ตอนที่ 672

The Divine Nine Dragon Cauldron

672 – ตบจ้าว

 

“ตลกสิ้นดี เจ้าใช้ตําแหน่งเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์กล่าวอ้างชัยชนะแค่ครั้งเดียวมาต่อรองขอกําลังเสริมจากอาณาจักรทมิฬ เจ้าจะไม่โอหังไปหน่อยเรอะ? น่าขัน น่าเวทนา เปลืองตาข้ายิ่งนัก!”

 

จ้าวสามพูด

 

ซือหยูหัวเราะ นี่น่ะรึ ที่ตําหนักเจ็ดจ้าวมองพันธมิตรผู้คุมสวรรค์?

 

ซือหยูรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ของเขาเสียเวลายิ่งนัก เขาไม่ได้มาเป็นตัวตลกนะ!

 

“หึหึ ไม่ว่าเราจะอ่อนแอแค่ไหน พวกเราก็แข็งแกร่งกว่าเจ้า แม้จะอ่อนแอ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก็มีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับข้าศึกด้วยพลังทั้งหมดที่มี เราเอาชนะพวกมันและยึดเอาดินแดนของตัวเองคืนกลับมา แล้วตําหนักเจ็ดจ้าวของเจ้าล่ะ? เจ้ามีพลังที่จะช่วยทั้งทวีป แต่เจ้าก็ซ่อนตัวอยู่ในที่นี่ เจ้าไม่มีสิทธิ์มาหัวเราะเยาะพวกข้า!”

 

ซือหยูประกาศก้อง

 

ในตอนนี้ซือหยูเลิกล้มความคิดที่จะขอกําลังเสริมจากอาณาจักรทมิฬแล้ว เขามิอาจหวังพึ่งอาณาจักรทมิฬ คนเดียวที่เชื่อใจได้ก็คือตัวเขาเอง

 

คําพูดของเขาทําให้ผู้คนมากมายที่นี่ละอายใจ เขาพูดถูก อาณาจักรทมิฬมีทรัพยากรที่สั่งสมมาเป็นหมื่นปี แต่พวกเขาก็เอาแต่ซ่อนตัวจากศัตรูราวกับเต่าในกระดอง

 

และจ้าวสามเพิ่งจะดูหมิ่นซือหยูอย่างไร้ยางอายโดยไม่รู้สึกอับอายกับความตาขาวของตัวเองเลย! ไม่มีใครหน้าไหนในอาณาจักรทมิฬทั้งนั้นที่จะมีสิทธิ์ดูหมิ่นพันธมิตรผู้คุมสวรรค์!

 

“เจ้าก็ได้ ข้าจะสั่งสอนเจ้าเอง อยากรู้จักว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะมีดีอะไรนอกจากลมปาก! ข้าจะใช้หมัดบดขยี้ความมั่นใจของเจ้าในคราเดียว!”

 

จ้าวสามโกรธจัด เขาดูบ้าคลั่งโดยสมบูรณ์

 

ร่างของจ้าวสามเริ่มเปล่งแสงราวกับไฟลุก พลังชีวิตไหลออกจากร่างราวกับแม่น้ำเชี่ยวกรากคลื่นพลังแผ่ออกไปในทุกทิศทาง

 

คนที่ไม่หลบพลังล้วนล้มลงไปกับพื้น คนที่ยืนใกล้ๆมีเลือดไหลออกจากปาก!

 

ผู้คนหนีด้วยความแตกตื่น เสียงกรีดร้องวุ่นวายดังไปทั่ว

 

“นี่ นี่เจ้าปฏิบัติต่อคนของเจ้า?”

 

ซือหยูถามด้วยแววตาเยือกเย็น

 

จ้าวสาวไม่สนใจความปลอดภัยของ

 

ย่างเห็นได้ชัด เขาจะฆ่าใครก็ได้

 

“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า! คุกเข่าซะ!”

 

จ้าวสามสีหน้าเย็นชา จิตสังหารของเขาแข็งกล้ากว่าเดิม

 

ซือหยูจ้องเขาอย่างเยือกเย็น

 

“ข้าต่างหากที่ต้องพูดคํานั้น!”

