวบ้านพองขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้ สายตาของพวกเขาจึงมิต้องจดจ่ออยู่กับ น้ำมัน เกลือ ฟืน ข้าว เครื่องนุ่งห่ม ธัญพืช และที่พักอาศัย

พวกเขาจะได้มีเวลาว่างและสามารถแหงนหน้ามองท้องนภาได้ หรืออาจจะเฝ้ามองจากที่ห่างไกลออกไป

หลังจากที่พวกเขาได้เห็น ก็จะสามารถทราบได้ว่าแท้จริงแล้วท้องนภานั้นกว้างใหญ่เพียงใด และยังมีทิวทัศน์ที่ต่างออกไปในที่ห่างไกล

พวกเขาก็เหมือนปลาในน้ำ อาศัยอยู่ในน้ำมาโดยตลอด หากการลงมือของฟู่เสี่ยวกวนสำเร็จ ก็เหมือนกับเป็นการช่วยให้ปลาเหล่านั้นกระโดดออกมาจากน้ำ นั่นจะทำให้พวกเขารู้ว่าใต้หล้านี้กว้างใหญ่เพียงใด และมีทิวทัศน์ที่สวยงามมากมายเพียงใด

ท้ายที่สุดแล้ว ปลาก็มิอาจว่ายขึ้นฝั่งได้ แต่ทุก ๆ คนก็ล้วนแตกต่างกันออกไป

เมื่อผู้คนมีความปรารถนาที่สูงขึ้น หลังจากมีปัจจัยแล้วพวกเขาย่อมไล่ตาม คือการเพิ่มระดับความต้องการทั้งห้าที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวเอาไว้

พวกเขาย่อมไม่พอใจต่อคุณภาพชีวิตในปัจจุบัน และจะพยายามสร้างอนาคตที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ล้วนก้าวเดินไปทีละก้าว… เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อวันนั้นมาถึงเกรงว่าพวกเขาจะก้าวสู่แคว้นใหม่อย่างแท้จริง

สิ่งนี้มิอาจทำสำเร็จได้ภายในชั่วข้ามคืน ดังนั้น เส้นทางที่ยากลำบาก มีเพียงการแสวงหาจากทุกหนทุกแห่งเท่านั้น

ดังนั้น เส้นทางที่ยากลำบากของฟู่เสี่ยวกวน มิได้หมายถึงการผลักดันนโยบายใหม่ แต่กลับหมายถึงความก้าวหน้าทางความคิด

หากวันนั้นมาถึง กรงนกนี้จะถูกทำลาย จากนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าทลายดินเยี่ยงไรบ้างกัน ?

เยี่ยนเป่ยซีจินตนาการมิออก เช่นเดียวกับที่ไร้หนทางจะเข้าใจเรื่องของการแบ่งแยกอำนาจ

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าสิ่งที่เรียกว่าอำนาจจะทำให้ผู้คนหลงใหล… ในส่วนนี้ เยี่ยนเป่ยซีเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ยามที่อำนาจในมือขยายใหญ่มากยิ่งขึ้น ก็จะยิ่งใส่ใจในเรื่องของความมั่นคงของอำนาจนี้ด้วย กลัวว่าหากวันใดสูญเสียอำนาจในมือนี้ไป ก็จะถูกศัตรูบดขยี้อย่างไร้ความปรานีเอาได้

ดังนั้น อำนาจที่มีอยู่ในมือของขุนนางแต่ละคนมีเพียงต้องกำให้แน่นขึ้น นอกเสียจากฝ่าบาทจะมอบราชโองการปลดลงจากตำแหน่ง มิเช่นนั้นก็ไร้ซึ่งผู้ใดที่จะยินยอมสละอำนาจในมือด้วยตนเองอย่างแน่นอน

สิ่งที่เรียกว่าอำนาจนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก สามารถสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาได้ สามารถปกป้องครอบครัวได้ สามารถกุมชะตาชีวิตของผู้อื่นได้ และยังสามารถทำให้ครอบครัวแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้อีก

นี่ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนหลงใหลอย่างแท้จริง !

ทว่าฟู่เสี่ยวกวนที่ยังอายุมิครบ 18 ปีดี กลับมองทะลุปรุโปร่งได้ถึงเพียงนี้

นี่ก็คือเรื่องของผืนปฐพีที่เขากล่าวมาทั้งหมด ต้องใช้กำลังในการแบกรับ และต้องสะบัดให้หลุดอย่างหมดจด

เขาแบกรับหน้าที่ในการทำให้ชาวบ้านมั่งคั่งร่ำรวย และมิยอมผูกมัดกับตำแหน่งจักรพรรดิเอาไว้กับตนเอง

เขากังวลว่าตนจะกลายเป็นจักรพรรดิของแคว้นหนึ่ง หลังได้รับอำนาจสูงสุดก็จะไร้ซึ่งผู้ใดที่กล้าขัดต่ออำนาจ และยากที่จะปล่อยมือได้ เยี่ยงนั้น เขาจึงมิยอมทำลายหลักความคิดของตน เขามิต้องการจำกัดลำดับความต้องการของราษฎรให้อยู่ในขั้นที่หนึ่งและสองเท่านั้น

การลงมือทำนั้นง่ายดายยิ่ง วิธีการหลอกหลวงราษฎรที่ดีที่สุดคือให้พวกเขาแบกรับโซ่ตรวนนี้ตลอดไป ให้พวกเขามองเห็นความหวังของการมีชีวิต แต่ชั่วชีวิตนี้ กลับไร้หนทางที่จะสัมผัสมัน

