“ฟังที่แกพูดมาแบบนี้แล้ว ฉันเหมือนรับน้ำใจจากเธอ ออกไปเถอะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก! ตราบใดที่ฉันเห็นแก ฉันก็จะนึกถึงพ่อแม่ที่น่าขยะแขยงของแก ฉันผิดเองที่เคยคิดว่าพวกมันมีการศึกษาที่ดี ฉันตาบอดไปจริงๆ!”
“ความจริงแล้วคุณเป็นจิตใจดีมาตลอด และคุณก็เคยชอบผม ไม่ใช่หรือครับ?”
“ชอบแก!” กนกอรยิ้มเยาะออกมา ลมหายใจในอกของเธอไม่เสถียรเอามากๆ ร่างกายก็สั่นเล็กน้อย “ฉันจะชอบใครก็คงไม่ใช่ลูกชายของฆาตกรที่ฆ่าสามีของฉันหรอก โง่!”
ได้ยินเช่นนั้น ออกัสก็ทิ้งท้ายประโยคเบาๆ “คนที่โง่คือผมหรือว่าคุณ?”
เขาพูดเพียงเท่านี้ก็ออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ภาพตรงหน้าของกนกอรมืดลง เป็นลมล้มไปอีกครั้ง
เชอร์รีนซื้อโจ๊กลูกเดือยและโจ๊กข้าวสีนิล เธอกลับรู้ข่าวจากคุณหมอที่บอกเธอว่ากนกอรถูกส่งตัวไปห้องฉุกเฉิน เธอขมวดคิ้วด้วยความตื่นตระหนก “ก่อนที่ฉันไปก็ยังดีๆอยู่เลยนี่คะ ทำไมถึงเป็นลมไปอีกได้?”
“อารมณ์โดนกระตุ้นครับ”
เชอร์รีนนั่งลงบนเก้าอี้ยาวรอ หนึ่งชั่วโมงต่อมาก็ถูกผลักออกมา ใบหน้าเธอสวมหน้ากากออกซิเจน แล้วหลับไปกว่าสองชั่วโมงกว่า เธอถึงจะฟื้น
“ผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่หรือว่าร่างกายของผู้ป่วยอ่อนแอมาก? เดิมทีความดันเลือดของเธอก็สูงแล้ว อารมณ์ของเธอไม่คงที่ ตอนเช้าก็ยังไม่ได้กินอาหารเช้าอีก แล้วคุณจะไปกระตุ้นเธออีกทำไม?” คุณหมอดุเชอร์รีน
เชอร์รีนส่ายหน้าพร้อมอธิบายว่า “ฉันไม่ได้กระตุ้นเธอ ฉันลงไปซื้ออาหารเช้าข้างล่าง พอฉันกลับมา เธอก็อยู่ในห้องฉุกเฉินแล้ว”
กนกอรลุกขึ้นนั่งอย่างอ่อนแรง เธอหอบ “ไม่ใช่เธอ แต่เป็นคนอื่น”
“ใครคะ?” เชอร์รีนหันหน้ากลับมาถามอย่างร้อนใจ
“นอกจากมันที่สามารถกระตุ้นฉันได้ แล้วแกคิดว่ายังมีใครอีกล่ะ?” กนกอรนอนพูดอยู่บนเตียง “มันบอกว่าหลายปีมานี้แกเป็นคนเช่าบ้านให้พวกเรา ยังยืมเงินมาชำระหนี้ให้พวกเรา แล้วทำไมฉันต้องทำให้แกลำบากใจ ทำให้แกอึดอัด ทำให้แกเป็นทุกข์ด้วย ไม่คิดว่าที่แท้พวกเราเป็นหนี้บุญคุณแกอยู่มาก ตอนนี้แกเอาบ้านที่แกเช่าคืนไปเถอะ ฉันออกจากโรงพยาบาลแล้วจะเช่าบ้านหลังอื่น ส่วนเงินที่ชารีฟติดแก ฉันจะให้เขาคืนให้แก”
ได้ยินเช่นนั้นหัวใจของเธอก็ถูกบีบแน่น แน่นจนความรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่านออกมาเป็นพักๆ “แม่คะ อย่าพูดแบบนั้น!”
“แกออกไปเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว อยากจะนอน” กนกอรพลิกตัวนอนตะแคงแล้วหลับตาลง
“แม่ยังไม่ได้กินข้าวเลย หนูจะไปซื้อโจ๊กมาให้ แม่กินเสร็จแล้วค่อยนอนนะคะ”
กนกอรไม่ได้พูดอะไรอีก ลมหายใจคงที่ เชอร์รีนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คุณหมอที่อยู่ข้างๆส่งสายตาให้เธอออกไป
ยืนอยู่นอกระเบียงทางเดิน เธอสัมผัสได้ถึงลมหนาวที่พัดผ่านใบหน้า ลมหนาวที่พัดผ่านแก้มให้ความรู้สึกเจ็บแปลบก็ไม่ต่างจากความรู้สึกในหัวใจตอนนี้ เธอหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปลายสายก็กดรับ เสียงทุ้มลึกที่คุ้นเคยดังออกมาจากลำคอ “คุณกินข้าวหรือยัง?”
เธอไม่ตอบเขา แต่ถามออกมาโดยไม่บอกไม่กล่าว “เมื่อกี้คุณมาที่โรงพยาบาลรึเปล่า?”
ออกัสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเบาๆว่า “ใช่…”
“คุณก็รู้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธออ่อนแอ ไม่สามารถทนการกระตุ้นได้ แล้วทำไมยังมาที่นี่อีก ทำไมถึงพูดกับเธอแบบนั้น!” เธอเริ่มไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เริ่มรู้สึกตื่นเต้น
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เธอเป็นลมหมดสติไปหลายต่อหลายครั้ง ร่างกายอ่อนแออย่างมาก ไม่สามารถทนการกระตุ้นใดๆได้
เขาเงียบ ไม่ตอบคำถามนี้ของเธอ
“ฉันเหนื่อยมากแล้ว ดังนั้นคุณอย่ามาสร้างปัญหาเพิ่มอีก ฉันวางสายล่ะ!” เธอวางสายไปโดยไม่รอให้เขาพูดอะไร
เธอเหนื่อยมากจริงๆ ถ้าหากเมื่อกี้เธอเจอสาเหตุไม่ทันเวลา งั้นอาการของเธอจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ร้ายแรงมากกว่าเดิม…
เธอในตอนนี้ทนแรงโจมตีไม่ไหวอีกแล้ว แม่ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไร!
ตอนนั้นเองคุณหมอเดินมา กวักมือเรียกเธอให้ไปหาที่ห้องทำงาน เธอจัดการอารมณ์ตัวเองแล้วเธอเดินตามไป
“หมอพบว่าผู้ป่วยมีลักษณะเฉพาะอื่นในช่วงสองวันที่ผ่านมา หมอคิดว่าเธอควรพบนักจิตวิทยา” คุณหมอกล่าว
“จากที่คุณหมอพูด หมายความว่าจิตใจของแม่ดิฉันเกิดปัญหาอะไรขึ้น?”
“ใช่ครับ เกิดปัญหาทางจิตจริงๆ ที่เอาแต่ยึดติดเรื่องหนึ่งอยู่ไม่ยอมปล่อยวาง ถือทิฐิ ดันทุรัง หวาดระแวง”
เชอร์รีนพยักหน้าฟังอย่างตั้งใจ แน่นอนว่าอาการเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับสถานการณ์ของแม่
“แต่ว่าคุณต้องโอนอ่อนไปตามเธอ อย่ากระตุ้นเธออีกเป็นอันขาด คุณก็รู้ว่าคนที่อคติจนเกินไป บางครั้งก็ทำสิ่งที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจินตนาการออกได้”
“คุณหมอมีนักจิตวิทยาเก่งๆแนะนำไหมคะ?”
…
นอกห้องประชุม
ผู้ช่วยเตโชและเลขาไม่กล้าที่จะหายใจเสียงดัง ยืนอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ
ห้องประชุมเต็มไปด้วยผู้บริหารระดับสูงของบริษัท มีแม้กระทั่งประธานของบริษัทอื่น
วันนี้ประธานค่อนข้างผิดปกติ โดยปกติแม้ว่าเขาจะนำโทรศัพท์เข้ามาในห้องประชุม เขาก็จะปิดเสียง แต่วันนี้เขาไม่ปิดเลย แถมพอโทรศัพท์ดังขึ้น เขาก็ก้าวยาวเดินไปหยิบโทรศัพท์มารับสาย
พูดไม่ถึงสองประโยคก็ดูเหมือนปลายสายจะวางสายไปแล้ว จากนั้นท่านประธานก็นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ขยับ
ผู้ช่วยเตโชคิดว่าเมื่อกี้คนที่วางสายไปจะต้องเป็นคุณเชอร์รีนแน่นอน มีเพียงคุณเชอร์รีนเท่านั้นที่จะกล้าขนาดนี้
กระดูกมือใหญ่เคลื่อนไหวเล็กน้อย ออกัสยัดโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสูทของเขา เดินเข้าไปในห้องประชุมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ผู้ช่วยเตโชส่ายหน้า เมื่อกี้ตอนเดินออกมารับโทรศัพท์ ริมฝีปากบางยังยกขึ้นคลี่ยิ้มดูอารมณ์ดีอยู่เลย แค่ชั่วพริบตาทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?
พยากรณ์อากาศก็ไม่เปลี่ยนเร็วเท่าสีหน้าท่านประธานของพวกเขาเลย!
เหล่าผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดในห้องประชุมมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
การประชุมยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ แต่ออกัสฟังเข้าหูไม่กี่คำเลย คำพูดเมื่อกี้ของเธอ ทำร้ายเขาไปแล้วจริงๆ…
เมื่อจบการประชุม เขาก้าวออกไปเป็นคนแรก เดินกลับไปที่ห้องประชุม ผู้ช่วยเตโชรายงานกับเขาว่าคุณเชอร์รีนได้นั่งเครื่องบินเดินทางกลับอเมริกาแล้ว
เขาพยักหน้าเบาๆ สีหน้าอารมณ์ไม่เปลี่ยน ริมฝีปากบางโค้งขึ้นอย่างแดกดัน
เขาทนเห็นเธอต้องลำบากใจมากเกินไปไม่ได้ อยากจะแบกรับแทนเธอ ดังนั้นจึงไปหากนกอร แต่คิดไม่ถึงว่าสำหรับเธอแล้วมันเป็นการสร้างปัญหา
หรือบางที คำพูดที่เขาพูดกับแม่เธอ ถูกใส่สีตีไข่เข้าไปในหูเธอ
แต่ว่าเธอกลับเชื่อในคำพูดที่ใส่สีตีไข่ แต่ไม่เชื่อในตัวเขา…
หรือยิ่งกว่านั้น เขามักรู้สึกว่าตาชั่งในใจเธอเอนเอียงไปทางแม่ของเธอแล้ว หากต้องเผชิญกับทางเลือกอีกครั้ง เธอก็อาจจะทิ้งเขาไป…
ออกัสกลืนน้ำลาย หยิบปากกาขึ้นมาเซ็นสัญญา อาจเป็นเพราะออกแรงมากเกินไป จึงทำให้หน้าหนังสือสัญญาแข็งๆขาด เขาร้อนใจไม่เป็นสุข จึงเนกไท “เข้ามา!”
ผู้ช่วยเตโชเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ท่านประธาน!”
หนังสือสัญญาฉบับนั้นถูกทุบลงไปตรงหน้าเขา เสียงของเขาเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งที่ทุบลงมา “ใครเป็นคนทำสัญญานี้ ได้อ่านให้มันชัดก่อนจะยื่นให้ฉันดูรึยัง?”
ผู้ช่วยเตโชหยิบมันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาสูดหายใจเข้าลึกๆกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความโกรธของออกัส “ผมจะให้คนไปทำใหม่เดี๋ยวนี้ครับ!”
ในช่วงเวลาสั้นๆแผนการและสัญญาทั้งหมดบนโต๊ะก็ถูกโยนทิ้งออกมาลงตรงหน้าผู้ช่วยเตโชทั้งหมด…