บทที่ 1102 ไม้กระบองใหญ่สองด้าม โดย Ink Stone_Fantasy
หงเฉินก้มหน้า
“ตอนนี้เจ้ายอมรับแล้วใช่มั้ยว่าลูกศิษย์ของไต้ซือศีลเจ็ดคือพี่รองของเจ้า?” มู่ฝานจวินถาม
“ค่ะ!” เยว่เหยาร้องไห้คุกเข่าอยู่บนพื้น
มู่ฝานจวินถอนหายใจยาว “นางหนูเอ๊ย! ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้ามองเจ้าเหมือนเป็นลูกเป็นหลานตัวเอง แต่เจ้ากลับหลอกข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่เจ้าทำร้ายจิตใจข้าอย่างโหดเหี้ยมนะ!”
“ท่านอาจารย์!” เยว่เหยาโขกหน้าผากกับพื้นด้วยน้ำตานองหน้า เรียกได้ว่ารู้สึกผิดสุดๆ
มู่ฝานจวินมองไปที่หงเฉินอีกครั้ง “เจ้าก็เหมือนกัน! เจ้ากล้าบอกมั้ยว่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้?”
หงเฉินคุกเข่าลงอย่างช้าๆ เยว่เหยาที่ร้องไห้ฟูมหายรีบเงยหน้าบอก “ท่านอาจารย์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่ค่ะ”
มู่ฝานจวินไม่สนใจนาง ถามหงเฉินต่อไป “เมื่อครู่ข้าบอกแล้วว่าจะให้เยว่เหยาอีกครั้ง ศิษย์พี่อย่างเจ้าทำไมมัวมองดูศิษย์น้องตัวเองโกหกอาจารย์แล้วไม่ห้าม?”
“…” หงเฉินตอบนางด้วยความเงียบ
“มีเจตนาไม่ดี!” เสียงของมู่ฝานจวินพลันเฉียบคม “เจ้าว่ามาซิว่าข้าควรจะลงโทษพวกเจ้าสองคนอย่างไร?”
เยว่เหยาโขกศีรษะกับพื้นซ้ำๆ “ท่านอาจารย์ ถ้าจะลงโทษก็ลงโทษเยว่เหยาคนเดียวพอแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่เลยจริงๆ เป็นข้าเองที่ไม่ยอมให้ศิษย์พี่พูด”
“หงเฉิน ศิษย์น้องเจ้ากำลังวิงวอนให้เจ้า เจ้าจะอธิบายอย่างไร?” มู่ฝานจวินถาม
“ศิษย์ยอมรับโทษค่ะ!” หงเฉินตอบอย่างเฉื่อยชา
“ศิษย์พี่!” เยว่เหยาร้องไห้สะอึกสะอื้น
มู่ฝานจวินกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “หงเฉิน ข้ามอบเยว่เหยาให้เจ้าคอยดูแลมาตั้งแต่เด็ก แต่ศิษย์น้องไม่ได้เรียนรู้อะไรดีๆ เจ้าเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ได้ยาก ครั้งนี้ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง เห็นแก่ที่เยว่เหยาวิงวอนขอร้องเพื่อเจ้าด้วย ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ถ้าเยว่เหยาทำเรื่องอกตัญญูอีก ข้าจะลงโทษเจ้าคนแรก เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หงเฉินโน้มตัวโขกศีรษะกับพื้นเช่นกัน “ศิษย์ไม่มีความคิดเห็นอะไรค่ะ”
เมื่อเห็นศิษย์พี่รอดพ้นจากการทำโทษ เยว่เหยาเพิ่งจะโขกศีรษะกับพื้นขอบคุณ แต่มู่ฝานจวินกลับชี้นาง “เจ้า! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไปที่ยืนสำนึกผิดที่เขตต้องห้าม ถ้าเมื่อไรที่รู้ความแล้วจริงๆ ก็ค่อยออกมาเมื่อนั้น!”
