หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ ได้ไปเจอกับจามรีป่าในวันแรกที่เข้าไปในภูเขาคุนหลุน และเป็นครั้งแรกที่เจอสัตว์ที่สามารถเข้าโจมตีมนุษย์ได้
ปกติแล้วจามรีเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่เป็นฝูง และจะไม่เข้าโจมตีสายพันธุ์อื่นๆ แต่จามรีป่านั้นต่างออกไป นักปีนเขาทั้งหลายกลัวการเจอจามรีในป่ามาก และจามรีพวกนี้ก็โหดเ**้ยมด้วย
หลี่ว์ซู่ยืนห่างออกไป เขาไม่คิดจะเคลื่อนไหวใดๆ จามรีตัวนี้เป็นระดับ F ซึ่งมีระดับที่สูงกว่าสัตว์กลายพันธุ์อื่นๆ ในเมือง แต่หวังเจ๋ออยู่ระดับ D หลี่ว์ซู่อยากจะรอดูว่าศิลาวิญญาณที่เขาขโมยไปจะทำอะไรได้หรือเปล่า
แต่หลี่ว์ซู่ก็ต้องผิดหวัง เพราะหวังเจ๋อไม่มีอาวุธอะไรดีๆ เลย เขามีแต่มีดเยอรมันเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของเขา ก่อนหน้านี้จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ อวดเรื่องที่พวกเขามีปืนล่าสัตว์ แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่เห็นใครจะมีอาวุธแบบนั้นสักคน
น่าผิดหวังจัง…
หวังเจ๋อฆ่าจามรีป่าตายได้ง่ายๆ ขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังรุดหน้ากันไปอยู่นั้น หลี่ว์ซู่ก็บอกว่าเขาอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา แต่เขาเดินไปบริเวณที่หวังเจ๋อโยนศพจามรีทิ้ง และอุ้มเอาศพจามรีนั้นใส่เข้าไปในตราแผ่นดิน
อย่างไรก็แล้วแต่เขาก็เป็นนักศึกษาวิจัยสายพันธุ์ ถึงแม้ว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อทำให้เนี่ยถิงอับอาย แต่ไม่ใช่ว่าหลี่ว์ซู่จะกลับไปมือเปล่านี่
อีกอย่างนักศึกษาในทุกๆ สาขาก็หวังพึ่งซึ่งกันและกัน เขาไม่สามารถลดค่าของทุกคนจากเคล็ดวิชาของพวกเขาได้
แล้วกลุ่มก็เดินหน้าต่อไป หลี่ว์ซู่เพิ่งเห็นว่าสมาชิกผู้หญิงคนเดียวในทีมได้รับการเอาใจใส่มากกว่าคนอื่นๆ ในสถานการณ์ปกติแล้วคนพวกนี้จะกินอาหารกลางวันด้วยการยัดอาหารเข้าปากแบบง่ายๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ประณีตกว่านั้น ถ้าเธออยากจะกินข้าวต้มขึ้นมา ทั้งกลุ่มก็จะหยุดรอเธอ
เมื่อกลุ่มคุณลุงอยู่ในป่าแบบนี้แต่ยังไม่เจออันตรายใดๆ พวกเขาก็เลยอยากจะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษเสียหน่อย
ได้กินข้าวต้มสักถ้วยในสถานที่แบบนี้อย่างกับได้ขึ้นสวรรค์ สามีของเธอถึงกับแบกถุงข้าวเล็กๆ ไปไหนมาไหนด้วย
จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ ต่างอิจฉาพวกเขาเล็กน้อย ยกเว้นแต่หลี่ว์ซู่เท่านั้น
บ่ายวันนั้นผู้หญิงที่ชื่อว่าหวังเยี่ยนได้ทำข้าวต้มหม้อเล็กๆ หลี่ว์ซู่หยิบเอาลูกแพร์สองลูกออกมาจากกระเป๋า มันทั้งใหญ่และชุ่มฉ่ำ หลี่ว์ซู่กัดแค่คำเดียวน้ำจากผลแพร์ก็ไหลลงมาตามคางของเขา
[ได้รับแต้มจากจางเยี่ยนเฟิง +166]
[ได้รับแต้มจากหวังเยี่ยน…]
ทุกคนมองหลี่ว์ซู่กินลูกแพร์ในสภาพอากาศแบบนี้ และพวกเขาก็เกือบทำน้ำลายไหล พวกเขาไม่คิดเลยว่าหลี่ว์ซู่จะเอาผลไม้มามากมายขนาดนี้!
