บทที่ 358.1 ฝนหยุด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลังจากที่ได้รับการพยักหน้ายืนยันจากเฉินผิงอัน เว่ยเซี่ยนที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ก็สกัดกั้นยับยั้งผู้ฝึกตนติดตามกองทัพจำนวนเกินครึ่งเอาไว้ พยายามจะหาโอกาสสังหารหลิวจงองค์ชายใหญ่เพื่อช่วงชิงชัยชนะ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองก็ไม่เป็นไร

ทางฝั่งของสุยโย่วเปียน หลังจากที่สังหารเซียนซือสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ไปแล้ว ต่อให้สวี่ชิงโจวจะรู้ดีว่าหลิวจงต้องพาลโกรธไปถึงตระกูลของตน แต่เขาก็ยังออกไปจากภูเขาลูกนี้โดยพลการอย่างเด็ดเดี่ยว เขาย้อนกลับไปที่เมืองเซิ่นจิ่ง ปรึกษาแผนการกับท่านปู่ที่ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่พิทักษ์ชายแดนตะวันตก ในฐานะตระกูลขุนพลที่อยู่อันดับต้นๆ ของราชวงศ์ต้าเฉวียน อีกทั้งยังตั้งรกรากอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งมานานหลายชั่วคน สกุลสวี่หวาดกลัวองค์ชายใหญ่หลิวจงก็จริง แต่กลับไม่คิดจะนั่งงอมืองอเท้ารอความตาย

ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในเวลานี้ยังคงเป็นฮ่องเต้หลิวเจิน มิใช่หลิวจง หากฉีกหน้าแตกหักกับหลิวจงขึ้นมาจริงๆ อย่างมากสกุลสวี่ก็แค่ตัดสินใจไปเข้าฝ่ายองค์ชายรอง เปลี่ยนมาสนับสนุนมังกรตัวใหม่แทน

สนามรบที่หลูป๋ายเสี่ยงอยู่ สถานการณ์การสู้รบยังคงคุมเชิงกัน ทหารเดนตายห้าพันนายของกองทัพชายแดนต้าเฉวียนกลุ่มนี้ไม่เสียแรงที่เป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของหลิวจงโดยตรง พวกเขาต่างก็รู้ถึงความร้ายแรงของกฎกองทัพดี ต่อให้อกสั่นขวัญแขวนกับการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้น ต้องเห็นสหายร่วมรบคนแล้วคนเล่าตายไปใต้ดาบของคนผู้นั้นกับตาตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังคงกระโจนเข้าประหัตประหารอย่างบ้าคลั่งเหมือนไม่รู้จักเสียดายชีวิต ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกตนติดตามกองทัพถึงกับทนดูไม่ได้ เพราะภาพนี้น่าสังเวชชวนให้หดหู่ใจยิ่งนัก แม่ทัพนายกองบางคนที่ใจเด็ดเดี่ยวปานหินผาก็ยิ่งหลั่งน้ำตาอาบหน้าไปพร้อมกับสายฝน ถึงกระนั้นก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าใครก็ตามที่ขี้ขลาดกล้าถอยร่นย่อมต้องถูกประหาร!

บทกวีของเซียนที่ออกท่องเที่ยวมีกลิ่นอายของเซียนล้อมเวียนวน บางทีกลอนที่เขียนออกมาอาจมีท่วงทำนองของเทพเซียนที่อยู่บนภูเขา

แต่กลับไม่มีบทกลอนแห่งชายแดนบทใดที่สามารถเขียนบรรยายภาพความนองเลือดและโหดเหี้ยมของสนามรบออกมาได้อย่างแท้จริง

หลังจากปีศาจลำคลองหมายเหอพลิ้วกายจากภูเขาลูกอื่นลงบนพื้นแล้วก็ก้าวยาวๆ ห้อดิ่งเข้ามาเป็นเส้นตรง หากมีต้นไม้กีดขวางทางไปก็จะใช้มือข้างหนึ่งตบทิ้ง

เฉินผิงอันเห็นพลังอำนาจของผู้ที่มาเยือนแล้ว ในใจก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด

เขาเอายันต์แผ่นหนึ่งที่คีบไว้ระหว่างสองนิ้วของมือขวาซึ่งซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อเปลี่ยนไปเป็นยันต์สามแผ่นที่ทบซ้อนไว้ด้วยกัน

ตอนนั้นที่อยู่ในจวนปี้โหยว เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการยืมเหล็กหมาดหิมะด้ามนั้น จงขุยเขียนยันต์ให้เฉินผิงอันทั้งหมดสามแผ่น กระดาษสามแผ่นในนั้นเป็นของเขาเอง เขียนเป็นยันต์ทหารตรีปฏิภาณที่สามารถรวมกันเป็นค่ายกล ยันต์นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ยันต์ม้าเหล็กล้อมนคร’ ก่อนจะวาดยันต์จงขุยใช้ปราณแห่งความเที่ยงธรรมหนึ่งเฮือกในการเขียน ใต้พู่กันมีทหารบู๊ร้อยกว่านายที่สวมเสื้อเกราะสีเงิน ขี่ม้าสีขาว ทหารทัพม้ากลุ่มใหญ่ที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารเหล่านั้นพุ่งออกมาจากบนกระดาษยันต์ สุดท้ายจัดเรียงเป็นขบวนรบ เมื่อดึงบังเหียนม้าให้หยุดก็กลายมาเป็นภาพของยันต์ที่ถูกตวัดลงไปขีดแล้วขีดเล่า

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ควักถุงตรงเอวขึ้นมา หยิบกระดาษสีทองสองแผ่นและกระดาษยันต์สีเขียวที่เป็นกระดาษฉบับร่างลายมือของอริยะออกมาหนึ่งแผ่น จงขุยทำตามข้อเรียกร้องของเฉินผิงอันอย่างยากลำบากโดยการวาดยันต์วิชาหลักห้าอสนีของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ยันต์ทำลายอาคมที่ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงน้ำก็สามารถป้องกันไม่ให้ถูกผีพรางตาได้ รวมไปถึงยันต์สยบกระบี่แผ่นสุดท้ายที่พลานุภาพเหนือกว่ายันต์อักษรบ่อไปมาก ซึ่งจงขุยขนานนามมันว่า ‘สะบัดชายแขนเสื้อกระบี่ผงาด มหาสมุทรเก้าทวีปเดือดพล่าน’

ปีศาจลำคลองหมายเหอที่ไม่กล้าเปิดเผยร่างจริงกระโจนเข้ามาใกล้ ห่างไปไม่ถึงร้อยก้าวแล้ว

เฉินผิงอันเดินออกไปจากใต้ชายคาช้าๆ เดินไปทางฝั่งขวามือ เพียงไม่นานทั้งสองฝ่ายก็อยู่ห่างกันแค่ห้าสิบก้าวเท่านั้น

เฉินผิงอันสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง ยันต์ทั้งสามแผ่นถูกลมปราณที่แท้จริงจุดไฟเผา พุ่งพรวดออกไปจากชายแขนเสื้อ ในใจเขาพูดตามไปด้วยว่า “ตั้งขบวนรบเบื้องหน้า!”

ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แต่ไม่หยุดฝีเท้า ดีดตัวกระโดดผลุงขึ้นโฉบเข้าสังหารคนหนุ่มที่ถือกิ่งไม้แห้ง “ผู้ฝึกยุทธ์คิดใช้ยันต์ ไม่กลัวจะทำให้นายท่านใหญ่อย่างข้าหัวเราะจนฟันร่วงหรือไร?”

เพียงแต่ว่าไม่นานปีศาจลำคลองหมายเหอตนนี้ก็หัวเราะไม่ออก

หลังจากที่ยันต์สีทองทั้งสามแผ่นที่ตัวของกระดาษยันต์เผาไหม้หมดแล้ว ชายฉกรรจ์ที่ร่างยังค้างอยู่กลางอากาศค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ยันต์สามแผ่นที่เหลือเพียงภาพมายาเริ่มหมุนคว้างวนรอบกายเขาอย่างรวดเร็ว ลมปราณของชายฉกรรจ์ร่วงดิ่งลงไปที่จุดตันเถียน เป็นเหตุให้ร่างที่อยู่กลางอากาศดิ่งลงเหมือนมีน้ำหนักพันชั่ง ในขณะที่กำลังจะกระแทกลงพื้นอย่างเร่งร้อน ยันต์ทั้งสามแผ่นต่างก็มีทหารขี่ม้าขาวสวมเสื้อเกราะแวววาวถือทวนบุกออกมาสังหาร

ชายฉกรรจ์ตวาดกร้าว “ไปตายซะ!”