 

ปั้ง

 

ซือหยูหยิบขวดหยกออกมา ในขวดนี้มีสายฟ้าหลากสีลอยอยู่ภายใน คลื่นพลังอันตรายแผ่ออกมาทุกทิศทาง

 

ตู้ม!

 

เสียงสายฟ้าดังออกมาจากขวด ผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล

 

เกือบทุกคนสัมผัสได้ว่ากําลังจะถูกฆ่า ราวกับว่าขวดหยกเล็กๆนี้เป็นบ้านของสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวที่พร้อมจะทําลายทุกสิ่งเมื่อหลุดออกมา

 

พรึ่บ

 

ซือหยูหยิบเอาชุดเกราะสายฟ้ามาด้วย เขาใช้มันปกป้องฝ่ามือและเปิดขวดหยก

 

ตู้ม!

 

สายฟ้าขนาดใหญ่หลากสีที่ปะทุออกมาทําให้หอวารีสวรรค์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สายฟ้าเหล่านั้นออกมาจากขวดหยก! สายฟ้ากลายเป็นแหสายฟ้าเข้ารัดรอบตัวจ้าวสาม

 

จ้าวสามที่ยังโกรธแค้นได้หวาดวิตกเมื่อแหสายฟ้ากําลังจะมัดตัว

 

“วิบัติอัสนี!”

 

เขาตะโกน

 

เขารู้ดีว่าพลังของวิบัติอัสนีน่ากลัวเพียงใดเพราะเขาที่เป็นภูติระดับสี่จะต้องผ่านวิบัติอัสนี้ด้วยแต่วิบัติอัสนีตรงหนร้าเขานั้นน่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาเคยพบเจอ

 

ที่สําคัญที่สุดก็คือเขารู้ว่าภูติระดับสี่ตามปกติจะใช้พลังชีวิตในการต่อกรกับวิบัติอัสนี แต่วิชาที่เขาบ่มเพาะคือวิชาที่ต้องใช้พลังหยินที่ชั่วร้าย ดังนั้นวิบัติอัสนี้จึงเป็นจุดอ่อนของเขา!

 

ตามปกติเขาต้องเตรียมตัวหลายวันก่อนจะได้เข้าใกล้วิบัติอัสนี แต่ตอนนี้กลับมีคนที่ควบคุมวิบัติอัสนี้ได้มาอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา!

 

เขาไม่รู้ว่าขวดวิบัติอัสนีนี้เคยใช้กักขังราชาโลกดับสูญผู้มีร่างกายระดับจ้าวเทวะได้สําเร็จมาก่อน แม้ราชาโลกดับสูญจะไม่ตาย แต่มันก็ไม่ใช่กับจ้าวสาว!

 

ซือหยูคงไม่มั่นใจนักถ้าหากเป็นภูติระดับสี่คนอื่น แต่เขาไม่กลัวที่จะใช้กับจ้าวสามที่มีพลังแห่งความตายคล้ายภูติผี

 

เปรี๊ยะ

 

อ๊ากก!

 

แหสายฟ้าพันรอบข้าวสาม เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาในทันที เขารู้สึกราวกับถูกเพลิงร้อนลวกทั้งร่าง พลังของเขาระเหยออกมาจากร่างไม่หยุด

 

จ้าวสามพยายามจะทําให้แหสายฟ้าขาดด้วยพลังชีวิต เมื่อพลังชีวิตของเขาก็มิอาจทําอะไรได้เพราะมันปนเปื้อนไปด้วยพลังด้านลบ

 

เขาใช้พลังชีวิตไม่ได้เลย ภูติระดับสี่ได้แต่สิ้นหวังต่อแหสายฟ้าด้วยประการนี้

 

ตอนนั้นเอง ฝ่ามือแล่นผ่านใบหน้าจ้าวสาม เขาตกใจเมื่อรู้ตัวว่าถูกซือหยูตบหน้า!

 

“กล้าดียังไง?”

