บทที่ 439 ชินเหลียงหยูขอความช่วยเหลือ
“ตามคาดมิมีข้อมูลที่นี่มากเช่นกัน” ถังหลินชีถอนใจขณะที่เธอวาง
ม้วนคัมภีร์ในมือลง
“เจ้ามิควรคาดหวังมากนัก มันมิใช่เรื่องง่ายในการที่หาที่มาของสมบัติ
เช่นเดียวกับกระจกนี้ แต่ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างข้ามีความรู้สึกว่านี่
มิใช่ครั้งแรกที่ข้าเห็นกระจกนั้น” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางครุ่นคิด
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ เจ้าพูดว่าเจ้าเคยเห็นกระจกนี้มาก่อนงั้น
รึ” ถังหลินชีเอียงคอ
เขาพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ข้าได้พยายามที่จะจดจำว่าข้าเคยเห็น
มันที่ไหนมาก่อนนับตั้งแต่ตอนที่ข้าเห็นมัน แต่ข้ายังคงมิสามารถที่
จะเค้นสมองออกมาได้ บางทีข้าอาจจะแค่จำผิด”
แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าเขาเคยเห็นกระจกนิลกาฬนี้ที่ไหนมาก่อน แต่
ก็ยังมีความรู้สึกคุ้นเคยภายในตัวเขานับตั้งแต่ที่เขาเห็นกระจก
“ข้ามั่นใจว่าเจ้าจักจำมันได้ที่ไหนสักแห่งบนเส้นทาง แต่ตอนนี้พวก
เราไปยังหมู่บ้านถัดไปกันดูว่าพวกเขามีอย่างอื่นบ้างไหม” ถังหลินชี
กล่าว
ซูหยางพยักหน้าและทั้งสองคนก็ออกจากกระท่อมไม่กี่อึดใจจากนั้น
“พวกเราเสร็จธุระที่นี่แล้ว” เขากล่าวกับชินเหลียงหยูซึ่งรอคอยข้าง
นอกอย่างอดทน
“ท่านต้องการที่จะไปดูชนเผ่าอื่นหรือไม่ หรือว่าท่านมีข้อมูลเพียงพอ
แล้วในตอนนี้” เธอถาม
“เราไปดูเพิ่มอีกสักสองสามชนเผ่ากัน”
“ข้าเข้าใจ ให้ข้าบอกกล่าวหัวหน้าหลี่ว่าพวกเราจะไปแล้วก่อนนะ”
ชินเหลียงหยูกล่าวก่อนที่จะตามหาอีกฝ่าย
“หัวหน้าหลี่ พวกเราจะไปแล้วในตอนนี้”
“หือ พวกเขาเสร็จแล้วรึ เช่นนั้นให้ข้ากล่าวอำลาพวกเขา”
ไม่นานหลังจากนั้นหัวหน้าหลี่และชินเหลียงหยูก็เดินไปที่ประตูใหญ่
“ถ้าพวกท่านปรารถนาที่จะกลับมาเยี่ยมในโอกาสหน้า ประตูของ
พวกเราย่อมเปิดให้กับพวกท่านเสมอ ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ” หัวหน้า
หลี่คำนับพวกเขาและกล่าวกับชินเหลียงหยูก่อนที่พวกเขาจะจากไป
ว่า “หัวหน้าชิน โปรดอย่าลืมเรื่องที่พวกเราสนทนากันก่อนหน้านั้น”
“อย่ากังวล ข้ามิลืมแน่” ชินเหลียงหยูกล่าวขณะที่พวกเขาเริ่มออก
เดินทางไปยังหมู่บ้านถัดไป
หลังจากออกจากหมู่บ้านชนเผ่าหิ่งห้อยแล้ว ชินเหลียงหยูก็ได้นำซู
หยางและถังหลินชีไปยังอีกหลายหมู่บ้านรอบทวีปใต้ เดินทางเป็น
ระยะทางหลายพันกิโลเมตรในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน
ชนเผ่าดิน ชนเผ่าเทวรูป ชนเผ่าเหล็ก ชนเผ่าชีวิต ซูหยางและถังหลิน
ชีเยี่ยมไปมากกว่าสิบหมู่บ้านระหว่างช่วงสองสามวันนี้และพวกเขา
ก็ได้อ่านม้วนคัมภีร์มากกว่าพันเล่มเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬ แต่ทว่า
พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะหาข้อมูลที่มีค่ามากพอได้ เมื่อทุกหมู่บ้าน
ล้วนมีข้อมูลที่เกือบจะเหมือนกันมีเพียงความแตกต่างแค่เล็กน้อย
ส่วนสำหรับชินเหลียงหยูนั้นเธอไม่สามารถที่จะหาโอกาสที่เหมาะสม
ในการที่จะพูดกับซูหยางเกี่ยวกับความยุ่งยากของพวกเขากับชนเผ่า
สิงโต ยิ่งไปกว่านั้นเธอต้องการที่จะเพิ่มพูนความสัมพันธ์ให้มากกว่า
เดิมอีกสองสามวันก่อนที่เธอจะขอความช่วยเหลือจากพวกเขา เมื่อ
นั่นย่อมทำให้ง่ายสำหรับเธอในการขอความช่วยเหลือจากเขา
“ข้าเสียใจจริง ๆ สำหรับเรื่องนี้” ชินเหลียงหยูพลันโค้งคำนับซูหยาง
หลังจากที่พวกเขาออกจากหมู่บ้านชนเผ่าหมาป่า “แม้ว่าพวกเราจะ
ได้ท่องเที่ยวนับพันกิโลเมตรและเยี่ยมมากกว่าสิบหมู่บ้านแล้ว ท่าน
ก็ยังมิสามารถที่จะหาข้อมูลที่ท่านต้องการได้ ข้าล้มเหลวสำหรับการ
เป็นพี่เลี้ยง เสียเวลาอันมีค่าของพวกท่าน”
“มิมีอะไรสำหรับเจ้าที่จะต้องขอโทษ ในเมื่อมิใช่ความผิดของเจ้าที่มิ
มีข้อมูลเพียงพอจากที่เหล่านั้น” ซูหยางส่ายหน้าอย่างใจเย็นและ
กล่าวว่า “พวกเรามิคาดว่าจะได้พบอะไรมากเช่นกัน”
อึดใจหลังจากนั้น เขาก็กล่าวต่อว่า “ที่ผ่านมาข้าได้รับรู้ถึงความรู้สึก
ความเป็นกังวลและกลุ้มใจในตัวเจ้า เจ้ามีปัญหาอะไรบ้างไหม”
“น-นั่น…” ชินเหลียงหยูแสดงสีหน้าลังเล “ข้ามิควรจะยัดเยียดปัญหา
ของข้าให้กับท่าน ผู้อาวุโสซู…”
“ถ้ามีอะไรหนักใจ ข้าอยู่ข้างเจ้าเสมอ มิเพียงแต่เจ้าได้ใช้เวลาของเจ้า
เดินทางไปกับพวกเรา อีกทั้งคิ้วที่ขมวดด้วยความเป็นกังวลนั้นมิ
เหมาะสมกับใบหน้าสวยของเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
“ส-สวยรึ” ชินเหลียงหยูตกอยู่ในความประหลาดใจกับคำชมที่ไม่ได้
คาดคิดจนทำให้เธอหน้าแดง
ตามความเป็นจริงนั้นเธอหน้าแดงมากเสียจนกระทั่งผิวสีแทนของ
เธอก็ไม่สามารถที่จะซ่อนสีแดงที่ซ่านขึ้นทั่วใบหน้าได้ ราวกับว่า
เธอกำลังประสบกับการเป็นไข้สูง
“เจ้ารู้ไหม…” ถังหลินชีพลันกล่าว “เขาเป็นชายประเภทที่ว่ามิสามารถ
ปล่อยให้ผู้หญิงอยู่โดดเดี่ยวได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นสาวสวยที่มีปัญหา
ดังนั้นย่อมเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าเพียงแค่พูดปัญหาของเจ้าออกมาดัง ๆ
เพื่อที่พวกเราสามารถจบเรื่องนี้ลงได้ เชื่อข้าเถอะ ข้าได้ประสบกับ
เรื่องนี้ด้วยตนเองและมันจักทำให้น่ารำคาญใจหลังจากผ่านไปสักพัก”
“น่ารำคาญรึ…” ซูหยางเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าข้ามิได้สร้าง
ความรำคาญให้เจ้าถึงระดับนั้น เจ้าย่อมจักมิมีวันยอมให้ข้าช่วยเจ้า
ในเวลานั้น และพวกเราย่อมมิได้มีความสัมพันธ์กันแบบในตอนนี้”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของถังหลินชี สุดท้ายชินเหลียงหยูก็ตัดสินใจ
ที่จะขอให้พวกเขาช่วย
“เป็นแบบนี้ท่านผู้อาวุโสซู… เมื่อพวกเราไปเยี่ยมชนเผ่าหิ่งห้อย
