บทที่ 228 การมาถึงของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 228 การมาถึงของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์

หลังการจากไปของจี้จู่ โม่หยูถังพูดด้วยอาการประหม่า “นายท่าน อสูรโลหิตตนนั้นมีความสามารถในการเดินทางผ่านมิติ ข้าเกรงว่างานนี้มันจะไม่ง่ายซะแล้ว ถ้าเราไม่จัดการกับมันซะก่อนบรรดาภรรยาของท่านรวมไปถึงเหล่านายน้อยอาจจะมีอันตรายได้”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “มันไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอก! ถึงแม้ว่าความสามารถแบบนี้มันจะรับมือได้ยากสักหน่อย แต่ถ้าหากมีการเตรียมการที่ดีเราก็สามารถจัดการกับมันได้ และถ้าหากใครมันกล้าบุกเข้าไปด้านในรถม้าเราก็ยิ่งไม่ต้องกังวลอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นไอ้เจ้าอสูรโลหิตตัวนั้นมันค่อนข้างมีประโยชน์ ข้าอยากจะจับตัวมันมาเป็น ๆ”

หลังจากกล่าวจบ หลิงตู้ฉิงได้พูดส่งเสียงของเขาไปยังหลิงฟ่างหัวที่อยู่ในรถม้า “ฟ่างหัว ถ้ามีตัวอะไรก็ตามที่มีความสามารถเดินทางผ่านมิติพุ่งเข้าไปด้านในรถม้า เจ้าจงใช้ความสามารถของเจ้าผนึกตัวมันไว้สักครู่ ถ้าหากพ่อจับมันได้ พ่อจะใช้มันทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างก้าวกระโดด”

หลิงฟ่างหัวพยักหน้าและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ!”

เมื่อกล่าวจบ หลิงฟ่างหัวหยิบประตูออกจากแหวนมิติมาตั้งไว้ที่หน้านางทันที เดิมทีประตูนี้ถูกสร้างขึ้นโดยหลิงตู้ฉิงเพื่อช่วยนางปลุกพรสวรรค์ในสายเลือดของนาง แต่ตอนนี้หลังจากที่หลิงตู้ฉิงได้ปรับแต่งมันไปอยู่หลายครั้ง และฝังผลึกมิติดาราหายนะ และสมบัติอื่น ๆ ไว้ ประตูนี้ก็ปล่อยกลิ่นอายที่แปลกมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อ 2 ปีก่อนนางสามารถขโมยสิ่งของจากเรือนของหลิงว่านถิงโดยใช้ประตูนี้

แต่เมื่อ 2 ปีผ่านมา นางสามารถขโมยสิ่งของจากเรือนของพี่น้องคนอื่น ๆ ของนางที่อยู่ห่างออกไปหลาย 10 เมตรได้แล้ว บางครั้งนางถึงกับลอบเข้าไปในห้องของจ้าวเหมิงลู่และผู้หญิงคนอื่น ๆ เพื่อขโมยของที่นางเห็นแล้วเตะตาเลยด้วยซ้ำ

สมบัติชิ้นนี้นางจึงตั้งชื่อมันว่า ‘ประตูมิติ’

ตอนนี้หลังจากได้ยินคำสั่งของหลิงตู้ฉิง นางก็รู้ว่าต้องใช้ ‘ประตูมิติ’ อีกครั้ง

นางประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้แสดงฝีมือและรู้สึกคาดหวังกับคำพูดของหลิงตู้ฉิงที่บอกว่าจะทำให้นางแข็งแกร่งขึ้น

ทุกคนในรถม้าต่างรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อมองออกไปข้างนอก พวกเขาไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงจะจัดการกับวิกฤตนี้อย่างไร

สำหรับหลิงตู้ฉิงหลังจากที่เขาสั่งหลิงฟ่างหัวเสร็จ จิตใจของเขาก็กลับมาจดจ่อที่กระบี่ตรงหน้าเขาต่อ

แต่แล้วจู่ ๆ เหรียญตราสีทองแดงก็บินลอยขึ้นอยู่เหนือคฤหาสน์สราญรมย์ จากนั้นมันปล่อยคลื่นพลังบางอย่างออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พลังแห่งกฎระหว่างสวรรค์และโลกถูกรบกวนอย่างรุนแรง

“เหรียญตราผนึกสวรรค์!” ท่าทีของโม่หยูถังเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นเหรียญตรานี้ปรากฎขึ้น

สีหน้าของซือโถวเหวินหยวนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พวกเขาทุกคนต่างรู้ดีว่าหากหลิงตู้ฉิงไม่สามารถใช้พลังแห่งกฎระหว่างสวรรค์และโลกได้ ความแข็งแกร่งของเขาจะลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง

พวกเขาสองคนมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างเป็นห่วง หลิงตู้ฉิงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ เหรียญตราผนึกสวรรค์ที่ลอยอยู่ในอากาศ

