ตอนที่ 413 คำว่าความรู้สึกเป็นคำเดียวที่ยากจะเข้าใจ / ตอนที่ 414 เจ้าสิโง่

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 413 คำว่าความรู้สึกเป็นคำเดียวที่ยากจะเข้าใจ 

 

 

 

 

 

หรือว่านางป่วยเสียจนเลอะเลือนไปแล้ว สิ่งที่เขาคิดได้เพื่ออธิบายเหตุการณ์นี้ก็มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้น 

 

 

คนคนหนึ่งหากชาญฉลาดจนเกินไป เมื่อเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงก็จะไร้ซึ่งความรู้สึกปลอดภัย แม้แต่ความมั่นใจในตัวเองเพียงเล็กน้อยก็ยังไม่มี ตัวเขาเองที่เคยเป็นคนมั่นใจในตัวเอง แต่ในยามนี้กลับไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี 

 

 

คำว่าความรู้สึก เป็นคำที่ยากจะเข้าใจ 

 

 

“เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เขาหยุดความคิดเอาไว้ ฉู่ป๋ายก้าวยาวๆ เข้ามา ลองยื่นมือออกไปหมายจะแตะมือนาง ทว่าอวี้อาเหรากลับหลบหนี เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าเป็นอะไรไปกันแน่ ทำไมไม่พูดไม่จา” 

 

 

ในที่สุดอวี้อาเหราก็เงยหน้าขึ้น คำพูดที่ออกมจากปากนั้นฟังดูเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง “ไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า” 

 

 

เมื่อเห็นนางพูดเช่นนี้ ฉู่ป๋ายก็อดไม่ได้ทีจะยิ้ม “ข้าเพียงคิดว่าเจ้าเป็นอะไรไปเท่านั้น ทำไมถึงจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าเล่า” 

 

 

“ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย” อวี้อาเหราถามกลับด้วยความเย้ยหยัน น้ำเสียงที่พูดเต็มไปด้วยความริษยา “เจ้าก็ไปคุยกับน้องอวิ๋นของเจ้าสิ” 

 

 

แม้แต่นางเองก็ไม่คิดว่าน้ำเสียงของนางจะเต็มไปด้วยความริษยาถึงเพียงนี้ 

 

 

ฉู่ป๋ายยิ้มกว้าง “ข้าไปมีน้องสาวชื่อน้องอวิ๋นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้ามีเพียงเกอเอ๋อร์เท่านั้นที่เป็นน้องสาวแท้ๆ” 

 

 

“เจ้า…” อวี้อาเหราไร้คำจะพูด เลิกคิ้วขึ้นมองเขา เมื่อเห็นสีหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มลึกซึ้ง รอยยิ้มลุ่มลึกเป็นอย่างมาก ราวกับตั้งใจที่จะยิ้ม แต่เดิมเขาก็หน้าตางดงามอยู่แล้ว และเมื่อเขายิ้มขึ้นมาอีกก็ทำให้เข้าสู่ความงดงามระดับที่ไร้ผู้ใดจะเทียบเคียง 

 

 

นางที่เห็นใบหน้าเขามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็ยังต้องถูกดึงดูดให้มองอยู่ร่ำไป 

 

 

ไม่รู้ว่านางตั้งใจจะโง่หรือนางโง่จริงๆ กันแน่… 

 

 

น้องอวิ๋นคือใคร นางเอาเท้าก่ายหน้าผากหรือจึงคิดขึ้นมาได้ นอกจากอวิ๋นเซิ่นแล้วจะเป็นใครได้อีก 

 

 

ฉู่ป๋ายเข้าใจดีแต่ก็แสร้งทำเป็นเลอะเลือน จำต้องยกย่องความเฉลียวฉลาดของเขา เพราะหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงจะต้องพูดว่า…ทำไมเจ้าต้องพูดถึงอวิ๋นเซิ่นขึ้นมาด้วย 

 

 

เขากลับเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น ก็เท่ากับนำอวิ๋นเซิ่นไปอยู่ในสถานะน้องสาวเช่นเดียวกับฉู่เกอมิใช่หรือหากอวิ๋นเซิ่นได้ยินเขาพูดเช่นนี้ คงโกรธเสียจนต้องกัดฟันกรอดเป็นแน่ 

 

 

ขอแค่ผู้ที่มีสายตาแหลมคมสักเล็กน้อยก็คงจะมองออก ว่าอวิ๋นเซิ่นนั้นมีใจให้กับฉู่ป๋าย 

 

 

