บทที่ 3 บทที่ 3 ตอนที่ 18 รอยยิ้ม

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 18 รอยยิ้ม โดย Ink Stone_Fantasy

 

ตอนที่กระอักเลือดออกมาครั้งหนึ่ง มั่วมั่วก็นึกถึงคำพูดที่อาจารย์เคยบอกเขาก่อนลงเขามา

“นอกภูเขายังมีภูเขา เหนือคนยังมีคน ทำอะไรต้องรู้จักระวังตน”

เขาเคารพอาจารย์อย่างยิ่ง ปรมาจารย์หนุ่มที่ไม่มีพ่อแม่ย่อมต้องนับถืออาจารย์ของตนเองเป็นเหมือนญาติ

เขาเป็นเพียงคนหนุ่มที่ทำตัวง่ายๆ สบายๆ แต่บางครั้งก็ขี้ลืม

และหุนหันพลันแล่นมากเกินไปหน่อย

มั่วมั่วสูดลมหายใจลึก พยายามสงบความวุ่นวายในร่างกาย เพียงแค่เห็นประตูบานนั้น ก็ทำให้เขาเกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก แม้ว่าเขายังหนุ่มแน่นอยู่ แต่ก็อดตกใจกลัวไม่ได้

ทว่าปรมาจารย์หนุ่มแห่งเขาพยัคฆ์มังกรกลับไม่รู้ว่า นักพรตผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนที่เร่ร่อนในโลกมาห้าร้อยปี ก็กระอักเลือดทุกครั้งที่เห็นประตูบานนี้ กระอักแล้วกระอักอีก จนจะเริ่มชินชาแล้ว

มั่วมั่วใช้เวลาทั้งคืนปรับพลังปราณของตัวเองให้สงบ พระอาทิตย์ที่โผล่พ้นผิวน้ำทะเลขึ้นมา ยังตรงเวลากว่านาฬิกาดิจิทัลใดๆ ที่ละเอียดแม่นยำที่สุด

แต่ว่าท้องฟ้ายังคงสลัวๆ

และก็มีคนที่ใช้แรงงานมาตลอดตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงตอนนี้ นั่นคือชาวบ้านที่หนุ่มแน่นและแข็งแรงจำนวนหนึ่งในหมู่บ้านหลี่ว์ที่ตั้งกลุ่ม ‘ทีมเปิดถนน’ ขึ้นมาเอง

แม้ว่าอู๋ชิวสุ่ยจะบอกว่าติดต่อราชการในเมืองไป และทางนั้ส่งทีมกู้ภัยมาแล้วก็ตาม แต่ชาวบ้านรอต่อไปไม่ได้ เพราะจำนวนคนติดโรคมีเพิ่มขึ้นถึงระดับที่สั่นคลอนคนทั้งหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์ให้อยู่ในความโกลาหลได้

“ไม่ได้ ถ้าแค่ดินที่กลิ้งลงมายังพอไหว แต่ว่าส่วนมากเป็นหินผา หากพึ่งกำลังคนแทนเครนล่ะก็ คงเคลื่อนย้ายได้ยากมาก!”

เจ้าหน้าที่หมู่บ้านเสี่ยวตู้ที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนกำลังมองดูอู๋ชิวสุ่ย ตาทั้งสองของเขาเริ่มมีรอยเส้นเลือดให้เห็นแล้ว เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยจนถึงขีดสุด

อู๋ชิวสุ่ยก็รู้ว่าลำพังอาศัยแค่มือและเท้าของชาวบ้านพวกนี้ คงจัดการดินถล่มเป็นวงกว้างแบบนี้ได้ยากมาก

“ไม่รู้ว่าคนไข้จะทนได้อีกนานแค่ไหน…” อู๋ชิวสุ่ยขมวดคิ้วแน่น เขาไม่รู้ว่าหลังจากรอให้ทีมย่อยของหน่วยกู้ภัยจัดการถนนจนเรียบร้อยแล้ว คนไข้พวกนั้นจะ…

“เรือทางฝั่งนั้นล่ะ?” อู๋ชิวสุ่ยถาม

เสี่ยวตู้ตอบ “ฝั่งทางเมืองบอกมาแล้ว ว่าจะจัดเรือหาปลามาให้หนึ่งลำ…แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย”

“เราจะช้าไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวนะ” อู๋ชิวสุ่ยถอนหายใจยาว “ไม่ได้จริงๆ ทำได้แค่แบกคนไข้เดินผ่านทางภูเขาไปทีละคนแล้ว”

อู๋ชิวสุ่ยเลิกคิ้วขึ้น วิตกกังวล และก็เหนื่อยมาก

เสี่ยวตู้ตอบ “ท่านเลขา คุณพักก่อนสักหน่อยเถอะครับ ตรงนี้ให้ผมคอยดูก็ได้”

ฉับพลันนั้นเอง วัยรุ่นคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน “แย่แล้ว! ท่านเลขา แย่แล้วล่ะ!”