เหรียญตราผนึกสวรรค์ เป็นสมบัติวิเศษที่สร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถอันยิ่งใหญ่ อำนาจของมันคือเป็นการปิดผนึกพื้นที่บริเวณหนึ่งให้ภายในพื้นที่นั้นถูกตัดขาดจากกฎระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้ใครก็ตามไม่สามารถใช้พลังจากกฎเหล่านี้ได้

“นายท่าน ข้าจะทำลายมันเอง!” พูดจบ โม่หยูถังโคจรพลังวิญญาณพลางกำหอกทะลวงเมฆาในมือไว้แน่น

หลังจากที่จุดตันเถียนของเขาได้รับการซ่อมแซม และหลังจากที่เขาต้องเริ่มบ่มเพาะใหม่ทั้งหมด ซึ่งเวลาก็ผ่านมานับว่าหลายปีแล้ว ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาได้มาอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 13 เป็นที่เรียบร้อย

ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะแท้จริงของเขายังห่างไกลจากระดับการบ่มเพาะเดิมที่เขาเคยอยู่มาก่อนในอดีต แต่การมีอยู่ของลูกปัดสะสมวิญญาณมันทำให้เขาสามารถใช้ความแข็งแกร่งเต็มที่เช่นอดีตได้ตลอดเวลา

ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากที่จุดตันเถียนของเขาได้รับการซ่อมแซมแล้ว และระดับการบ่มแท้จริงของเขาได้ก้าวมาถึงขอบเขตรวมแสงดาราอีกครั้ง มันจึงส่งผลให้เวลาที่เขาสามารถใช้ความแข็งแกร่งของลูกปัดสะสมวิญญาณนั้นเพิ่มขึ้นจากหนึ่งลมหายกลายเป็นอย่างน้อยที่สุดก็ครึ่งชั่วโมง

โม่หยูถังเข้าใจดีว่าตราบใดที่เขาสามารถทำลายเหรียญตราผนึกสวรรค์ได้สำเร็จ หลิงตู้ฉิงจะกลับมากลายเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานที่สุดภายในอาณาเขตของคฤหาสน์สราญรมย์อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนไหว ชายในชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “จะรีบไปไหนคู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”

โม่หยูถังที่เห็นหน้าของชายในชุดดำที่พึ่งมาใหม่ เขาก็ตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาลทันที “หมิงเย่!”

“ถูกต้องข้าเอง!” หมิงเย่ตอบ “นายน้อยได้ยินว่าเจ้าอยู่ในทะเลชางหมาง ดังนั้นเขาจึงส่งข้ามาให้จัดการกับเจ้าซะ แต่เจ้าเองก็ดูไม่เลวนี่! สามารถฟื้นฟูจุดตันเถียนของตัวเองได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเจ้ามันอยู่แค่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 13 เท่านั้น ยังไงวันนี้ต่อให้ตันเถียนของเจ้าจะกลับมาฟื้นฟู แต่มันก็คงไม่ช่วยให้เจ้ารอดตายไปได้หรอก”

โม่หยูถังตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหอ ๆ ต่อให้ข้าอยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา แต่การฆ่าเจ้าแค่ข้าอยู่ในระดับนี้ก็เพียงพอแล้ว! รอก่อนเถอะไอ้หมู่บ้านสารเลวระยำต่ำช้าไร้ยางอาย ที่ในอดีตกล้าส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์มาลอบทำร้ายข้าจนข้าพิการ อีกไม่นานข้าจะไปคิดบัญชีกับพวกเจ้าทั้งต้นทั้งดอก!”

แม้ว่าโม่หยูถังจะรู้สึกเคียดแค้นแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้โจมตี

เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาชำระหนี้แค้นส่วนตัวของเขา เขายังคงมีหน้าที่ที่ต้องทำและยังคงต้องรับฟังคำสั่งของหลิงตู้ฉิงก่อนที่จะลงมือทำอะไรก็ตาม

“เจ้าไปสะสางเรื่องของเจ้าเถอะ ไม่ต้องกังวลอะไรกับเรื่องตรงนี้” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น

เมื่อโม่หยูถังเห็นท่าทีที่สงบนิ่งของหลิงตู้ฉิง เขาก็รีบบินขึ้นไปบนท้องฟ้าทันทีและพุ่งไปหาหมิงเย่ด้วยท่าทีดุดัน

จากนั้นการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างหมิงเย่ที่ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่บนจุดสูงสุดของขอบเขตนภาระดับ 12 ที่อีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็จะก้าวเข้าสู่ระดับสวรรค์ กับโม่หยูถังเองที่เปิดใช้งานลูกปัดสะสมวิญญาณจนระดับของเขาพุ่งไปที่ขอบเขตนภาระดับ 13 ส่งผลให้การต่อสู้ครั้งนี้กลายเป็นภาพที่อลังการเป็นอย่างมากแก่ผู้เฝ้ามอง

“นี่ความแข็งแกร่งของมันไม่ได้ลดลงเลยจากเมื่อก่อนนี่นา? มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?” หมิงเย่เริ่มงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ทั้งสองที่ต่อสู้กันไปได้สักพัก ร่างของพวกเขาก็เริ่มลอยออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดร่างพวกเขาก็หายลับไปจากระยะสายตามองเห็น

เมื่อคนภายนอกคฤหาสน์เห็นคนทั้งสองที่หายตัวไป จี้จู่ก็พูดกับบรรดาอสูรที่มันพามาว่า “พวกเราบุก! ใครที่มันกล้ากินคนของเรา ฆ่ามันให้หมด!”