ฉู่ป๋ายเห็นนางเงียบงันไปอีกครั้ง เอาแต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับไปไหน เลยพอนึกออกว่านางคงนั่งนานเกินไปจนมือเท้าแข็งทื่อไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า น้ำเสียงสูงขึ้นขณะที่พูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าเจ้านั่งอยู่นานแล้วคงจะไม่สบายตัว ให้ข้าช่วยพยุงเจ้าลุกขึ้นมาไหม” 

 

 

อวี้อาเหราไม่พูดปฏิเสธออกมาจากปาก ฉู่ป๋ายยื่นมือออกไปโอบเอวนาง แล้วค่อยๆ พยุงขึ้นมา แม้ว่าเขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่เพียงโอบอุ้มหญิงสาวเพียงคนหนึ่งก็เป็นเรื่องง่ายดายมาก เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเสียจนน่าอับอายถึงเพียงนั้น 

 

 

อวี้อาเหรามองเขาอย่างนิ่งเงียบ แบบนี้เรียกว่าการถามหรือ นางยังไม่ยอมรับเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นการบังคับกันชัดๆ 

 

 

แต่ก็ต้องยอมรับ ว่ามือเท้าของนางนั้นเป็นเหน็บชาเสียจริงๆ ขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อฉู่ป๋ายพยุงนางลุกขึ้น เลือดของนางจึงเริ่มที่จะไหลเวียนอีกครั้ง ผ่านไปชั่วครู่ นางจึงเริ่มขยับได้อีกครั้ง ในยามนี้นางจึงยื่นมือออกไปผลักฉู่ป๋ายออกไป 

 

 

ฉู่ป๋ายกลับไปปล่อย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “ข้าเพียงพยุงเจ้าเท่านั้นเอง” 

 

 

เมื่อพลักออกไปไม่ได้ อวี้อาเหราก็ขี้เกียจจะเปลืองแรง ปล่อยให้เขาช่วยตัวนางให้นั่งลง 

 

 

ฉู่ป่ายเองก็นั่งลงที่ข้างเตาผิงเช่นเดียวกัน ใช้ที่คีบพลิกฟืน ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องก็อบอุ่นขึ้นมา ขณะที่ทำอยู่นั้น ก็ถามอวี้อาเหราขึ้นมา “เจ้าคงจะนั่งตรงนี้มาทั้งคืน แม้แต่มือเท้าของเจ้าก็เป็นเหน็บชาเช่นนี้” 

 

 

อวี้อาเหรานิ่งเฉย 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 414 เจ้าสิโง่ 

 

 

 

 

 

ดูแล้วตอนนี้นางคงไม่ยอมที่จะพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย เขาก็ไม่บังคับ “หากเจ้าไม่อยากพูด ก็พูดอืมสักคำก็ได้นี่” 

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น อวี้อาเหราก็ตอบ “อืม” ขึ้นมาจริงๆ 

 

 

“เจ้านั่งรอทั้งคืนทำไมกัน” ฉู่ป๋ายเอ่ยถาม 

 

 

อวี้อาเหราจึงค่อยคิดขึ้นมาได้ว่าทำไมตัวเองจึงมาที่นี่ “อยากจะถามเจ้าสักหนึ่งคำถาม” 

 

 

ฉู่ป๋ายชะงัก ในที่สุดนางก็เริ่มพูดก่อน จึงตีหน้าขรึมหลังจากแสดงสีหน้ายินดีขึ้นมา “เจ้าอยากถามอะไรก็ถามเถิด หากข้าตอบได้ ข้าก็จะบอกเจ้า” 

 

 

“เมื่อวานนี้ หลังจากที่เจ้าออกไปจากห้องของข้าแล้ว เจ้าได้พูดคุยกับอวี้จื่อเยียนที่หน้าประตูหรือเปล่า” อวี้อาเหราถามขึ้นมาตรงๆ 

 

 

“เจ้าสนใจเรื่องส่วนตัวของข้าถึงเพียงนี้เชียว” ฉู่ป๋ายหัวเราะ 

 

 

“ใครอยากจะสนใจเรื่องของเจ้ากัน อวี้จื่อเยียนเป็นพี่สาวต่างมารดาของข้า แน่นอนว่าข้าต้องสนใจเรื่องของนาง” อวี้อาเหราเอ่ยเสียงแข็ง 

 

 

