จากนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นหานลี่และสือคุนไม่มีอันใดจะพูดอีก มือหนึ่งพลันตบไปที่กำไลเก็บของ

ผลคือลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบ ร่มสีสดสวยพลันปรากฏขึ้นในมือ

ร่มคันนี้มีความยาวแค่ครึ่งฉื่อ ห้าแสงสิบสี ดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง

สือคุนดูเหมือนจะจดจำสมบัติชิ้นนี้ได้ จึงหน้าเปลี่ยนสี

หลิวสุ่ยเอ๋อร์โยนร่มขึ้นไปกลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ชั่วขณะนั้นสมบัติชิ้นนี้พลันกลายเป็นลำแสงห้าสีพุ่งออกไปกลางอากาศ หลังจากกะพริบวาบๆ ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากผ่านไปชั่วครู่หมอกลำแสงห้าสีก็สลายตัวออกกลางอากาศ ปกคลุมในรัศมีสิบกว่าลี้

ท่ามกลางหมอกลำแสง อักขระขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้นรางๆ จากนั้นพลันกะพริบวาบๆ แล้วสลายหายไป

จากนั้นหมอกลำแสงทั้งหมดก็โปร่งใสเช่นกัน สุดท้ายก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วกวาดจิตสัมผัสออกไป

ผลคือเมื่อบินอยู่อตรงจุดที่หมอกลำแสงสลายหายไป ก็ถูกพลังไร้รูปร่างดีดกลับมา

ด้านนี้ถูกเขตอาคมที่สร้างขึ้นจากร่มห้าสีปิดผนึกเอาไว้

แต่เช่นนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ยังไม่หยุด

เรือนร่างเปล่งแสงสว่างวาบ ธงอาคมเปล่งแสงสีทองสิบกว่าด้าม อักขระบนผิวของมันมีอักขระยันต์เรียงรายอย่างแน่นขนัด

หลังจากที่พวกมันหมุนวนเริงระบำก็ทยอยกันกลายเป็นลำแสงสีทองจมหายไปกลางอากาศ

ชั่วขณะนั้นเสาลำแสงสีทองพลันพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แล้วเปล่งแสงสว่างวาบพลางเลือนหายไป

ระลอกคลื่นที่ไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้น แต่มันกลับเลือนราง ดูอ่อนเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับรู้สึกผ่อนคลายลง และส่งยิ้มให้หานลี่และพวกพลางเอ่ยอธิบายว่า

“ร่มกั้นห้วงเวลาชิ้นนี้เป็นสมบัติสมประสงค์ของท่านอาจารย์ สามารถกั้นระลอกคลื่นแรงกดยามที่พวกเราทลายเขตต้องห้ามได้ นอกจากนี้ธงอาคมชุดนี้ยังสร้างเขตอาคมทองคำได้ เป็นธงอาคมป้องกันที่ท่านอาจารย์หลอมขึ้นโดยเฉพาะ แม้ว่าสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นทำการโจมตีเขตอาคมนี้ ก็ยังต้านทานไว้ได้กว่าครึ่ง”

“เยี่ยม! ในเมื่อเซียนหลิวทำเช่นนี้ ผู้แซ่สือก็จะวางเขตอาคมเล็กๆ สักหน่อย” สือคุนพลันแววตาเปล่งประกาย เอ่ยพร้อมกับหัวเราะแผ่วเบา

จากนั้นชายร่างใหญ่พลันอ้าปาก คาดไม่ถึงว่าจะพ่นลำแสงสีเทาสิบกว่าดวงออกมา!

ในลำแสงสีเทาทุกดวงล้วนเป็นวงแหวนสีเทา มีทั้งหมดสิบสามวง หลังจากวนล้อมรอบชายร่างใหญ่แล้ว ก็หายวับไปเช่นกัน

“วงแหวนแม่ลูกวิญญาณภูต! คาดไม่ถึงว่าท่านอาวุโสต้วนจะมอบสมบัติชิ้นนี้ให้พี่สือ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์รู้จักวงแหวนวงนี้ แววตาพลันหดเล็กลง

“วงแหวนแม่ลูก วงแหวนแม่ลูกชุดนี้ไม่มีประสิทธิภาพอื่น แต่กลับทำลายจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้คนได้โดยเฉพาะ หากไม่ทันระวังตัว ก็สามารถทำร้ายสิ่งมีชีวิตระดับต่ำกว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ให้บาดเจ็บหนักได้ เป็นเครื่องมือช่วยเสริมเขตอาคมของเซียนพอดี” สือคุนเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ก็ดี หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ หากชนเผ่าแมลงมีเขาเข้ามาก่อความวุ่นวาย พวกเราก็มีการป้องกันที่เพียงพอแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เงียบขรึมไปชั่วครู่ น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นราบเรียบ