“เกิดอะไรขึ้น?” อู๋ชิวสุ่ยใจกระตุกเล็กน้อย “หรือว่าคนไข้พวกนั้น…”

จนถึงตอนนี้ หมู่บ้านหลี่ว์มีคนติดโรคกว่าร้อยคนแล้ว เพียงคืนเดียวก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนี้ หากไม่ทำให้คนเครียดก็แปลกแล้ว

“ไม่ใช่ๆ!” ชาวบ้านวัยรุ่นตอบ “เป็นพวกอาเป่ากง! ผู้อาวุโสของกลุ่มชาวบ้านทั้งเมืองนำคนกลุ่มใหญ่ไปทางบ้านพักของหลี่ว์ไห่แล้ว!”

เสี่ยวตู้ชะงักไปพร้อมพูดว่า “พวกเขาไปทำอะไร?”

“บอก…บอกว่าจะไปจับคนมาเซ่นไหว้เทพเจ้าทะเล…” วัยรุ่นพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “บอกว่านี่ไม่ใช่โรค แต่เป็นคำสาป เป็นการลงทัณฑ์ของเทพเจ้าทะเลต่อหมู่บ้านหลี่ว์ มีแต่เพียงการจับคนไปเซ่นไหว้ ถึงปกป้องหมู่บ้านของเราเอาได้ ก็เหมือนกับ เหมือนกับ…”

“เหมือนกับอะไร? พูดมา!” อู๋ชิวสุ่ยเป็นเลขามาหลายปีแล้ว เขาพลันสบถเสียงขรึม ทำท่าทางน่าเกรงขาม

“เหมือนกับตอนนั้นเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน!”

“ฟางมิ่ว!” อู๋ชิวสุ่ยเบิกตากว้าง โกรธจนพูดเสียงหลง “คนพวกนี้ คนกลุ่มนี้! พวกปลิ้นปล้อนชั่วร้าย! ชั่วร้ายจริงๆ!! รีบพาฉันไปเร็ว!! โศกนาฏกรรมแบบนั้นจะเกิดซ้ำสองไม่ได้! ให้เจ้าแก่นี่ก่อเรื่องวุ่นวายตามใจชอบได้ยังไง ยังมีกฎหมายอยู่หรือเปล่า?!!”

คนกลุ่มหนึ่งรีบเร่งไปที่บ้านพักตากอากาศอย่างร้อนรน

ก่อนยามฟ้าสาง สาวน้อยก็มาอยู่ในครัวของบ้านพักตัวเองแล้ว

แต่แล้วสาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นก็ต้องแปลกใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าเวลาเช้าขนาดนี้เธอจะพบกับลูกค้าอยู่ในครัว

และยังเป็นลูกค้าชายเพียงคนเดียวอีกด้วย

“คะ คุณลั่ว” สาวน้อยมองดูลั่วชิวที่เดินเข้ามาอย่างค่อนข้างอึดอัด

เธอคิดว่าวัยรุ่นคนนี้เข้าหายากกว่าพี่เริ่น เหมือนกับยิ้มไม่เป็นอย่างนั้น…หลี่ว์อีอวิ๋นทำได้แค่ถามอย่างประหลาดใจ “คุณมาทำอะไรที่นี่ หรือว่าหิวคะ”

เมื่อวานนี้พวกเขามัวแต่ตามหาพ่อของเธอจนไม่ได้กินข้าวดีๆ สักที สุดท้ายเพราะดึกแล้วถึงได้กลับมาก่อน หลังจากกลับมาเริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อที่เหนื่อยมาทั้งวันหัวถึงหมอนก็หลับสนิทไปเลย

จึงไม่ได้ออกมากินข้าวกัน

ลั่วชิวเดินเข้ามา พูดเสียงเรียบเฉยว่า “ว่าจะทำโจ๊กสักหน่อยน่ะครับ…ที่นี่มีขิงไหม?”

