ตอนที่ 409 ไปจวนเซิ่นอ๋อง / ตอนที่ 410 ขัดตา

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 409 ไปจวนเซิ่นอ๋อง 

 

 

 

 

 

“ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก” อวี้อาเหราพูดขึ้นเรียบๆ 

 

 

“ถ้าอย่างนั้น คุณหนู ทำไมท่านจึงได้…” เมี่ยวอวี้ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง พูดขึ้นมาเพียงครึ่งเดียวก็หยุดไป 

 

 

เพราะท่าทีของอวี้อาเหราเหมือนไม่อยากจะพูดถึง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าจะถามต่อ 

 

 

อวี้อาเหรามองไปด้านนอก ท้องฟ้ายังคงดำมืด ยามดึกสงบเงียบยิ่งนัก แล้วจึงหันไปหาเมี่ยวอวี้แล้วถามว่า “ทางฉู่เกอมีข่าวอะไรมาบ้างไหม” 

 

 

“ไม่มีข่าวจากท่านหญิงน้อยเซิ่นเลยเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ตอบ 

 

 

อวี้อาเหราถามต่อไป “แล้วเจ้าให้พวกชิงอวิ๋นกับต้าเว่ยออกไปตามหาก็แล้วกัน” 

 

 

“เจ้าค่ะ คุณหนู” เมี่ยวอวี้เดินออกไป 

 

 

ผ่านไปไม่นาน ฉู่เกอก็เข้ามาในห้องเหมือนพายุ ยามนี้อวี้อาเหราเหนื่อยเต็มที นอนอยู่ที่เตียงนอนข้างเตาไฟแล้วห่มผ้านวมนุ่มๆ ถูกปลุกจนตื่น ยังนอนไม่ทันหลับ ชั่ววินาทีนั้นก็ถูกเสียงฝีเท้าปลุกจนตื่น 

 

 

ฉู่เกอเห็นนางยังไม่หลับก็เกิดสงสัยขึ้นมา “ข้าคิดว่าท่านนอนแล้ว ไม่คิดว่าจะ…” 

 

 

“เมื่อครู่นี้เกิดเรื่องขึ้น จึงยังไม่ได้นอน” อวี้อาเหราตอบขึ้นมาเรียบๆ แล้วถามถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น “เจ้าพบพี่ชายเจ้าหรือเปล่า” 

 

 

“ยังเลย ไม่รู้ว่าหายไปไหน ทำให้เป็นห่วงยิ่งนัก กลัวว่าโรคกระหายโลหิตจะกำเริบขึ้นมา” ฉู่เกอนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า รินน้ำให้ตัวเองดื่มจนเกลี้ยง ดูแล้วนางคงกระหายน้ำมาก 

 

 

หลังจากดื่มน้ำชาแล้ว นางจึงค่อยมีปฏิกิริยา มองไปทางอวี้อาเหราอย่างสงสัย 

 

 

“ทำไมท่านจึงใส่ใจพี่ชายของข้านัก” 

 

 

สีหน้าของอวี้อาเหราชะงัก “ทำไมเจ้าจึงถามเช่นนี้” 

 

 

“อย่าคิดว่าข้าแปลก แต่ใครเล่าจะรอคอยฟังข่าวไม่หลับไม่นอน และยิ่งพี่ชายของข้าไม่ใช่สามีของท่าน…” ฉู่เกอพูดได้แค่ครึ่งเดียว ทันใดนั้นก็หยุดทันที “หรือท่านมีใจให้กับฉู่ฉู่ของข้า” 

 

 

“แค่กๆ…” อวี้อาเหราสำลักขึ้นมา “เป็นเพราะเจ้าเข้ามาดึกดื่นถึงเพียงนี้ต่างหากข้าจึงตื่นขึ้นมา ข้าจะนอนลงได้อย่างไร อีกทั้งฉู่ฉู่ของเจ้ายังเป็นผู้ช่วยชีวิตของข้า จะให้ข้าไม่ใส่ใจได้หรือ อีกอย่าง เขาหายไปตอนมาอยู่ที่จวนหลิงอ๋อง ก็ต้องมีความรับชอบอยู่แล้วมิใช่หรือ” 

 

 

ฉู่เกอฟังที่นางพูดเช่นนี้ก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก 

 

 