แววตาของหานลี่ฉายแววครุ่นคิด แต่จากนั้นพลันลูบใต้คาง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “ในเมื่อสหายทั้งสองเตรียมการเสร็จแล้ว พวกเราก็เริ่มทำลายเขตอาคมกันเถิด ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้ามักจะรู้สึกว่าพวกเรารีบทำให้เร็วที่สุดจะดีกว่า จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดภายหลัง”

“หึๆ พี่หานพูดมีเหตุผล เซียนหลิวลงมือเถิด” สือคุนหัวเราะหึๆ ออกมาแล้วเอ่ยสนับสนุน

“ในเมื่อสหายทั้งสองเตรียมการแล้ว น้องหญิงย่อมไม่มีปัญหา” หลิวสุ่ยเอ๋อร์หัวเราะน้อยๆ ออกมา

จากนั้นหญิงสาวก็สะบัดมือข้างหนึ่ง หว่างนิ้วมีธงเล็กๆ สีเทาอีกด้ามหนึ่งปรากฏขึ้น

ผิวของธงเปล่งแสงสีเทาขมุกขมัว คาดไม่ถึงว่าจะมีลำแสงเทวะดูดปราณแผ่ออกมา!

หญิงสาวสวมงอบโยนธงในมือไปเบื้องหน้า มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ปากพลันบริกรรมคาถา

หลังจากเสียง “ตูม” ดังขึ้น กรงล้อลำแสงสีเทาพลันปรากฏขึ้นที่แผ่นหลัง อักขระตรงกลางหมุนวนเล็กน้อย หมอกลำแสงทยอยกันหมุนวน

ธงสีเทาด้ามนั้นสั่นเทาราวกับได้รับพลังกระตุ้น และเปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา

เมื่อเห็นหลิวสุ่ยเอ๋อร์กระตุ้นลำแสงเทวะดูดปราณ หานลี่และสือคุนก็มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วสำแดงอิทธิฤทธิ์เช่นกัน

ครั้งนี้สือคุนเปล่งแสงสีเทาออกมาจากเรือนร่าง สะบัดแขนเสื้อ คาดไม่ถึงว่าจะมีสมบัติแผ่นป้ายบินออกมา

แผ่นป้ายนี้เป็นสีเทาหม่นเช่นกัน แต่ทั้งสองด้านล้วนสลักคำว่า “ปราณ” “ลำแสง” ด้วยอักษรโบราณเอาไว้

แผ่นป้ายหมุนวนอย่างช้าๆ ขยายใหญ่ขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีขนาดสองสามจั้ง

ชายร่างใหญ่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด นิ้วทั้งห้ากางออกกดลงไปบนด้านหลังของแผ่นป้าย

นิ้วทั้งห้าเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นแผ่นป้ายพลันเปล่งแสงสีเทาออกมา อักขระโบราณสองตัวบนแผ่นป้ายเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา

ส่วนร่างของชายร่างใหญ่นั้นพลันมีหมอกลำแสงสีเทาหมุนวนโคจรอยู่พร้อมกับเสียงของลำแสงเทวะดูดปราณอันน่าตกตะลึง

หานลี่ในยามนี้ยื่นแขนที่ดำสนิทราวกับน้ำหมึกออกมาจากแขนเสื้อแล้ว

สีหน้าเปลี่ยนไป นิ้วทั้งห้าหดงอ ยอดเขาขนาดจิ๋วสูงสองสามชุ่นปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ

นั่นก็คือภูเขาเทวะดูดปราณที่ถูกหลอมแล้ว

แทบจะไม่ต้องให้หานลี่ร่ายคาถากระตุ้นอันใด ภูเขาลูกนี้ก็บินออกมาโดยอัตโนมัติ

มันพลิ้วไหว ภูเขาน้อยขยายใหญ่ขึ้นทันที จนมีขนาดสิบจั้งเศษ

ผิวของยอดเขามีอักขระสีเงินเปล่งแสงเจิดจ้า ในเวลาเดียวกันระลอกคลื่นลำแสงสีเทาก็ปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น!