 

จ้าวสามตะโกนด้วยความโกรธแค้น

 

เพียะ

 

แต่พอเขาตะโกนก็ถูกตบอีกครั้ง พลังนั้นรุนแรงจนทําให้ชั้นหกสั่นไปทั้งขั้น!

 

“ทําไมข้าจะไม่ตบเจ้าเล่า?”

 

ซือหยูถามขณะที่จัดชุดเกราะสายฟ้าในมือขวา

 

เขาสะบัดมือและยิ้มอย่างพอใจ

 

“เจ้าอยากจะบดขยี้ความมั่นใจของข้า ทําไมข้าจะตบเจ้าให้ได้สติกลับมาไม่ได้เล่า?”

 

“ก็ได้ ข้าจะทรมานเจ้าทั้งเป็น!”

 

จ้าวสามตะโกน

 

เขาดูหมดท่า เดิมทีเขาแค่จะมาทําให้ซือหยูวุ่นวายเท่านั้น แต่เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นฝ่ายที่ต้องแบกรับความอัปยศ! ความโกรธของเขาระเบิดผ่านดวงตาอันชิงชัง

 

เพี้ยะ

 

จ้าวสามได้รับคําตอบด้วยการตบอีกครั้ง

 

“เจ้าพูดเสียงดังได้เท่านี้?”

 

ซือหยูมองจ้าวสามอย่างเยือกเย็น

 

ซือหยูหยิบเอากล่องหยกออกมา ในกล่องหยกนี้มีเส้นขนสีขาวสามร้อยเส้นอยู่ด้วย

 

ซือหยูหยิบเอาเส้นขนหนึ่งเส้นออกมาอย่างระมัดระวัง

 

“ถ้าเจ้าอยากจะทรมานข้า ข้าก็ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ตายซะเถอะ”

 

เส้นขนของม้าเมฆามีพิษมากพอที่จะสังหารทุกคนที่ระดับต่ำกว่าภูติระดับสี่ แต่ตอนนั้นเองมีสตรีงดงามปรากฏตัวที่ชั้นบน นางเข้ามายืนขวางระหว่างซือหยูกับจ้าวสามในทันที

 

“เจ้าพันธมิตรซือโปรดเมตตาเขาเถอะ ข้าขออภัยที่มาต้อนรับท่านช้า”

 

สตรีงดงามผู้นี้สง่างามและสุภาพอย่างมาก

 

ซือหยูเหลือบมองนางเมื่อเห็นว่านางยืนขวางตําแหน่งที่เขาจะดีดเส้นขนม้าเมฆาออกไป

 

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หลีกไปซะ”

 

แววตาของเขามองผ่านนางไปยังใบหน้าเกลียดชังของจ้าวสาม ซือหยูมีเรื่องกับจ้าวสามจริงๆ เขาไม่มีเหตุที่จะต้องเมตตา

 

นางหัวเราะอย่างขมขื่น

 

“ฐานะของข้าอาจจะต่ำต้อยกับท่าน แต่โปรดไว้ชีวิตจ้าวสามเพราะเห็นแก่อาจารย์ปรุง

โอสถสามท่านที่ช่วยท่านปรุงยาเถอะ ข้าจะชดใช้ทุกอย่างที่จ้าวสามทํากับท่าน”

 

ซือหยูลังเลเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด เขาเก็บเส้นขนม้าเมฆาโดยไม่พูดอะไร

 

ซือหยูเหลือบมองจ้าวสาม

 

“ พร้อมตายเมื่อไหร่ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ! วันนี้เจ้าโชคดีที่รอดไปได้!”

 

ใบหน้าจ้าวสามแดงกําด้วยความโกรธเมื่อได้ยินคําพูดดูหมิ่นของซือหยู เพราะเขาคือจ้าวสามผู้ได้รับความนับถือจากคนมากมาย แต่เขากําลังถูกขู่จากคนที่ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรทมิฬด้วยซ้ำ!