หลังจากพูดจบ จี้จู่และบรรดาอสูรโลหิตทั้งสิบสองก็พุ่งตัวเข้าไปด้านในคฤหาสน์สราญรมย์

ส่วนขันทีทั้ง 12 คนที่มาจากอาณาจักรอ้าวเทียน เมื่อพวกเขาเห็นพวกอสูรโลหิตพุ่งเข้าไปด้านในแล้ว พวกเขาตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกข้าได้รับคำสั่งให้ปกป้ององค์หญิงเหลียงเฟ่ยเอ๋อ หากใครกล้าขัดขวางพวกข้าหรือทำร้ายองค์หญิง พวกข้าก็ยินดีที่จะส่งคนพวกนั้นลงนรก!”

กล่าวจบ บรรดาขันทีก็พุ่งเข้าไปด้านในคฤหาสน์เช่นกัน

ส่วนบรรดาพวกผู้เชี่ยวชาญที่เหลือคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านนอกคฤหาสน์สราญรมย์ เมื่อพวกเขาเห็นว่าทั้งอสูรโลหิตและเหล่าขันทีได้เข้าไปด้านในคฤหาสน์แล้ว พวกเขาจึงรีบกรูกันตามเข้าไปอย่างเร่งร้อนโดยไม่รอคำสั่งของจือหมิงฮ่าว

เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งสวรรค์ก็ถูกล่อออกไปแล้ว แถมหลิงตู้ฉิงเองก็ใช้พลังแห่งกฎไม่ได้ ยังจะมีอะไรให้พวกเขากลัวอีก?

ทุกคนจึงมีความคิดแบบเดียวกันก็คือถ้าหากพวกเขาไม่รีบเข้าไปในตอนนี้ เลือดของโจวจื่อซินก็คงไม่มีเหลือให้พวกเขาสักหยด

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าของจือหมิงฮ่าวและหมิงเซียนจ้าวก็มืดหม่นลง สวนร้อยพฤกษาของพวกเขาใช้ทรัพยากรไปเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อบ่มเพาะโจวจื่อซินมานาน แต่ในตอนนี้มันดูเหมือนว่าส่วนแบ่งของพวกเขาที่ควรจะได้รับน่าจะหลุดลอยออกไปจากมือเสียแล้ว

เนื่องจากตอนนี้มีทั้งอสูรโลหิตจากสันเขาหมื่นอสูรและบรรดาคนที่มาจากอาณาจักรอ้าวเทียน พวกเขาไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะปรามคนเหล่านี้ไม่ให้แย่งโจวจื่อซินไปจากพวกเขา

ขณะที่พวกเขาทั้งคู่กำลังลังเลไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป ร่างที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ จือหมิงฮ่าวและถามว่า “ผู้อาวุโสจือ โจวจื่อซินนางอยู่ที่ไหน?”

เมื่อได้ยินเสียงและหันกลับไปยังต้นทาง จือหมิงฮ่าวก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดขีด “ท่านเจ้าสำนัก! นี่ท่านประสบความสำเร็จแล้วงั้นเหรอ?”

หลู่หยุนตี๋พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ใช่ ข้าทะลวงขอบเขตสำเร็จแล้ว ข้าคือผู้เดียวในช่วงพันปีที่ผ่านมาที่ทะลวงไปถึงขอบเขตสวรรค์ได้สำเร็จ เอาล่ะ ตอนนี้ข้าล่ะอยากจะรู้จริง ๆ ว่ามันจะมีใครหน้าไหนที่จะกล้ามาแย่งสายเลือดพฤกษาสวรรค์ไปจากข้าอีกไหม? สวนร้อยพฤกษาของเราคือผู้แรกที่เจอมัน ยิ่งไปกว่านั้นสวนร้อยพฤกษาของเราก็ได้จ่ายทรัพยากรไปอย่างมหาศาลเพื่อเลี้ยงดูให้มันเติบโตขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้มันก็ควรที่จะเป็นพวกเราที่ได้ครอบครอง ไม่ใช่ไอ้พวกเวรโลภมากที่กำลังเข้าไปรุมแย่งของของเราตอนนี้!”

ในขณะที่เขาพูดจบ เสียงร้องที่น่าสังเวชก็ดังออกมาจากภายในคฤหาสน์สราญรมย์ พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้นยิ่งกว่าอสูรโลหิตก็ได้โชยตามออกมาเช่นกัน