คำพูดนี้เพียงได้ยินแล้วก็รู้ว่าโกหก คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่านางและอวี้จื่อเยียนเหมือนน้ำกับไฟ แล้วเขาเองจะไม่รู้เลยหรือ แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยขัด เขาไม่มองข้ามคำถามนี้ พยักหน้ายอมรับอย่างจริงจัง “ไม่ผิด ข้าพูดคุยกับนางจริงๆ แล้วยังไง” 

 

 

“นางพูดอะไรกับเจ้า” อวี้อาเหราถามขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

“ไม่ได้พูดอะไร” ฉู่ป๋ายยิ้มน้อยๆ “นางเพียงด่าเจ้าเท่านั้น แต่เราก็ไม่ได้สนใจนักหรอก” 

 

 

อวี้อาเหราก้มหน้าแล้วนิ่งเงียบไปสักพัก เป็นอย่างที่อวี้จื่อเยียนว่าเอาไว้จริงๆ นางไม่ได้โกหก แต่ว่า… นางเงยหน้าขึ้นมองฉู่ป่ายอย่างพิจารณา ได้ยินเขาพูดขึ้นอย่างสบายอารมณ์ และไม่มีท่าทีความโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมตอนนั้นสีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปเล่า 

 

 

เป็นเรื่องที่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกเสียที 

 

 

ฉู่ป๋ายมองนางที่ก้มหน้าเงียบงัน มุมปากก็ค่อยๆ ยกขึ้น “เจ้าถามไปทำไมกัน” 

 

 

“ไม่ทำไม ก็แค่ถามดูเท่านั้น” อวี้อาเหรายู่ปากพูดอย่างเกียจคร้าน 

 

 

ฉู่ป๋ายได้ยินคำพูดของนางที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าไม่ได้มีอะไรกับนาง” 

 

 

“อะไร” อวี้อาเหราชะงัก หมายความว่าอย่างไร 

 

 

ฉู่ป๋ายไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา แต่หลังจากผ่านไปสักครู่ จึงค่อยพูดว่า “เมื่อครู่เจ้าเห็นข้ากับอวิ๋นเซิ่นมิใช่หรือ” 

 

 

“เรื่องของเจ้ากับนางจะมาเกี่ยวอะไรกับข้า” อวี้อาเหราพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ไม่ดี 

 

 

“ใช่ ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าจริงๆ” เขาว่าขึ้นมา 

 

 

บรรยากาศเริ่มเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง 

 

 

อวี้อาเหราก้มหน้า แล้วบ่นอุบอิบ “หากเจ้าไม่ได้เป็นอะไรกับนาง แล้วเมื่อคืนเจ้าไปอยู่ไหนกันมาเล่า” 

 

 

“เกิดเรื่องขึ้น” สำหรับคำถามของนาง ฉู่ป๋ายตอบกลับมาง่ายๆ เช่นนี้ 

 

 

ตอบเช่นนี้ก็เหมือนไม่ได้ตอบนั่นแหละ อวี้อาเหราโกรธเคืองเล็กน้อย ตัวนางคิดว่าเขาจะเกิดเรื่องขึ้นมา จึงนั่งรอเขาทั้งคืน ฉู่เกอก็นำคนออกไปตามหาเขาทั้งคืน แต่เรากลับมากับอวิ๋นเซิ่นโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน มันหมายความว่าอย่างไรกัน 

 

 

ยามที่อวี้อาเหรากำลังจะอ้าปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง นางก็จามขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว 

 

 

ฉู่ป่ายรีบลูบมือของนาง “มือของเจ้าเย็นถึงเพียงนี้ยังมานั่งอยู่ตรงนี้ โง่หรืออย่างไร” 

 

 

“เจ้าสิโง่” อวี้อาเหราฝืนด่าว่าขึ้นมา ในใจคิดว่าตัวนางนั้นช่างโง่เง่าเหลือเกิน ทำไมจึงต้องนั่งรอผู้ชายคนหนึ่งทั้งคืน นางรออะไรกันแน่ รอจนตัวเองไม่พอใจขึ้นมาอย่างนั้นหรือ 

 

 

“ไปนอนบนเตียงเถิด” ทันใดนั้น เขาก็ยื่นมือออกมาประคองนางขึ้นมา แล้วตั้งใจอุ้มตัวนาง อวี้อาเหราไม่ขัดขืน เพียงไมนานก็ซุกหน้าเข้ากับอกของเขา กลิ่นหอมสะอาดจากกายของเขาลอบฟุ้งเข้ามาแตะจมูกของนาง 

 

 

กายของเขาอบอุ่นยิ่ง นางไม่อยากที่จะห่างจากเขาเลย