กรงล้อลำแสงสีเทาบนแผ่นหลังของหญิงสาวก็สั่นเทา เสาลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมา โจมตีไปยังธงที่ห่างออกไปแค่คืบ

ชั่วขณะนั้นธงสีเทาพลันสั่นเทา ธงคลี่ขยายออกไป อักขระจำนวนมากปรากฏขึ้น พ่นเสาลำแสงหนาๆ สายหนึ่งออกมา

ตรงหน้าของสือคุนเป็นแผ่นป้ายยักษ์ ลำแสงหมุนวนโคจร เส้นไหมสีเทาพุ่งออกมาจากแผ่นป้าย

หานลี่ร่ายคาถาด้วยสีหน้าราบเรียบ มือหนึ่งชี้ไปที่ยอดเขาสีดำ

ภูเขาเทวะดูดปราณหมุนติ้วๆ ระลอกคลื่นสีเทาหมุนวนอยู่ที่ตีนเขา

พลังเทวะดูดปราณทั้งสามชนิดหลอมรวมร่างกันในพริบตา กลายเป็นอักขระยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้ง!

ภายใต้การชี้นำของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ อักขระยักษ์มีลำแสงสีเทาหมุนวนล้อมรอบ แค่กะพริบวาบ ก็จมหายเข้าไปในหมอกสีขาวด้านล่าง

เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น!

หมอกสีขาวและลำแสงสีเขียวตัดสลับกันไปมา หมอกสีขาวที่ดูเหมือนหมุนวนอย่างช้าๆ คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับกระดาษบางๆ ที่จะขาดแหล่มิขาดแหล่ ถูกอักขระฉีกขาดออกได้อย่างง่ายดาย กลายเป็นลำแสงวิญญาณสลายหายไป

แต่ด้านล่างหมอกสีขาวพลันมีม่านลำแสงสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้น

อักขระยักษ์ร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด แล้วทุบลงบนลำแสงสีเขียว

แต่ครั้งนี้กลับเงียบกริบ!

เมื่ออักขระสีเทาและลำแสงสีเขียวสัมผัสกัน คาดไม่ถึงว่าม่านลำแสงจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ราวกับถูกกลืนกินไปจนเกลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น

อักขระยักษ์ตกลงมาอีกครั้ง ด้านล่างกลับมีเส้นไหมผลึกสีแดงสดเปล่งแสงระยิบระยับตัดสลับกันไปมาจำนวนนับไม่ถ้วน หนาแน่นไปหมด ราวกับตาข่ายแมงมุมขนาดยักษ์อย่างไรอย่างนั้น

ครั้งนี้อักขระยังไม่ทันได้สัมผัสกับเขตอาคม ตาข่ายเส้นไหมก็เปล่งแสงสีแดงออกมา หมอกลำแสงสีแดงทะลักออกมารองแล้วดันขึ้นด้านบน

อักขระทะลวงเข้าไปในเมฆสีแดงอย่างพอดิบพอดี

แตกต่างกับสถานการณ์ก่อนหน้า เสียงแผดร้องราวกับพายุอัสนีดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อักขระยักษ์เปล่งแสงสีเทาออกมา หมุนวนราวกับเมฆสีแดง สุดท้ายก็ถูกลำแสงสีเทากวาดไปจนเกลี้ยง

ผลึกสีแดงสดด้านล่างถูกลำแสงสีเทาปกคลุมเอาไว้ พลันสลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับแสงอาทิตย์ละลายหิมะ

อักขระหม่นแสงลง แล้วร่วงลงมาต่อ โจมตีไปยังเขตอาคมระดับที่สี่

แค่อักขระยันต์ที่สร้างมาจากลำแสงเทวะดูดปราณหม่นแสงลงกว่าในยามแรกเล็กน้อย

เขตอาคมสองสามระดับแรกถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กๆ

ลำแสงเขียวไท่อี่ที่เดิมทั้งสามคนหวาดกลัวที่สุด เพราะถูกลำแสงเทวะดูดปราณกั้นเอาไว้ ยามแรกก็ไร้ประสิทธิภาพ และไม่เคยเข้ามาโจมตีสกัดกั้นอักขระ

นี่เป็นสาเหตุที่ทำลายเขตอาคมระดับแรกๆ ได้อย่างง่ายดาย

ชั่วพริบตาภายใต้การจับจ้องของหานลี่ ลำแสงเทวะดูดปราณก็ผนึกรวมตัวกันเป็นอักขระยักษ์ก็ทะลวงผ่านระดับที่เก้าไปอย่างไม่เหมือนกัน

แต่ในที่สุดยามนี้อักขระยักษ์นั้นก็หมดสิ้นประสิทธิภาพ เสียงร้องต่ำๆ ดังขึ้น ผิวของมันมีลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น และแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พลางสลายหายไป

“สหายทั้งสองรออันใด รีบเตรียมการโจมตีขั้นสุดท้ายสิ!” หลิวสุ่ยเอ๋อร์แผดเสียง จากนั้นกรงล้อลำแสงสีเทาด้านหลังก็พุ่งออกมา กลายเป็นเสาลำแสงหนาๆ สายหนึ่งจมหายเข้าไปในอักขระที่ใกล้จะแตกหัก

ผิวของอักขระผสานเข้าหากันดังเดิมในพริบตา และเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาอีกครั้ง ม้วนวนลงไปอย่างดุดันอีกหน

หานลี่เองก็สำแดงอิทธิฤทธิ์เช่นเดียวกันกับสือคุน

แผ่นป้ายยักษ์อันหนึ่งถูกตบเบาๆ พุ่งลงไปราวกับลูกธนู ยอดเขาสีดำถูกนิ้วชี้กดลงไปอย่างเงียบเชียบ

หลังจากที่ทั้งสองไล่ตามกันไป ก็กลายเป็นลำแสงสีเทาขนาดยักษ์สองดวง ร่วงลงไปราวกับดาวตกสีเทาสองดวง

เขตอาคมระดับที่สิบ คือเม็ดทรายสีเหลืองเข้มที่ก่อตัวกันเป็นม่านทราย

เมื่ออักขระสีเทาสัมผัสกับม่านทรายนั้นก็หยุดชะงัก

ภายใต้การเฝ้ามองด้วยเนตรวิญญาณของหานลี่ ลำแสงเขียวไท่อี่ที่เดิมถูกลำแสงเทวะดูดปราณดูดเอาไว้ ปรากฏขึ้นรอบด้านอีกครั้ง

ในที่สุดลำแสงนี้ก็ลดพลังของลำแสงเทวะดูดปราณไป เผยอานุภาพออกมาอีกครั้ง

จากนั้นก็สับลงไปบนพื้น ชั่วขณะนั้นอักขระยักษ์พลันเปล่งเสียงอึกทึก กลายเป็นชิ้นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนแล้วระเบิดออก

หมอกลำแสงสีเทาพลันกระเพื่อม กลับทำให้ลำแสงเขียวไท่อี่ที่กลายเป็นเงาลวงตาเหล่านั้นสลายหายไปกว่าครึ่ง

และในยามนั้นเองแผ่นป้ายยักษ์และยอดเขาสีดำที่กลายเป็นดวงแสงสีเทาก็ทุบลงมาอย่างดุดัน

หลังจากเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้นสองครั้ง แม้ว่าลำแสงเขียวไท่อี่ที่ชำรุดจะฝืนต้านทานเอาไว้ได้ แต่กลับเหมือนตั๊กแตนห้ามรถ ถูกทั้งสองโจมตีจนแหลกสลาย โจมตีไปยังม่านทรายด้านล่าง

กรวดสีเหลืองสั่นกระเพื่อม จากนั้นกรวดทุกเม็ดมีขนาดเท่ากำปั้นในพริบตา พยายามทะลักไปหาสมบัติสองชิ้นนั้น

หากอยากทำให้แผ่นป้ายยักษ์และยอดเขาปริแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปพร้อมกัน

เห็นได้ชัดว่ากรวดสีเหลืองเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา หากเป็นสมบัติธรรมดาย่อมไม่อาจต้านทานการโจมตีที่มีพลังมหาศาลเช่นนี้ได้

แต่ไม่ว่าภูเขาเทวะดูดปราณของหานลี่หรือว่าแผ่นป้ายสีเทาชิ้นนั้น ก็ผสมพลังเทวะดูดปราณอยู่ ภายใต้แรงกดของเม็ดกรวดเหล่านั้น แม้ว่าหมอกลำแสงจะหดเล็กลง แต่ลำแสงกลับเจิดจ้าขึ้น

แม้ว่าเม็ดทรายจะมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แต่เมื่อบีบให้อยู่ในหมอกลำแสงสีเทา กลับไม่อาจเคลื่อนตัวไปด้านหน้าได้ราวกับหนักเป็นพันชั่ง

และในยามนั้นเองอักขระสีเงินบนผิวของภูเขาเทวะดูดปราณและอักขระโบราณบนแผ่นป้ายยักษ์ก็เปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นพร้อมกัน สำแดงอานุภาพที่แท้จริงออกมา