บิดร่างหมุนตัวหนึ่งรอบ ปล่อยสามหมัดต่อยทหารม้าทั้งสามคนให้แหลกเละอย่างว่องไว

เพียงแต่ว่ากลับมีทหารขี่ม้าพุ่งออกมาจากยันต์อย่างต่อเนื่อง ไม่มากไม่น้อย หนึ่งครั้งสามคน เงียบเชียบไม่อึกทึก

ชายฉกรรจ์เหมือนถูกกักอยู่กลางวงล้อมของข้าศึกบนสนามรบ แต่เขาก็ยังไม่หวั่นเกรง ออกหมัดรวดเร็วราวกับสายรุ้ง สังหารทหารที่ควบม้าบุกตะลุยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

ทุกครั้งที่ชายฉกรรจ์เปลี่ยนสนามรบ ยันต์ทหารตรีปฏิภาณสามแผ่นก็จะล่องลอยติดตามไปด้วย ยังคงรักษาระยะห่างเท่าเดิมไว้ตลอดเวลา

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเข่นฆ่าอย่างสนุกสนาน แสดงความอำมหิตออกมาอย่างเต็มที่ รู้สึกเพียงว่าสาแก่ใจ ได้แสดงฝีไม้ลายมืออย่างเต็มคราบ

ยันต์ทหารม้าเหล็กล้อมนครสามแผ่นคิดจะกักตัวและเผาผลาญพลังของปีศาจลำคลองตนหนึ่งที่เกือบจะสร้างโอสถทองได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก ถึงขั้นที่ว่าคิดจะบีบให้มันเผยร่างจริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากคิดจะเผาผลาญพลังให้ปีศาจลำคลองหมายเหอตนนี้ตายทั้งเป็นกลับไม่มีทางเป็นไปได้

เฉินผิงอันย่อมรู้ข้อนี้ดี ไม่คาดหวังว่ายันต์สามแผ่นจะสังหารชายฉกรรจ์ผู้นี้ได้

หวังฉีวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่อยู่บนยอดเขากำลังรอให้เฉินผิงอันเผยช่องโหว่อย่างอดทน แล้วเฉินผิงอันหรือจะไม่มองหาโอกาสใช้ยันต์สยบสังหาร หรือไม่ก็ฆ่าชายฉกรรจ์ที่ติดอยู่ในวงล้อมด้วยกระบี่เดียว

ฝนเม็ดใหญ่ยังคงเทกระหน่ำ ไม่มีที่ท่าว่าจะกลายเป็นฝนเม็ดเล็ก

ทว่าปีศาจลำคลองหมายเหอที่ถูกยันต์ประหลาดสามแผ่นพัวพันโรมรันกลับเริ่มรำคาญใจขึ้นมาบ้างแล้ว เหตุใดทหารม้าที่มีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่เพราะเป็นแก่นของยันต์ถึงได้ไม่หมดไม่สิ้นเสียที? นี่เป็นทหารม้าปราณวิญญาณตัวที่เท่าไหร่แล้วที่เขาต่อยให้แหลกสลายไป? หนึ่งร้อยห้าสิบ สองร้อย?

ยิ่งนานมันก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี คนหนุ่มที่ถือกิ่งไม้ยืนห่างออกไปสามสิบก้าวผู้นั้นต้องไม่ใช่แค่หวังดีรอให้ตนแหวกฝ่าค่ายกลของยันต์ไปได้เองแล้วค่อยมาต่อสู้กันอย่างปัญญาชนผายลมสุนัขอะไรแน่นอน!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิ่งไม้อันนั้นที่แค่หางตามันเหลือบไปเห็นก็ทำให้จิตใจมันไม่สงบ รู้สึกผิดปกติ ต้องมีอะไรแปลกๆ แน่นอน!