ทุกคนจะทำงานหนักไปทั้งชีวิต มิว่าเพื่อกินหรืออยู่

พวกเขามิมีเวลาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา มองที่สูง และห่างไกลออกไป

พวกเขาจะถูกจำกัดการมองเห็นให้อยู่ในกรอบที่วางเอาไว้เท่านั้น

ดังนั้น ทางเลือกของฟู่เสี่ยวกวนคือไม่แตะต้องอำนาจเสียเลย แต่จะยืนในฐานะผู้สังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง โดยปฏิเสธบัลลังก์และไม่สร้างอำนาจกดขี่ราษฎร ให้พวกเขาได้มีโอกาสปลดโซ่ตรวนที่แสนหนักอึ้งนั้นเสีย เพื่อที่จะสามารถยืนได้สูงขึ้น มองได้ไกลกว่าเดิม และคิดให้มากขึ้น

นี่… จะเป็นไปได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

เสียงดอกไม้ไฟดังขึ้นด้านนอกหน้าต่าง ปรากฏภาพดอกไม้ไฟเบ่งบาน ท้ายที่สุดแล้วปีใหม่นี้ก็มิสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความประสงค์ของผู้ใดได้

…..

…..

จวนฟู่ เรือนซีเซวี๋ย ศาลาอี้เหลียง

ซูเจวี๋ยที่คลายจุดลมปราณให้กับสวี่ซินเหยียนแล้ว กำลังนั่งอยู่กลางศาลาและจ้องมองดอกไม้ไฟบนท้องนภาเหล่านั้น

ซูโหรวเงยหน้าขึ้นมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างตั้งใจ หลังจากที่ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาเขาก็ตกอยู่ในอารามเงียบมิพูดมิจา เขาเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ คลายจุดลมปราณให้กับสวี่ซินเหยียนอย่างเงียบ ๆ ดื่มชาอย่างเงียบ ๆ และมองฟ้าอย่างเงียบ ๆ…

ซูโหรวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “มีเรื่องอันใดในใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

สวี่ซินเหยียนเองก็รู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยถามออกมาบ้าง “เจ้ามิกลัวว่าข้าจะหนีแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ซูเจวี๋ยพยักหน้า แต่ก็ส่ายหน้าอีก ซูซูที่กำลังกินขนมดอกกุ้ยฮวาอยู่ก็ตกใจเสียจนตาโต จะตอบรับหรือปฏิเสธกันแน่ ?

ซูเจวี๋ยละสายตากลับมา ขยับหมวกเล็กน้อย และกล่าวช้า ๆ ว่า “คุณชายเมาแล้ว”

ซูซูเม้มปากเล็กน้อย “เขาคออ่อนถึงเพียงนั้น ดื่มจนเมาก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ ? ”

“หลังจากที่คุณชายเมาเขาได้ประพันธ์กวีขึ้นมาหนึ่งบท และกล่าวอะไรบางอย่างขึ้นมา… ข้าเข้าใจในบทกวีนั้น แต่คำเอ่ยที่เขาเอ่ยออกมานั้นข้ามิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก”

ซูซูเกิดความสนใจขึ้นทันพลัน “ลองกล่าวมาสิ”

สวี่ซินเหยียนเองก็คาดหวังอย่างมิสามารถอธิบายความรู้สึกได้ และเงี่ยหูรอฟัง

ซูเจวี๋ยเล่าทุกคำที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวเอาไว้ในคืนนี้ บทกวีย่อมทำให้สวี่ซินเหยียนตกตะลึงยิ่ง แต่คำเอ่ยที่เขาเอ่ยต่อจากนั้น กลับทำให้ใจของพวกนางสั่นสะท้านโดยถ้วนทั่ว

ในยามที่ซูเจวี๋ยกล่าวจบ สวี่ซินเหยียนก็ได้สูดลมหายใจเข้าลึกและมองไปบนท้องนภา

“ในตอนสุดท้าย แคว้นที่สมบูรณ์แบบซึ่งมีความรุ่งเรือง ประชาธิปไตย อารยธรรม ความปรองดอง อิสระ ความเท่าเทียม ความยุติธรรม กฎหมาย ความรักชาติ การตั้งใจทำงาน ความซื่อสัตย์ ความเป็นมิตรจะปรากฏขึ้น”

มีความเป็นไปได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

แม้จะเป็นคนธรรมสามัญ ก็สามารถเป็นนักปราชญ์ได้ สามารถเป็นเหยาชุนได้… คำเอ่ยเยี่ยงนี้ คาดว่าคงมีเพียงเขาเท่านั้นที่กล้าเอ่ยออกมา

“ท่าจะบ้าไปแล้ว ! ” ซูซูกลืนขนมดอกกุ้ยฮวา และกล่าวออกมาอย่างตกตะลึง

“ไม่ ! เขามิได้บ้า เพราะในตอนท้ายเขายังกล่าวอีกว่า… เส้นทางนี้ช่างแสนยาวไกล ข้าจะแสวงหาไปทั่วทุกแห่งหน ! ”

ในเวลานั้นเอง เสียงดอกไม้ไฟปีใหม่ก็ได้ดังขึ้น ท้องนภาทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยดอกไม้ไฟนับหมื่น

สวี่ซินเหยียนจ้องมองดอกไม้ไฟที่น่าหลงใหลเหล่านั้น พลันรู้สึกว่าทุกสิ่งช่างงดงามยิ่ง อนาคต… ต้องงดงามมากยิ่งขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน