ในเวลานี้ สวนของจวนเจ้าเมืองเต็มไปด้วยผู้คน
ฉินอวี้โม่และคณะเดินเข้าไปตามการนำทางของเด็กหนุ่มรับใช้ของจวนเพื่อไปยังที่นั่งที่เตรียมไว้สำหรับชนเผ่าเมฆาคราม จากนั้นพวกนางก็นั่งลงเพื่อรอการมาถึงของฉินส่าวชิง
เลี่ยหยางและคนอื่นๆก็ตามเข้ามาและนั่งลงในฝั่งตรงข้าม
ผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามยิ้มให้ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆด้วยท่าทางเป็นมิตรราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคิดเช่นนั้น ซูวั่งชวนและคนอื่นๆทราบดีว่าเลี่ยหยางมิใช่คนดีมีเมตตา ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่มีเรื่องขัดแย้งกันมาหลายครั้งหลายครา
นอกจากพวกเขาเหล่านี้ยังมีขุมกำลังอื่นๆเกือบทั้งหมดในเมืองที่ได้รับคำเชิญมาที่นี่และบรรยากาศก็คึกคักอย่างมาก
เมื่อคนเหล่านั้นเห็นซูวั่งชวนและคณะ พวกเขาก็เข้ามาทักทายด้วยความกระตือรือร้นทันทีและมองฉินอวี้โม่—สตรีผู้มีท่าทีเรียบเฉยซึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันด้วยความสงสัยใคร่รู้
บางขุมกำลังได้ยินเรื่องราวบางส่วนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเคารพอย่างยิ่ง
หลายคนก็ถึงขั้นเข้ามาทักทายและเอ่ยชื่นชมนางโดยตรง
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มตอบพวกเขาเหล่านั้นและเอ่ยตอบอย่างพอเป็นพิธี ถึงอย่างไรแล้วนางก็ไม่ต้องการปิดบังสิ่งใด หากมีคนทราบถึงตัวตนในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะของนางเพิ่มมากขึ้น มันก็อาจเป็นเรื่องที่ดี
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ฉินส่าวชิงพร้อมด้วยผู้อาวุโสหลายคนจากจวนเจ้าเมืองก็ปรากฏกายต่อหน้าทุกคน
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ เขาก็คลี่ยิ้มและเข้ามาทักทาย
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ในช่วงเวลาที่ไม่ได้พบกันนี้ ท่านสบายดีหรือไม่?”
เขายิ้มให้ฉินอวี้โม่และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพดูเป็นมิตรยิ่งนัก
“ฮิๆๆ ก็ไม่เลว”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ตีผู้ที่ยิ้มให้ แม้ยังไม่ทราบว่าฉินส่าวชิงกำลังคิดทำสิ่งใด นางก็แสดงออกอย่างสุภาพ
*伸手不打笑脸人 อย่าตีคนยิ้ม ถ้ามีคนทักทายหรือขอบคุณ การดีตอบและมีรอยยิ้มก็ถือเป็นสิ่งที่สุภาพควรทำ
“ฮ่าๆๆ ช่วงที่ผ่านมานี้ข้าตั้งหน้าตั้งตารออยู่ที่จวนว่าท่านจอมยุทธ์อวี้โม่จะมาเยี่ยมเยือนข้ารึไม่เพื่อที่จะได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ทว่าดูเหมือนท่านจะไม่ชอบจวนเล็กๆของข้าเป็นแน่ ท่านจึงไม่ได้มาและทำให้ข้าต้องผิดหวังเล็กน้อย”
ฉินส่าวชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม อากัปกิริยาสุภาพที่เขาแสดงต่อฉินอวี้โม่ทำให้หลายคนที่ไม่รู้จักสตรีจอมยุทธ์ผู้นี้ต่างก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก
“เจ้าเมืองฉินช่างพูดจาตลกจริงเชียว ข้าเป็นเพียงแค่คนเกียจคร้านและไม่ชอบท่องไปไหนมาไหนเท่าไหร่นัก”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับด้วยท่าทางสบายๆ นางยังไม่สามารถคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆ วันนี้ข้าเชิญทุกคนมาเพื่อหารือบางอย่าง อีกทั้งเชิญท่านจอมยุทธ์อวี้โม่มาเพื่อแสดงการขอโทษต่อการกระทำของข้าก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ท่านให้เกียรติมาในวันนี้”
เมื่อได้ยินคำตอบของสตรีตรงหน้า เจ้าเมืองฉินก็ยิ้มบางๆและอธิบาย
“โอ้ หากเจ้าเมืองฉินมีเรื่องสำคัญที่ต้องการหารือ บัดนี้คนก็มากันเกือบครบแล้ว พวกเราควรที่จะหารือกันถึงเรื่องนั้นก่อนเถอะ ข้าเชื่อว่าทุกคนสละเวลาการฝึกยุทธ์อันมีค่าเพื่อมาที่นี่และไม่มีเวลามาฟังเราพูดคุยกันเรื่องส่วนตัวหรอก”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวออกไปโดยตรงซึ่งบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องการสนทนายืดเยื้ออีก
เมื่อได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของนาง ฉินส่าวชิงก็ยิ้มตอบและไม่เอ่ยสิ่งใดต่ออีก เขาพยักศีรษะเบาๆและเดินตรงไปยังตำแหน่งหลักของงานครั้งนี้
“ฮ่าๆๆ ทุกคนคงจะสงสัยกันไม่น้อยว่าเหตุใดข้าจึงแสดงท่าทีเคารพต่อสตรีผู้นี้”
เมื่อไปถึงตำแหน่งหลักและเป็นตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุด ฉินส่าวชิงก็กวาดสายตามองฝูงชนและอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสายตาสงสัยใคร่รู้ของทุกคน
เมื่อทุกคนได้ยินวาจาของฉินส่าวชิง พวกเขาก็พยักศีรษะด้วยแววตาสงสัยและรอให้เขากล่าวต่อ
“อันที่จริง..จอมยุทธ์อวี้โม่ผู้นี้เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ เมื่อไม่นานมานี้ นางอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามและช่วยพวกเขาสยบอสูรระดับสูงจำนวนมากซึ่งพัฒนาความแข็งแกร่งโดยรวมของเมืองเพลิงมายาของเราได้มาก นั่นคือสาเหตุที่ข้าเคารพและซาบซึ้งในน้ำใจของจอมยุทธ์อวี้โม่อย่างที่สุด”
ฉินส่าวชิงยิ้มให้กับทุกคน ทว่าเขาก็มิได้ถามความเห็นของฉินอวี้โม่ก่อนที่จะประกาศตัวตนของนางต่อหน้าทุกคน
“ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ!”
เมื่อได้ยินว่าแท้จริงแล้วสตรีจอมยุทธ์ลึกลับผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ ทุกคนก็ตกตะลึงไปทันทีและสายตาที่มองไปที่นางก็เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจและความเคารพนับถือ
พวกเขาทราบดีว่าเจ้าเมืองฉินมิได้พูดเล่น และทุกอย่างล้วนเป็นความจริง ฉินอวี้โม่จะต้องเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะอย่างแน่นอน
ในโลกมายา สถานะ ‘ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ’ ไม่ได้ด้อยไปกว่าสถานะของสมาชิกในเมืองหลวงอย่างแน่นอนและมันอาจถึงขั้นเท่าเทียมกับฉินเหยียน เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อได้ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ หลังจากความตกใจในตอนแรก พวกเขาก็มองนางด้วยแววตาเคารพ อีกทั้งมีความคิดที่จะผูกไมตรีกับนาง หากนางช่วยพวกเขาสยบอสูรได้ มันก็จะเป็นเรื่องดีอย่างที่สุด
“ฮ่าๆๆ ท่านเจ้าเมืองก็พูดเกินไป มันเป็นเพียงความโชคดีเท่านั้น อย่าตื่นอกตกใจกันนักเลย”
เมื่อได้ยินวาจาที่เอ่ยออกไปอย่างกะทันหันของเจ้าเมืองฉิน ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบางๆและกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความสุภาพอีกต่อไป
ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ นางก็ไม่ขัดข้อง ในเมื่อตัวตนในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะสามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดหวั่นในตัวนางขึ้นมาได้ แน่นอนว่านางก็ไม่ถือสาที่ทุกคนจะได้รับรู้
อย่างไรก็ตาม ฉินส่าวชิงผู้นี้จะต้องมีเจตนาที่ไม่ดีแอบแฝงอย่างแน่นอน
การประกาศกร้าวออกไปต่อหน้าทุกคนว่านางให้ความช่วยเหลือชนเผ่าเมฆาครามในการสยบอสูรมายาจำนวนมากเป็นการทำให้ชนเผ่าตกเป็นเป้าสายตา บรรดาผู้ที่ต้องการท้าทายชนเผ่าเมฆาครามก่อนหน้านี้จะต้องคิดไตร่ตรองอย่างจริงจังก่อนที่จะลงมือทำอะไร บางทีพวกเขาหลายขุมกำลังก็อาจถึงขั้นผนึกกำลังร่วมกันและทำให้ชนเผ่าเมฆาครามตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
ในขณะเดียวกัน ฉินส่าวชิงก็ต้องการบอกเรื่องนี้ให้ชนเผ่าวิหคโบยบินได้ทราบ หากจูเฟยชวี่ไม่ทราบมาก่อน เขาก็คงจะอิจฉาริษยาชนเผ่าเมฆาครามเพราะเหตุการณ์นี้เป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ชนเผ่าวิหคโบยบินก็อาจเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับเจ้าเมืองเพื่อจัดการกับชนเผ่าเมฆาคราม
หากจุดประสงค์ของเขาบรรลุผล ชนเผ่าเมฆาครามก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกรุมโจมตีจากทุกด้านอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดต้องการให้เกิดขึ้น
ทว่าน่าเสียดายที่การหารือระหว่างจูเฟยชวี่และซูวั่งชวนรวมถึงคนอื่นๆเกิดขึ้นในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่ เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีทางที่ฉินส่าวชิงจะทราบได้ว่าตอนนี้ชนเผ่าวิหคโบยบินและชนเผ่าเมฆาครามกลายเป็นสหายใกล้ชิดและแอบร่วมมือกันอย่างลับๆ สำหรับขุมกำลังอ่อนแออื่นๆนั้น พวกเขาไม่หวาดหวั่นอย่างแน่นอน
“แท้ที่จริงแล้วเราก็มีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะอยู่ในเมืองเพลิงมายานี่เอง หากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่รู้เลยว่าจะมีผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงใดที่ยอมจ่ายเงินทองมหาศาลเพื่อแลกกับการได้พบท่านจอมยุทธ์อวี้โม่”
บุรุษผู้หนึ่งซึ่งเป็นหน้าม้าของฉินส่าวชิงกล่าวขึ้นเบาๆ แม้ว่าน้ำเสียงของเขาฟังดูมีความเคารพ ทว่ามันก็เจือด้วยความหมายอื่นแอบแฝง
ทุกคนมิได้โง่เขลาและแน่นอนว่ารับรู้ได้ถึงอีกความหมายหนึ่งของเขา พวกเขาเพียงยิ้มเล็กน้อยขณะที่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดและมองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าคงต้องจัดตั้งสังเวียนประลองไว้นอกชนเผ่าเมฆาคราม สำหรับผู้ต้องการจะพบข้า พวกเขาจะต้องผ่านด่านการทดสอบฝีมือก่อน บางทีอาจจะมีจอมยุทธ์อิสระที่พิจารณาเข้าร่วมกับชนเผ่าเมฆาครามก็เป็นได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวขึ้นเมื่อได้ยินวาจาของบุรุษผู้นั้น ราวกับว่านางคิดเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของบุรุษเจ้าของเสียงก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ใบหน้าของฉินส่าวชิงเองก็เปลี่ยนไปเช่นกันทว่าก็กลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆๆ จอมยุทธ์อวี้โม่ช่างมีอารมณ์ขันจริงเชียว สำหรับผู้ที่เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีคุณสมบัติพอให้พบได้ ยิ่งไปกว่านั้นดินแดนนี้ก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี หากมีผู้ใดริษยาในพรสวรรค์และพลังของจอมยุทธ์อวี้โม่ เราอาจจะไม่สามารถปกป้องท่านได้”
ฉินส่าวชิงยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าเชื่อว่าจอมยุทธ์อวี้โม่คงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับกองทหารหงเฟิงใช่รึไม่? พวกเขาไม่ต้องการเห็นผู้มีพรสวรรค์หรือผู้ที่ทรงพลังอยู่ในฝ่ายเดียวกับพวกเรา หากพวกเขารู้ว่าท่านเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรมากฝีมือเช่นนี้ พวกเขาก็อาจจะส่งคนมาลอบสังหารท่านก็เป็นได้”
“เอาล่ะ ขอบคุณท่านเจ้าเมืองที่เตือนข้า ข้าจะระวังตัวให้มากขึ้นในอนาคต ทว่าตอนนี้ท่านจะกล่าวได้หรือยังว่าเชิญพวกเราทั้งหมดมาเพื่อเหตุใด?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากทว่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที นางไม่สนใจคำพูดของฉินส่าวชิงอยู่แล้วและก็ไม่ต้องการทนฟังต่อไป
“จอมยุทธ์อวี้โม่พูดถูก ต่อไปข้าจะพูดถึงเรื่องที่เชิญทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตาในวันนี้”
เมื่อจุดประสงค์ของเขาบรรลุผล ฉินส่าวชิงก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว จากนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้อและเริ่มกล่าวถึงเรื่องที่เชิญทุกคนมาที่นี่
“อันที่จริง สาเหตุที่ข้าเรียกทุกคนมาที่นี่ก็เกี่ยวข้องกับกองทหารหงเฟิงเช่นกัน”
เจ้าเมืองฉินกวาดสายตามองฝูงชนและกล่าวออกไป
“ทุกคนคงได้ยินกันมาแล้วว่าจะมีซากปรักหักพังปรากฏในอนาคตอันใกล้นี้”
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว หากนับวันเวลา มันก็น่าจะเหลือเวลาอีกไม่ถึงแปดเดือนเท่านั้น
“เราได้ข่าวมาว่าเมื่อซากปรักหักพังปรากฏขึ้นมา หัวหน้ากองทหารหงเฟิงจะนำทัพสมาชิกไปที่นั่นด้วยตัวเอง และเราได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ผนึกกำลังกับเมืองทองมายาและเมืองไม้มายาเพื่อกำจัดกองทหารหงเฟิงในซากปรักหักพัง นอกจากนี้ ที่นั่นก็จะมีสมบัติมากมายและเราจะต้องหาทางในการครอบครองพวกมันมาให้ได้”
เมื่อได้ยินวาจาของเจ้าเมืองฉิน ทุกคนก็พยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน แน่นอนว่าพวกเขาพอจะทราบเรื่องนี้มาบ้างแล้วและไม่แปลกใจแต่อย่างใด
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ยังคงสงบนิ่งอยู่ พวกเขาได้สืบเสาะข้อมูลเรื่องนี้อย่างชัดเจนมาก่อนแล้วและวางแผนที่จะหาทางติดต่อกับกองทหารหงเฟิงเมื่อถึงตอนนั้น เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่น่าแปลกใจ
อย่างไรก็ตาม การที่ฉินส่าวชิงประกาศเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทุกคนสงสัยใคร่รู้ไม่ต่างกันว่าเขาต้องการทำสิ่งใด?
“ฮ่าๆๆ เพราะเหตุนั้นที่ข้าเรียกทุกคนมาในวันนี้ ข้าก็หวังว่าพวกเราจะสามารถก่อตั้งพันธมิตรล่าสมบัติด้วยกันและวางแผนการล่าสมบัติไว้ล่วงหน้า ทุกคนล้วนทราบดีว่าการแข่งขันระหว่างเมืองใหญ่ทั้งหลายนั้นดุเดือดอย่างยิ่ง ในการต่อสู้เพื่อซากปรักหักพัง เราก็เป็นทั้งมิตรและคู่แข่งขันกัน เพราะเหตุนั้นข้าจึงหวังว่าเมืองเพลิงมายาของเราจะแสดงผลงานโดดเด่นและทำให้ผู้นำฉินเหยียนพอใจได้”
ฉินส่าวชิงไม่ปิดบังจุดประสงค์ของตนเองแม้แต่น้อย เขากล่าวความคิดของตนเองออกมาอย่างชัดเจนและกวาดสายตามองดูการตอบสนองของทุกคน เขาอยากรู้ยิ่งนักว่าชนเผ่าเมฆาครามและฉินอวี้โม่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
. .