แต่ในยามนี้ นางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองอวี้อาเหราอย่างพิจารณา จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นจากเตียง “ข้าเพียงแต่กลับจวนมาดูเท่านั้น อาจจะกลับมาแล้วก็เป็นได้” 

 

 

“ข้าจะไปดูเป็นเพื่อนเจ้าเอง” อวี้อาเหรานึกถึงคำพูดของอวี้จื่อเยียนก็รู้สึกว่านางน่าจะโกหก ทำไมฉู่ป๋ายจึงได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำด่า อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลอย่างอื่นแน่ แต่เมื่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะมีเรื่องใดที่ทำให้คนเรามีสีหน้าเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนั้น 

 

 

ฉู่เกอไม่ค่อยพอใจ “ท่านอย่าได้เอาร่างกายที่ป่วยไข้วิ่งออกไปทั่วเลย อยู่ที่นี่เถิด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะบอกเสด็จพ่อของท่านว่าอย่างไร หลิงอ๋องจะเข้าใจว่าข้าทำร้ายท่าน เดี๋ยวข้าจะโดนหลิงอ๋องตีตายน่ะสิ” 

 

 

อวี้อาเหราหัวเราะ “ร่างกายของของข้าเองข้ารู้จักดี ไม่เป็นอะไรหรอกน่า” 

 

 

ฉู่เกอคิดอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อได้ฟังข้ออ้างของนางก็ช่างเหมือนฉู่ป๋ายเสียเหลือเกิน จึงจงใจไม่พูดอะไร ไม่เอ่ยถามอะไรอีก 

 

 

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนไปเตรียมรถม้าเถิด จำไว้ด้วยว่าให้สวมเสื้อผ้าหลายๆ ชั้น ท่านจะตายที่จวนเซิ่นอ๋องไม่ได้” 

 

 

“รู้แล้ว” อวี้อาเหราพยักหน้า เรียกเมี่ยวอวี้ให้เข้ามาแล้วบอกเรื่องที่คุยกับฉู่เกอที่คุยเมื่อครู่นี้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 410 ขัดตา 

 

 

 

 

 

เมี่ยวอวี้เงียบงัน คุณหนูของนางนั้นร่างกายอ่อนแอถึงเพียงนี้ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจโน้มน้าวใจนางได้ และยิ่งไม่กล้าที่จะว่า ทำเพียงต้องยอมโอนอ่อน นางจึงถอยออกไปเตรียมรถม้าและของใช้จำเป็น จากนั้นก็กลับมาช่วยอวี้อาเหราเปลี่ยนเสื้อผ้า 

 

 

หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว คนทั้งสามก็นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนเซิ่นอ๋อง 

 

 

จวนเซิ่นอ๋องยังคงดำทะมึน ไม่สิ ตอนนี้ทั่วทุกพื้นที่ล้วนแล้วแล้วแต่อยู่ในความมืด ดึกดื่นถึงเพียงนี้ เสียงกีบม้าดังโดดเดี่ยวเดียวดาย  

 

 

นางไม่กล้าบอกใครเรื่องที่ฉู่ป๋ายหายตัวไป บอกเพียงแต่คนที่เชื่อใจได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น เพราะกลัวว่าหากเสด็จลุงและเสด็จอาของจวนเซิ่นอ๋องรู้ข่าวเข้าจะก่อความวุ่นวาย หากเป็นเช่นนั้น ก็จะจัดการได้ยาก 

 

 

ดึกดื่นถึงเพียงนี้แต่อวี้อาเหรามาถึงจวนเซิ่นอ๋อง นอกจากสาวใช้ที่ทำหน้าที่เติมฟืนในเตาผิงมองมาอย่างสงสัยแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา แต่เมื่อหลังฉู่ป๋ายรู้ว่าฉู่เกอไม่อยู่แล้วก็จัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย 

 

 

หลังจากที่ฉู่เกอมาส่งนางที่จวนแล้ว เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของฉู่ป๋ายจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ดูแล้วคงยังไม่กลับมา ท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ข้าจะออกไปหาเอง หากมีข่าวอะไรเราค่อยติดต่อกันแล้วกัน” 

 

 

“ได้” อวี้อาเหราไม่พูดอะไร แล้วพยักหน้า 

 

 

เมื่อฉู่เกอไปแล้ว เมี่ยวอวี้ก็ถามเสียงต่ำ “คุณหนูรองทำไมท่านถึงมาที่นี่ล่ะเจ้าคะ” 