หลี่ว์ซู่เพิ่งเอาแอปเปิลไปแจกฟรีๆ สองลูกด้วย ทุกคนเลยสงสัยว่าหลี่ว์ซู่น่าจะใช้ชีวิตสบายมาตลอด เพราะฉะนั้นเขาเลยไม่มีสามัญสำนึกเท่าไหร่
หวังเยี่ยนเม้มปากแน่นขณะที่เธอกำลังต้มข้าวต้ม ใครๆ ก็มาเอาใจใส่เธอมากที่สุด ทุกคนต่างอิจฉาที่สามีหลงเธอขนาดนี้ แต่ไม่ว่าข้าวต้มจะอร่อยมากแค่ไหน มันก็สู้การกินผลไม้ในตอนนี้ไม่ได้หรอก
“ไปถามให้หน่อยสิว่าเขาจะขายผลไม้หรือเปล่า” หวังเยี่ยนใช้ศอกถองเอวสามี
สามีของเธอเลยเดินไปหาหลี่ว์ซู่ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เปิดปาก หลี่ว์ซู่ก็โพล่งขึ้นมา “ลูกละ 5000 หยวนครับ”
[ได้รับแต้มจากหวังเยี่ยน +666]
[ได้รับแต้มจาก…]
จางเยี่ยนเฟิงอึ้งไปเลย เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อปีนเขาแต่มาขายผลไม้งั้นเหรอ!
หวังเจ๋อขมวดคิ้ว “เขาคงจะไม่หายตัวไปหลังจากขายผลไม้ใช่ไหม”
“ฉันสงสัยว่าเขาจะทำอย่างนั้นน่ะสิ…”
สุดท้ายแล้วหวังเยี่ยนก็ไม่ได้ซื้อลูกแพร์ของหลี่ว์ซู่ ใครจะไปโง่ขนาดนั้นล่ะ หลังจากนี้พวกเขาก็ไม่อยากจะไปเสวนากับหลี่ว์ซู่อีกแล้ว
ใครคนหนึ่งกระซิบขึ้นมา “มีผลไม้ตั้งมากมายแต่ไม่มีน้ำใจจะแบ่งคนอื่นงั้นเหรอ ฮ่าๆ ฉันไม่เคยได้ยินเลยว่าจะมีใครแบกผลไม้ไปด้วยเยอะๆ แล้วจะปีนเขาสำเร็จ ปล่อยเขาทรมานไปเถอะ”
คืนนั้นหลี่ว์ซู่เอาลูกแพร์อีกสองลูกออกมา…
เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าเขาหาแต้มอารมณ์มาได้โดยการกินผลไม้เท่านั้น…
บ่ายวันนั้นพวกเขาเจอโครงกระดูกของสัตว์ป่าไปตลอดทาง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่การไปเจอฝูงหมาป่าและรอยเท้าหมีใกล้แหล่งน้ำทำให้พวกเขากลัวกันเล็กน้อย
จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ มีประสบการณ์มาแล้ว หลี่ว์ซู่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะเอาอวนจับปลากันมา
พวกเขาติดอวนจับปลาขนาดใหญ่ไว้ที่เสาเดินป่ารอบๆ พื้นที่ตั้งแคมป์ จางเยี่ยนเฟิงถอนใจแล้วยิ้ม “ถ้าทำแบบนี้แล้วสัตว์ป่าจะไม่เข้าโจมตีพื้นที่ตั้งแคมป์ นี่เป็นวิธีที่ทำกันมาแล้วและผ่านการทดสอบแล้ว ไม่ต้องขึงอวนไว้สูงมาก ขึงไว้สูงประมาณเอวก็ได้แล้ว มันจะทำให้หมาป่าและหมีถอยหนีไปเอง”
“ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ กลุ่มที่เราไปด้วยก่อนหน้านี้ไม่เคยทำเลย” หวังเยี่ยนกล่าวชม
จางเยี่ยนเฟิงรู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมามากทันที “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมเก็บเงินพวกคุณมาแล้ว ไม่มีใครตายในความดูแลของผมหรอก เดี๋ยวผมจะพาทุกคนกลับโดยสวัสดิภาพเอง”
หลี่ว์ซู่มองจางเยี่ยนเฟิงและอึ้งไปเลย ขนาดคนไม่สำคัญอย่างเขายังมีความภาคภูมิใจเลยเหรอเนี่ย สองวันที่ผ่านมา หลี่ว์ซู่เพิ่งสังเกตว่าก่อนหน้านี้จางเยี่ยนเฟิงเป็นคนนำกลุ่มปีนเขา แต่หลังจากยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนทำให้พวกสัตว์รับมือได้ยากขึ้น เขาก็เลยต้องหวังพึ่งหวังเจ๋อ
ถึงแม้ว่าจางเยี่ยนเฟิงจะโลภอยากได้เงินมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้เห็นชีวิตของคนอื่นๆ เป็นเรื่องเล่นๆ
แน่นอนว่าหลี่ว์ซู่รู้ว่าเห็นหน้าคนก็ไม่ได้แปลว่าจะรู้ใจคนเสมอไป หลี่ว์ซู่เลยยังต้องดูท่าทีของจางเยี่ยนเฟิงไปจนจบการเดินทาง พอจบการเดินทางไปหุบเขามรณะแล้ว ทุกคนก็คงต้องไปตามทางของตัวเองและไม่หวนมารวมตัวกันอีก
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ง่ายและใช้มันสมองของตัวเองได้ดี เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์ถึงครองโลกนี้ได้ แต่หลี่ว์ซู่ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้าพวกสัตว์พวกนี้พัฒนาสติปัญญาจนฉลาด พวกมันจะหาวิธีแบบเดียวกันอย่างนี้ได้หรือเปล่า
พวกเขาสามารถเห็นป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลและสัตว์ป่าได้ในเวลาเดียวกันในสถานที่แบบนี้ และจะทำให้มนุษย์รู้สึกโดดเดี่ยว
การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มในทุกๆ คืนหลังจากที่จุดกองไฟเป็นเรื่องสำคัญมาก ทุกคนจะมารวมตัวกันเล่าเรื่องราว เล่าเรื่องตลก หรือกระทั่งร้องเพลงกัน
นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกัน และไม่มีใครถูกทิ้งไว้
มันก็เหมือนทะเลทรายที่มีพืชสีแดงกระจายทั่วอยู่บนพื้น เมื่อพวกเขามองขึ้นไปก็เห็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ แต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวมากเหลือเกิน
ทุกๆ คนกำลังร้องเพลง เล่าเรื่องให้กันฟัง และเล่าเรื่องตลก พวกลุงๆ เล่าเรื่องตลกใต้สะดือกันแน่อยู่แล้ว และหวังเยี่ยนก็ทำเป็นเขินอายขณะฟังเรื่องที่พวกเขาพูด
บรรยากาศโดยรอบดูกลมเกลียวกันมาก พอถึงตาหลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซู่ก็หยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องขึ้นมา “พ่อแม่ของเสี่ยวหมิงเก็บเขาไว้ในความมืดมานาน สุดท้ายแล้วเขาก็ตายด้วยความทรมาน”
จางเยี่ยนเฟิงพูดไม่ออก
หวังเจ๋อก็เงียบไป
ทันใดนั้นก็มีความเงียบที่น่าอึดอัดก่อนตัวขึ้นมา…
หลี่ว์ซู่ยังเล่าไม่จบ เขาเลยพูดต่อ “เสี่ยวหมิงกำลังจะเป่าเทียนที่สว่างไสวให้ดับลง แต่ก่อนที่เขาจะอธิษฐาน เขาก็ถูกไล่ออกมาจากงานศพเสียก่อน…”
“อะแฮ่ม” จางเยี่ยนเฟิงลุกขึ้น “ดึกแล้วนะ ทุกคนจัดการแผลพุพองที่เท้าของตัวเองแล้วเข้านอนกันเถอะ…”
หลี่ว์ซู่รู้สึกเศร้าเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นทุกคนถอยกลับหันไปหมด ทำไมพวกเขาไม่รอฟังเรื่องของเขาให้จบนะ
หวังเจ๋อรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่าเขาเคยเจอหลี่ว์ซู่มาก่อน และหลี่ว์ซู่ก็เป็นคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด แต่หวังเจ๋อเคยเห็นหน้าคนคนนั้นมาแล้ว เขาเลยไม่คิดอะไรมากเท่าไหร่