“อ๋อ…อ๋อ มีค่ะ” สาวน้อยรีบพยักหน้า “ถ้าเป็นโจ๊ก ที่จริงฉันก็ทำไว้บ้างแล้วค่ะ”

ลั่วชิวมองไปในหม้อครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “นี่ทำให้คุณปู่ของคุณกินเหรอครับ?”

หลี่ว์อีอวิ๋นพยักหน้าพูด “ใช่ค่ะ หลายปีมานี้สุขภาพของคุณปู่ไม่ค่อยดี ท่านก็เลยไม่ค่อยอยากอาหาร ตอนเช้ากินของมันมากไม่ได้…”

เธอส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นทันที “ถ้าฉันมีเวลาว่างก็จะต้มโจ๊กให้ท่านกินค่ะ”

ลั่วชิวตอบ “ตลอดคืนนี้คุณแทบจะไม่ได้นอนเลยล่ะสิครับ”

หลี่ว์อีอวิ๋นตอบ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่เหนื่อยเลย…อีกเดี๋ยวฉันจะลองออกไปหาอีกทีค่ะ”

ลั่วชิวเริ่มซาวข้าวแล้ว สาวน้อยมองโจ๊กที่ตัวเองต้มไว้แป๊บหนึ่ง แล้วก็มองข้าวที่ลั่วชิวกำลังซาว ก่อนจะอ้าปากน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ไม่ได้หมายความว่าคุณทำไม่ดีนะครับ” ลั่วชิวส่ายหน้าพูด “เพียงแต่มีบางคนกระเพาะไม่ค่อยดี ผมก็เลยรู้ว่าเธอกินอะไรได้บ้าง”

เธอรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจากการพูดคุยเมื่อวานนี้ แล้วตอนนี้สาวน้อยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดที่ลั่วชิวพูดเมื่อวานนี้ได้ว่ากระเพาะของพี่เริ่นไม่ดี จึงอดอุทานอย่างตกตะลึงไม่ได้ “คุณลั่ว คุณดีกับครอบครัวจริงๆ!”

ลั่วชิวพูดเนิบๆ “คุณก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”

หลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้าเขินอาย

ฉับพลันนั้นห้องครัวนี้ก็เงียบลง สาวน้อยกวนโจ๊กในหม้อเงียบๆ ส่วนลั่วชิวก็กวนของตัวเองเช่นกัน

“เรื่องนั้น…คุณลั่ว คุณว่าวันนี้หมู่บ้านจะมีคนป่วยเพิ่มขึ้นหรือเปล่าคะ?” หลี่ว์อีอวิ๋นพลันเอ่ยถาม

“พูดยากนะครับ”

หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอีก “คุณ…คุณคิดเห็นยังไงกับโรคนี้คะ?”

ลั่วชิวพลันหยุดมือ แล้วมองหลี่ว์อีอวิ๋น พร้อมกับถามว่า “เมื่อวานนี้คุณก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นแล้วไม่ใช่เหรอ…แล้วคุณคิดเห็นยังไงกับโรคนี้ล่ะครับ”

หลี่ว์อีอวิ๋นกัดฟัน พูดด้วยท่าทางเหมือนคนใจแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เธอพูดเสียงต่ำและงุนงง “ฉัน ฉันไม่รู้…”

ลั่วชิวพยักหน้า

ในตอนนี้เอง นอกบ้านพักตากอากาศก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้น เหมือนมีคนกำลังตบประตูรัวๆ และมีเสียงของคนหลายคนดังเข้ามา

ลั่วชิวมองไปทางทิศทางนั้น จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำในมือ และพูดทั้งที่ไม่ได้มองสาวน้อย “ไปดูกันเถอะ”

“อ้อ ได้ ได้ค่ะ” หลี่ว์อีอวิ๋นเผลอตอบกลับ

ลั่วชิวมุ่งหน้าเดินออกไปนอกห้องครัว ซึ่งก็อยู่ในสายตาของสาวน้อย

แต่เขากลับหยุดชะงัก เหมือนนึกอะไรได้ กำลังเอียงหน้าเล็กน้อย แต่สายตายังไม่ได้หันกลับมา

เขาพูด “ใช่แล้ว เธอยิ้มอะไร”

ในตอนนี้ ใบหน้าสาวน้อยมีรอยยิ้มบาง ทว่าพริบตาเดียวก็แข็งทื่อไป