 

แต่เขาก็รู้สึกถึงจิตสังหารจริงๆของซือหยูตั้งแต่ก่อนที่เขาจะถูกช่วยเอาไว้ เขาไม่กล้าจะโต้เถียงอะไรออกมา เขาทําได้แค่กลืนศักดิ์ศรีและยอมรับคําดูหมินจากซือหยู

 

“เจ้าเป็นใคร? แล้วไป่จงอยู่ที่ไหน?”

 

ซือหยูถามและยกมือเก็บเอาวิบัติอัสนีสู่ขวดหยก

 

เมื่อใช้งานไปแล้ว วิบัติอัสนีดูอ่อนแอลงไปบ้าง ดูเหมือนว่ามันจะใช้ได้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แม้ซือหยูจะคิดว่ามันสูญเปล่า เขาก็ไม่ได้แสดงออกมาทางใบหน้า

 

สตรีวัยกลางคนผู้งดงามยิ้ม

 

“ข้าเป็นจ้าวหอวารีสวรรค์ ที่ที่ท่านยืนอยู่เป็นของข้าเอง”

 

นางมองความเสียหายรอบๆและหัวเราะอย่างขมขื่น

 

ซือหยูรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที

 

“ขออภัยที่ขาสร้างปัญหาให้มากมายเช่นนี้ โปรดให้ข้าชดเชยที่ท่านสูญเสียเถอะ”

 

“ข้ามิอาจรับการชดเชยจากท่านหรอก!”

 

จ้าวหอวารีสวรรค์แปลกใจกับความสุภาพของซือหยู ดังนั้นนางจึงรีบลนลานปฏิเสธเขา

 

“เป็นเกียรติของข้าแล้วที่ท่านมาที่นี่ ข้ายินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง! ถ้าท่านไม่ถือสาก็โปรดขึ้นมาชั้นบนเถอะ ข้ามั่นใจว่าโอสถของท่านจะเสร็จในอีกไม่นาน”

 

ซือหยูโบกมือ

 

“ไม่ต้องหรอก ข้าจะรอที่นี่แหละ”

 

จ้าวหอวารีสวรรค์รู้สึกหมดหวัง นางไม่มีทางเลือกนอกจากไล่ทุกคนออกจากที่นี่เพื่อจะได้คุยกับซือหยูตามลําพัง

 

“จ้าวสาม ท่านควรจะออกไปด้วย ข้าหวังว่าท่านจะมาก่อเรื่องที่หอวารีสวรรค์แค่ครั้งนี้เท่านั้น จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว!”

 

นางเตือน

 

แม้ว่าฐานพลังของนางจะไม่ได้ใกล้เคียงกับจ้าวสาม น้ำเสียงของนางก็ดูหนักแน่นเมื่อส่งคําเตือน จ้าวสามถอนหายใจแรงด้วยความไม่พอใจ เขาเหลือบมองซือหยูกับจ้าวหอวารีสวรรค์อีกครั้งก่อนจะออกไปด้วยความหงุดหงิด

 

“จ้าวพันธมิตรซือ นี่มันน่าอายนัก จ้าวสามมักจะใช้เวลาอยู่ใกล้กับสุสานและบ่มเพาะเพื่อให้ได้พลังแห่งความตายมา อารมณ์ของเขาเลยแปลกกว่าใครอื่น เป็นเหตุให้เขาจู่โจมท่าน มิเช่นนั้นอาณาจักรทมิฬก็คงจะต้อนรับท่านเป็นอย่างดี”

 

นางอธิบายกับซือหยู

 

ต้อนรับข้าเรอะ? ซือหยูคิดถึงตอนที่ผู้เฒ่าขาวดําหน้าตําหนักเจ็ดจ้าวปฏิบัติต่อเขา เขาหัวเราะเยาะตัวเองเมื่อคิดถึงสิ่งที่จ้าวสามทํากับเขาเมื่อครู่

 

บางที่อาณาจักรทมิฬอาจจะเป็นการมีอยู่ของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เป็นแค่เรื่องตลก ทั้งสองกําลังอยู่ในทวีปเฉินหลงมาช้านาน แต่พลังนั้นแตกต่างกันมาก

 

คนที่ต้อนรับเขาจริงๆก็คือไป่จงกับจ้าวหอวารีสวรรค์และคนที่ระดับต่ำกว่า ส่วนในสายตาของคนระดับสูงในอาณาจักรทมิฬ ซือหยูเป็นแค่เจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่ไม่ได้มีดีอะไรนัก

 

“อย่างนั้นรึ”

 

ซือหยูถามและหัวเราะเบาๆ เขาไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้น

 

จ้าวหอวารีสวรรค์ดูเหมือนจะรู้ว่าซือหยูรู้สึกอย่างไร นางจึงแค่ยืนเงียบๆใกล้ซือหยูโดยไม่พูดอะไรอีก ผ่านไปครึ่งชั่วยาม มีคนสวมชุดแดงวิ่งมาทางพวกเขา

 

นั่นคือไป่จง เขายิ้มอย่างดีใจและถือกล่องหยกสองใบอยู่ในมือ

 

หนึ่งในนั้นคือกล่องหยกที่มีโอสถสีม่วงอยู่ภายใน มันมีรอยบางๆเก้ารอยที่ดูคล้ายกับหางวิหคเพลิงในเม็ดโอสถด้วย มันคือโอสถหางวิหคเพลิงม่วง!

 

ส่วนอีกกล่องมีโอสถที่สว่างจ้าราวกับแสงจันทร์เต็มดวง มันคือโอสถจันทร์ลับอดุล!

 

กล่องแรกที่สิ่งที่ไป่จงสัญญาว่าจะให้มันกับซือหยู ส่วนอีกกล่องเป็นโอสถที่เพิ่งจะปรุงขึ้นมา ในที่สุดเขาก็ได้โอสถสําหรับช่วยชีวิตผู้เฒ่าฉิวแล้ว!

 

“เจ้าพันธมิตรซือ โชคดีที่อาจารย์ปรุงโอสถทั้งสามท่านยอมปรุงโอสถให้”

 

ไป่จงพูดขณะที่ยื่นกล่องหยกทั้งสองให้กับซือหยู เขายังปฏิบัติต่อซือหยูด้วยความยําเกรงเช่นทุกครั้ง

 

ซือหยูรับโอสถไปด้วยความยินดี การเดินทางครั้งนี้ไม่ถือว่าสูญเปล่าแล้ว!

 

ซือหยูมองไป่จงด้วยความขอบคุณอย่างสูง เหล่าคนระดับสูงของอาณาจักรทมิฬไม่อยากจะเจอตัวเขาด้วยซ้ำ และมีแค่ไป่จงเท่านั้นที่ช่วยเหลือซือหยูอย่างไม่เห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีไป่จง ซือหยูก็คงไม่รู้เรื่องสมบัติหมื่นปีของอาณาจักรทมิฬ

 

“หัวหน้าผู้ตรวจการไป ท่านช่วยเหลือข้ามาตั้งแต่แรก แต่ท่านก็มิได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย โปรดรับสิ่งนี้เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆจากข้าเถอะ…”

 

ซือหยูหยิบเอาสว่านเล็กๆที่คมกริบออกมา

 

สว่านนี้มีพลังวิบัติอัสนีอัดแน่นอยู่ภายใน มันน่ากลัวยิ่งกว่าวิบัติอัสนีที่ใช้ต่อกรกับจ้าวสามเมื่อครู่เสียอีก ใครก็ตามที่เป็นภูติต่ำกว่าระดับสองจะต้องกลายเป็นฝุ่นผงเมื่อต้องเจอกับสว่านนี้

 

“สมบัติกึ่งวิญญาณ!”

 

จ้าวหอวารีสวรรค์อุทานด้วยความตกใจ

 

จ้าวหอวารีสวรรค์สายตาหาไร้แวว นางบอกระดับของสิ่งที่ซือหยูหยิบออกมาได้ทันที นางแปลกใจอย่างมากกับสิ่งที่ซือหยูจะให้กับไป่จงจนออกมาทางสีหน้า