ไม่สนแล้ว

เจ้าหวังฉีทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ให้ตายก็ไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือ ข้าผู้อาวุโสคร้านจะสนใจแล้วว่าเจ้าจะอธิบายให้สำนักต้าฝูฟังเช่นไร

ปีศาจลำคลองหมายเหอที่บนร่างมีบาดแผลเล็กๆ เต็มไปหมดเห็นว่าฝนห่าใหญ่กำลังลดระดับความแรงลง ถึงตอนนั้นเขาจะไม่เหลือข้อได้เปรียบจากสภาวะแวดล้อมนี้อีก พลานุภาพของร่างจริงที่เผยตอนนั้นย่อมลดลงตามไปด้วย

ดวงตาทั้งคู่ของปีศาจใหญ่พลันเปลี่ยนเป็นสีขาวหิมะ กล้ามเนื้อเป็นมัดเริ่มบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว

หวังฉีที่อยู่บนยอดเขามองความคิดของปีศาจลำคลองหมายเหอออกจึงตวาดกร้าวอย่างขุ่นขึ้ง “ไม่ได้นะ!”

ปีศาจลำคลองหรือจะสนเรื่องพวกนี้ พื้นดินพลันสั่นสะเทือน ร่างจริงขนาดมหึมาเผยกายขึ้น ดวงตาทั้งคู่ใหญ่โตดุจโคมไฟ เรือนกายยาวร้อยจั้ง ศีรษะวางพาดไว้บนตำแหน่งเดิมที่ ‘ชายฉกรรจ์’ เคยยืนอยู่

ยันต์ม้าเหล็กล้อมนครที่ปราณวิญญาณยังไม่ถูกเผาผลาญหมดสิ้นจึงดึงระยะห่างตามไปด้วย

ยังคงมีม้าเหล็กบุกกระโจนเข้าใส่ปีศาจลำคลองหมายเหอตนนี้

ทหารชายแดนต้าเฉวียนบางส่วนที่หลบอยู่สองข้างฝั่งหวังฉวยโอกาสเหมาะโจมตีพวกเฉินผิงอันกลับถูกร่างปีศาจปลาไหลดีดให้กระเด็นออกไป ระหว่างที่ร่างปลิวลิ่วไปนั้น หลายคนมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด บ้างเจ็บ บ้างตาย

เม็ดฝนสาดพรมลงบนร่างของปีศาจลำคลอง หลังจากกลิ้งไหลลงมาบนภูเขาก็ไม่ได้ซึมหายเข้าไปใต้ดิน แต่รวมตัวกันเป็นธารน้ำเส้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เฉินผิงอันจำปีศาจตัวนี้ได้ มันก็คือปีศาจใหญ่ปลาไหลที่เคยเข่นฆ่าอยู่กับเจ้าแม่เทพวารีใต้ลำคลองหมายเหอ

ดูท่ายอดฝีมือบนยอดเขาที่อำพรางตนอยู่นั้นก็คือวิญญูชนหวังฉีอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว

นิ้วทั้งสองข้างคีบยันต์ดั้งเดิมของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่จงขุยบอกว่าคือ ‘ห้ามังกรคาบไข่มุก’ หลังกรอกเทปราณวิญญาณที่แท้จริงเข้าไปแล้วก็โยนมันใส่ศีรษะของปีศาจลำคลองหมายเหอ

ทันใดนั้นเจียวหลง ‘ตัวบาง’ ยาวสิบจั้งกว่าห้าตัวก็มาขดตัวอยู่กลางอากาศ ปากพวกมันคาบไข่มุกสีขาวที่มีสายฟ้าล้อมวน

ตอนที่ปีศาจลำคลองหมายเหอนึกว่าถึงเวลาที่ตนจะร่ายวิชาอภินิหารบ้างแล้วนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีเจียวหลงที่ทั่วร่างซุกซ่อนพลานุภาพสวรรค์ห้าตัวปรากฎขึ้นเหนือศีรษะ ความคิดของมันชะงักค้างเล็กน้อย แต่แล้วก็แผดเสียงร้องคำรามสะเทือนฟ้าดิน เริ่มดิ้นรนอย่างรุนแรง คิดจะดิ้นให้หลุดพ้นจากวงล้อมของยันต์ม้าเหล็กล้อมนคร พยายามให้ตัวเองสัมผัสโดน ‘ไข่มุกสายฟ้า’ ให้ได้น้อยที่สุด

ทหารม้าเหล็กถือทวนทิ่มแทงร่างของปีศาจปลาไหลครั้งแล้วครั้งเล่า ปล่อยให้ปีศาจลำคลองหมายเหอทำลายร่างของตัวเองให้แหลกสลาย ทั้งเรือนกายและปราณวิญญาณหายกลับคืนสู่ฟ้าดินไปพร้อมกัน

เจียวหลงตัวหนึ่งอ้าปากกว้าง ไข่มุกสีขาวหิมะถูกสาดยิงไปฝังเข้าที่หัวของปีศาจลำคลองหมายเหอ

ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือน

แล้วก็มีไข่มุกอีกสองเม็ดที่แยกกันกระแทกลงบนตำแหน่งชีชุ่น *(คือตำแหน่งที่ห่างจากหัวงูไปประมาณเจ็ดนิ้ว มาจากสำนวนว่าตีงูต้องตีจุดชีชุ่น หรือเปรียบเปรยถึงจุดอ่อน จุดตาย)*และหางของปีศาจลำคลอง

ไม่เพียงแต่ร่างของมันที่ส่ายสะบัดอย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวด จิตวิญญาณและโอสถของของปีศาจลำคลองก็สั่นสะท้านไปพร้อมกันด้วย

ข้อดีอย่างเดียวที่มีก็คือแรงโจมตีมหาศาลที่มันปล่อยออกมา ในที่สุดก็ช่วยให้กวาดทำลายยันต์ทหารสามแผ่นระยำนั้นจนแหลกสลายได้สำเร็จ

รุ้งยาวสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งจากยอดเขาแห่งอื่นมาหยุดบนกิ่งไม้ของภูเขาลูกนี้ ใช้เสียงในใจขอร้องเฉินผิงอัน “เจ้าและข้าสองฝ่ายหยุดมือนับแต่บัดนี้ ข้าจะบอกให้หลิวจงพาทหารจากไปทันที ตกลงไหม?”

ตอนที่หวังฉีพูดประโยคนี้ออกมา เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ปีศาจลำคลองหมายเหอตนนั้นช่างเป็นสวะไร้ค่าที่ความสามารถจะทำงานให้สำเร็จนั้นมีไม่พอ แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีอยู่เหลือเฟือจริงๆ!

หลังจากที่เจียวหลงคาบไข่มุกตัวหนึ่งพ่นไข่มุกสายฟ้าออกมา ร่างของพวกมันก็จะสลายหายไปเอง

เฉินผิงอันไม่ได้มีความคิดจะหยุดมือเลยสักนิด

สุดท้ายเจียวหลงสองตัวก็พ่นไข่มุกวิเศษที่มีอาคมสายฟ้าดั้งเดิมที่สุดซึ่งเป็นผู้นำแห่งหมื่นคาถาในใต้หล้าออกมาอย่างไม่ลังเล

เจียวหลงห้าตัวหายไปแล้ว ทว่าไข่มุกห้าเม็ดนั้นกลับฝังเลื่อมอยู่ในร่างของปีศาจลำคลองหมายเหออย่างแน่นหนา ตั้งแต่หัวจรดเท้า พอเชื่อมโยงเป็นเส้นเดียวกัน ประกายแสงเจิดจ้าก็สาดส่อง สายฟ้าไหลเวียนวนไปตามร่างของปีศาจลำคลองอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายมาเป็นสายฟ้าใหญ่มหึมาแลบแปลบปลาบที่แทบจะหนาเท่าเรือนกายของปีศาจลำคลอง

ชูอีกับสืออู่ที่จิตเชื่อมโยงกับเฉินผิงอันเปลี่ยนแปลงแผนเดิมที่เคยมี ทะยานตัวออกไปเป็นลำแสงสองเส้นที่แยกกันพุ่งเข้าแทงดวงตาที่ใหญ่พอๆ กับโคมไฟของปีศาจลำคลองหมายเหอ

สุยโย่วเปียนบังคับกระบี่ชือซินที่ไม่รู้ว่าแทงทะลุหัวใจมาแล้วกี่ดวงเล่มนั้นให้แทงทะลุศีรษะของปีศาจลำคลองหมายเหออย่างแม่นยำ กระบี่ยาวตลอดทั้งเล่มปักจมหายเข้าไปในพื้นดินเบื้องล่างศีรษะ มากพอจะแสดงให้เห็นถึงระดับความคมของมัน

ส่วนหวังฉีและเฉินผิงอันต่างก็ลงมือแทบจะพร้อมกัน ต่างคนต่างมีจิตคิดสังหารอีกฝ่าย

เฉินผิงอันถือกิ่งไม้แทนกระบี่พุ่งทะยานออกไป

ส่วนฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาท่ามกลางฟ้าดินก็คล้ายจะถูกวิญญูชนหวังฉีควบคุมไว้ทั้งหมดในชั่วพริบตา แต่ละหยดเปลี่ยนแปลงทิศทางการโคจร เม็ดฝนนับพันนับหมื่นเม็ดสาดกระทบลงบนร่างของเฉินผิงอันทั้งหมด

หนึ่งกระบี่ผ่านไป

บนกิ่งไม้ไม่เหลือร่างของหวังฉีอยู่อีก เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของวิญญูชนแห่งสำนักศึกษา สะบัดไหล่ ชุดคลุมอาคมจินหลี่กระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น สะบัดให้เม็ดฝนที่ฝังลงไปในชุดอาคลุมอาคมดีดกระเด็น

วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาผู้ยิ่งใหญ่อย่างหวังฉีกลับถอยร่นไม่ยอมต่อสู้

ปีศาจลำคลองหมายเหอที่ลมหายใจรวยรินไม่สามารถควบคุมเม็ดฝนที่รวมกันเป็นลำธารใต้ร่างไว้ได้อีกต่อไป น้ำเลือดและน้ำฝนแทรกซึมลงไปในพื้นดินพร้อมกัน

กิ่งไม้ในมือของเฉินผิงอันกลายเป็นผุยผง

เขาพุ่งวูบไปหาปีศาจลำคลองหมายเหอตนนั้น ยื่นมือคว้าออกไปจับกลางอากาศ กุมกระบี่ชือซินไว้ในมือแล้วฟันลงบนศีรษะของปีศาจลำคลองหมายเหอโดยตรง

ฝนใหญ่ค่อยๆ หยุดลง

เพียงไม่นานทหารบนภูเขาก็เริ่มถอยร่นลงไปด้านล่าง

เว่ยเซี่ยนยังคงไม่สามารถจับตัวองค์ชายใหญ่หลิวจงได้ ได้แค่สังหารผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ต่อให้ตายก็สาบานว่าต้องปกป้องเขาให้ได้ ได้แต่ปล่อยให้หลิวจงลงไปที่ตีนเขา ส่วนตัวเขาเก็บเสื้อเกราะสำนักการทหารตัวนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ

จูเหลี่ยนบาดเจ็บหนักที่สุด แต่กลับไม่ตายเลยสักครั้ง หลูป๋ายเซี่ยงเดินมาทางศพของปีศาจลำคลอง เพิ่งจะมีโอกาสดึงธนูที่ทำขึ้นเป็นพิเศษลูกนั้นออกจากไหล่ เขาไม่ได้โยนมันทิ้งไป แต่ถือไว้ในมือ ส่วนดาบแคบหิมะนั้นสอดกลับเข้าไปในฝักเรียบร้อยแล้ว

……

บนมหาสมุทรตะวันตกของใบถงทวีป ปีศาจใหญ่ที่ใช้ร่างจริงเผ่นหนีเอาชีวิตรอด อยู่ดีๆ กลับตายคาที่ด้วยกระบี่เดียวของคนผู้หนึ่ง หลังจากที่เส้นบางๆ เส้นหนึ่งตวัดผ่านไป ศีรษะที่ใหญ่โตดุจขุนเขาก็ร่วงหล่นลงในทะเล เรือนกายที่ยาวดุจเทือกเขากลับยังลอยเท้งเต้งอยู่บนมหาสมุทร

ผู้ฝึกตนใหญ่ของใบถงทวีปสามท่านที่ไล่ฆ่ามันมาจนถึงที่นี่มีความคิดต่างกันออกไป

ซ่งเหมาเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงคนปัจจุบันถือกระบี่ยาวอยู่ในมือ ปลายกระบี่หันไปด้านหลังเพื่อแสดงให้รู้ถึงความจริงใจและความซาบซึ้งใจ เขากล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ซ่งเหมาแห่งภูเขาไท่ผิงขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือพวกเราสังหารปีศาจใหญ่!”

เพียงแต่ว่าผู้ฝึกกระบี่ที่ปราณกระบี่ไหลทะลักออกมานอกกายอย่างบ้าคลั่งผู้นั้นกลับไม่แม้แต่จะสนใจตอบรับไมตรีจิตของเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงผู้ยิ่งใหญ่

บุรพาจารย์ท่านหนึ่งที่ควบคุมดูแลกฎระเบียบและผังวงศ์ตระกูลของสำนักใบถงสีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

ตลอดทางที่ไล่กวดปีศาจใหญ่ตนนี้มา มีเพียงซ่งเหมาที่ลงมืออย่างเต็มกำลังโดยไม่ห่วงชีวิตของตัวเอง แทบจะยอมให้ตัวเองพินาศวอดวายไปกับปีศาจใหญ่ตนนั้น เพียงแต่ว่าถึงแม้ซ่งเหมาจะเป็นอันดับหนึ่งในนามของภูเขาไท่ผิง แต่ตบะกลับไม่สูงนัก ครั้งนี้ที่เขาลงจากภูเขามาก็เพราะอุบัติเหตุในบ่ออเวจีของสำนัก อีกทั้งยังไม่กล้าพกกระบี่เซียนปกป้องภูเขาเล่มหนึ่งมาด้วย จึงเรียกได้ว่ามีใจแต่ไร้กำลัง ส่วนบุรพาจารย์สำนักใบถงที่เป็นผู้นำของตระกูลเซียนในใบถงทวีปผู้นี้กลับไม่เต็มใจจะทุ่มความสามารถสังหารปีศาจใหญ่ตนนี้เท่าใดนัก ปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่แม้ขอบเขตจะถดถอยก็ยังคงเป็นขอบเขตสิบเอ็ด อีกทั้งเรือนกายใหญ่ยักษ์ของมันยังแข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ ไหนเลยจะรับมือได้ง่ายๆ สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ไม่มีทางหนีพ้นสายตาของพวกเขาสามคนแน่ จะแร่เนื้อหรือเถือหนังก็ค่อยๆ ว่ากันไป จะรีบร้อนไปไย

ดังนั้นครั้งนี้ที่ได้รับคำสั่งให้ออกมาจากภูเขา บุรพาจารย์ขอบเขตหยกดิบของสำนักใบถงท่านนี้จึงมองว่ามันเป็นงานที่ง่ายและดีงานหนึ่ง สังหารปีศาจใหญ่ที่สร้างความวุ่นวายในสำนักฝูจี ไม่เพียงแต่มีคุณความชอบติดตัว ยังสามารถทำให้จีไห่เจ้าสำนักฝูจีที่คู่บำเพ็ญตนตายไปซาบซึ้งในบุญคุณได้ด้วย ดังนั้นถึงแม้ครั้งนี้จะไล่ฆ่ามาตลอดทาง แต่เขากลับอำพรางความสามารถ ไม่ยอมเรียกสมบัติพิทักษ์สำนักออกมาใช้ ทว่าส่วนลึกในใจกลับคิดว่าต้องได้ครอบครองร่างปีศาจใหญ่ตนนี้