หัวหน้าหลี่ได้ขอให้ข้าช่วย เดิมทีเขาต้องการให้ข้าขอท่านเทพธิดา
แต่ข้ารู้สึกว่าพวกเรามิอาจที่จะรบกวนเธอในเรื่องทางโลก ดังนั้นเขา
จึงต้องการให้ข้าขอให้ท่านทั้งสองช่วยแทน”
“อย่างที่ท่านรู้ ชนเผ่าหมูป่ าถูกชนเผ่าสิงโตโจมตีก่อนหน้านี้ พวกเรา
ยังโชคดีที่ท่านเทพธิดาได้มาในเวลาที่เหมาะสมและได้ขัดขวาง
แผนการของพวกนั้น ช่วยหมู่บ้านของพวกเราไว้ แต่… แต่คนอื่น ๆ
มิได้โชคดีเช่นนั้น ในเมื่อพวกเรามิใช่เพียงชนเผ่าเดียวที่ถูกข่มเหง
จากชนเผ่าสิงโต ตามความเป็นจริงแล้วพวกนั้นได้ทำลายหมู่บ้านไป
มากกว่าสิบหมู่บ้านในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เพิ่มความแข็งแกร่ง
ขึ้นตามจำนวนหมู่บ้านที่พวกนั้นได้เอาชนะ”
“ปกติแล้วพวกเราจักมิต้องกังวลเกี่ยวกับชนเผ่าสิงโตในเมื่อพวกนั้น
มีระดับต่ำกว่าพวกเราในด้านความแข็งแกร่ง แต่ทว่าพวกนั้นได้รับ
ความช่วยเหลือจากชนเผ่ามังกรจนทำให้ความแข็งแกร่งของพวกนั้น
เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
“พวกเรามิคิดว่าชนเผ่าสิงโตจักหยุดยั้งในเวลาอันใกล้นี้ อย่างน้อยก็
ไม่จนกว่าพวกนั้นได้ครอบครอบและทำลายหมู่บ้านส่วนใหญ่ไป
ดังนั้น.. ชนเผ่าหมูป่ า… และชนเผ่าอื่น ๆ ที่พวกเราได้ไปเยี่ยมในช่วง
สองสามวันที่ผ่านมา… จึงใคร่ขอความช่วยเหลือจากท่านผู้อาวุโสซู”
ชินเหลียงหยูกล่าวขณะที่เธอคุกเข่าลงบนพื้นอย่างช้า อ้อนวอนขอให้
พวกเขาช่วย
“…”
ซูหยางไม่ได้ตอบรับในทันใด จริงแล้วถังหลินชีเป็นคนแรกที่พูด
“เจ้าพอสามารถบอกข้าบางอย่างได้หรือไม่ ถ้าเจ้าพบว่าชนเผ่าสิงโต
เป็นภัยคุกคามแต่มิสามารถที่จะเอาชนะพวกนั้นได้ตามลำพัง ทำไม
เจ้ามิขอความช่วยเหลือจากชนเผ่าอื่นล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดล้วน
มีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นควรจะเป็นเรื่องฉลาดที่จะรวมความ
แข็งแกร่งและสู้กับชนเผ่าสิงโตร่วมกัน”
“จริงอยู่ที่มีวิธีเช่นนั้นอยู่… แต่…” ชินเหลียงหยูส่ายหน้าและกล่าว
ว่า “ใช่ว่าทุกชนเผ่าจะมีความเป็นมิตรกับชนเผ่าอื่น ตามความเป็น
จริงส่วนใหญ่แล้วต่างฝ่ายต่างเหยียดหยามกัน ชนเผ่าที่พวกเราไป
เยี่ยมในช่วงสองสามวันก่อนเป็นเพียงข้อยกเว้นในเมื่อพวกเขามี
ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับชนเผ่าหมูป่ าอยู่แล้ว”
“ส่วนสำหรับชนเผ่าอื่นนั้นพวกเขายอมตายแทนที่จะจับมือกันกับ
ชนเผ่าอื่นถึงแม้ว่านั่นจะหมายถึงการล่มสลายของทั้งชนเผ่าของพวก
เขา เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าในการที่จะเอาชนะชนเผ่าสิงโตตามลำพัง
แทนที่จะรวบรวมเผ่นต่าง ๆ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อสู้ร่วมกัน ยิ่ง
ไปกว่านั้นถึงแม้ว่าชนเผ่าต่าง ๆ ล้วนปรารถนาที่จะร่วมมือกัน พวก
เขาก็ล้วนเป็นชนเผ่าขนาดเล็กซึ่งมิมีความแข็งแกร่งมากนัก”