 

 

ภายในห้องมีเพียงเสียงเงียบงัน เมื่อไม่ได้ยินเสียงของอวี้อาเหรา นางจึงไม่อยากถามให้มากความ 

 

 

นางย่นคิ้วมองไปข้างนอกหน้าต่าง ด้านนอกมีแต่ความดำมืด มองอะไรไม่เห็น 

 

 

เกิดอะไรขึ้นกับฉู่ป๋ายกันแน่ 

 

 

คืนนี้ช่างผ่านไปอย่างมืดมัวไม่ชัดเจน ยามที่อวี้อาเหราฟุบหลับอยู่ข้างเตาผิง ก็เป็นเวลาเกือบจะสว่างแล้ว 

 

 

ในยามนั้น นางก็ได้ยินเสียงคนคุยกันเข้ามาในหู 

 

 

ยามที่นางลืมตามองไปยังหน้าประตู ผ่านไปสักครู่จึงค่อยเห็นเงาคนสองคนเดินเข้ามาด้านใน อวี้อาเหราขยี้ตา จึงค่อยเห็นชัดเจน คนสองคนที่อยู่หน้าประตูนั้นคือฉู่ป๋ายกับอวิ๋นเซิ่นใช่หรือไม่ พวกเขามาด้วยกันได้อย่างไร 

 

 

สิ่งที่น่าหัวร่อมากที่สุดก็คือ นางกับฉู่เกอรีบร้อนตามหาเขาทั้งคืน แต่ฉู่ป๋ายกลับไปอยู่กับอวิ๋นเซิ่นเสียได้ 

 

 

ในใจของอวี้อาเหราพลันเกิดเป็นเปลวไฟมอดไหม้ที่ไร้ชื่อขึ้นมา นางโกรธขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงต้องโกรธเคืองเช่นนี้ ความง่วงงุนที่มีได้หลายไปในฉับพลัน เหลือไว้แต่เพียงความโกรธ นางยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เป็นเพราะมือเท้าชาจนด้านแข็ง ชั่ววินาทีนั้นก็ลุกขึ้นยืนไม่ได้ 

 

 

ฝีเท้าของฉู่ป๋ายเบาหวิว เห็นร่องรอยความเหนื่อยอ่อนจากบนใบหน้าเล็กน้อย แต่กลับทำให้เสื้อผ้าสีขาวที่สวมอยู่ดูสง่างามมากยิ่งขึ้น  

 

 

อวิ๋นเซิ่นเดินคุยกับเขา พวกเขาทั้งสองไม่คิดเลยว่าจะพบกับอวี้อาเหราที่อยู่ข้างเตาผิง 

 

 

น้ำเสียงพูดคุยของทั้งสองแผ่วเบา ฟังไม่ออกว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ 

 

 

จนเมื่อเมี่ยวอวี้ถูกเสียงนี้ปลุกจนตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้นเห็นว่าอวี้อาเหราตื่นแล้ว กำลังจะอ้าปากพูดอะไรออกมา ทว่ากลับได้ยินเสียงคนคุยกัน นางจึงมองไปยังหน้าประตู เมื่อเห็นฉู่ป๋ายและอวิ๋นเซิ่นก็นิ่งงันอยู่เป็นนาน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย “เซิ่นซื่อจื่อ?” 

 

 

คนทั้งสองที่กำลังสนทนากันอยู่จึงค่อยรู้ว่ามีสองนายบ่าวยอยู่ในห้อง จึงหยุดพูดคุยกัน 

 

 

สีหน้าของฉู่ป๋ายแสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจเพียงเล็กน้อย ทว่าอวี้อาเหรากลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน 

 

 

อวิ๋นเซิ่นร้องขึ้นด้วยความตกใจ “นั่นคือคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องมิใช่หรือ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” 

 

 

อวี้อาเหราไม่พูดอะไร นางหลบอยู่ในมุม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมือเท้าที่ด้านชาหรือหัวใจของนางกันแน่ที่แข็งทื่อชืดชา นางทำเพียงนั่งอยู่ที่เดิมไม่พูดไม่จา ราวกับไม่เห็นคนทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตู เมื่อดวงตาเห็นว่าเขาทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด นางก็รู้สึกว่าภาพนั้นช่างบาดตายิ่งนัก