หงเฉินเงยหน้ามองมา แบบนี้เท่ากับศิษย์น้องโดนกักบริเวณแล้ว นางอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกมู่ฝานจวินจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ จึงต้องกลืนคำพูดลงคอไปอีกครั้ง
“ค่ะ!” เยว่เหยากลับสมัครใจรับโทษ
หลังจากทั้งสองถอยออกไปแล้ว มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่เบื้องสูงก็หลับตาโดยไม่พูดอะไร
ใครว่านางไม่ต้องการตัวประกันล่ะ เมื่อก่อนเหมียวอี้ยังปีกอ่อน ที่เล่นแง่กับเยว่เหยาก็เพราะจะเก็บไว้เป็นตัวประกัน ตอนนี้เหมียวอี้ปีกแข็งแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เหมียวอี้แข็งข้อ ตอนนี้นางจึงจับเยว่เหยาขังสียเลย เพียงแต่วิธีการของนางไม่ได้แข็งกร้าวขนาดนั้น เยว่เหยาที่โดนทำโทษยินยอมสมัครใจ ต่อให้จะลงโทษอย่างไร แต่ลูกศิษย์คนนี้ก็ยังเป็นลูกศิษย์ของนางตลอดไป
ส่วนหงเฉินที่อยู่เป็นเพื่อนเยว่เหยาตั้งแต่เด็กจนโต ก็คือเครื่องพันธนาการเส้นที่สองของเยว่เหยา ทั้งสองมีความผูกพันกัน ถ้าเยว่เหยากล้าหนีไปกับเหมียวอี้ เมื่อครู่นางก็เพิ่งจะบอกไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าถึงตอนนั้นนางจะลงโทษหงเฉินก่อน…
อวิ๋นจือชิวยังคงอยู่ระหว่างทางไปนภาจอมมาร ตอนที่ได้รับข่าวจากหยางชิ่ง นางก็แปลกใจมาก แดนอู๋เลี่ยงที่ตีได้แล้ว จะให้เหมียวอี้นั่งรักษาการณ์หรือจะให้นางรักษาการณ์ มีอะไรแตกต่างกันด้วยเหรอ? ตอนอยู่ที่สายมะโรง มู่ฝานจวินก็จะให้นางเป็นท่านทูตให้ได้ วันนี้ใช้วิธีการนี้อีกแล้ว นางไม่ค่อยเข้าใจว่ามู่ฝานจวินกำลังจะทำอะไรกันแน่
แต่ก็เป็นอย่างที่บอก ไม่ว่าจะเป็นนางหรือเหมียวอี้ที่นั่งรักษาการณ์ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน นางเป็นของเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็เป็นของนาง เหมียวอี้สามารถมอบทั้งบ้านให้นางได้ตลอดเวลา จะต้องไม่ถือสาแน่นอนว่านางจะได้นั่งตำแหน่งนั้นหรือไม่
ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดแล้ว ก็ตอบหยางชิ่งว่า : ใครเป็นก็เหมือนกัน ตอบตกลงนางไป!
หยางชิ่งที่เก็บระฆังดาราแล้วกลับถอนหายใจ รู้สึกว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่ามู่ฝานจวินไปกินยาอะไรผิดมากันแน่ แผนการที่ตัวเองวางไว้อย่างดีถูกมู่ฝานจวินทำให้มั่วไปหมดแล้ว…
อินทรีเทพตัวหนึ่งบินร่อนอยู่บนท้องฟ้า ระหว่างแนวภูเขาที่สูงต่ำสลับกันเบื้องล่างพลันมีเงาคนพุ่งขึ้นฟ้า รีบตามอินทรีเทพตัวนั้นไปด้วยความเร็วสูง อินทรีเทพที่อยู่บนฟ้าพบว่ามีคนตามมา จึงรีบกระพือปีกบินให้ไว แต่กลับไม่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือมารของผู้ที่มาได้
ชายหนุ่มชุดม่วงคนนึ่งคว้าอินทรีเทพมาไว้ในมือ แล้วก็รีบเหาะลงมา เหาะผ่านท้องฟ้าเหนือแนวภูเขาเป็นวิถีเส้นโค้ง สุดท้ายก็มาเหยียบลงบนภูเขาลูกหนึ่ง ท่วงท่างดงามปราดเปรียว ผลักอินทรีเทพมาตรงหน้าเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม “คุณชายห้า ดูว่าใช่ตัวที่ท่านต้องการหรือไม่”
เขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลิงเทียน ทูตซ้ายของอิงอู๋ตี๋แห่งตำหนักดาวทักษิณของทะเลดาวนักษัตร
พื่อให้ติดต่อกับกำลังพลเบื้องล่างได้สะดวก ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋จึงฝากฝังให้อวิ๋นจือชิวที่กลับมาบ่อยๆ นำระฆังดารามาให้ทูตซ้ายที่เฝ้าตำหนักเพื่อสร้างช่องทางติดต่อ หลิงเทียนเองก็รู้ว่าตอนนี้เหมียวอี้มีตำแหน่งที่พิภพใหญ่แล้ว เหล่าพี่น้องกลุ่มใหญ่หวังจะได้หากินเพราะคุณชายห้าท่านนี้ ดังนั้นเขาจึงเคารพนับถือมาก
หลังจากได้รับแจ้งจากเหมียวอี้แล้ว หลิงเทียนก็รีบมาพบหน้าเหมียวอี้ก่อน
ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงเท่าเฟิงเป่ยเฉิน เหาะตามความเร็วของเฟิงเป่ยเฉินไม่ทัน ต้องอาศัยสัตว์พาหนะคอยช่วย ไม่อย่างนั้นต่อให้ได้ประมือกับเฟิงเป่ยเฉินอีก ก็จะปล่อยให้เฟิงเป่ยเฉินหนีไปง่ายๆ อีกอยู่ดี ตอนนี้เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ไม่ได้นำสัตว์เทพดีๆ จากพิภพใหญ่สักตัวมาเป็นพลังเท้าให้ตัวเอง
เพียงเพราะตอนอยู่ที่พิภพใหญ่เขาได้เข้าใจสถานการณ์ของเฮยทั่นแล้ว อาชามังกรแบบเฮยทั่นกำลังอยู่ในสภาวะวิวัฒนาการ ถ้าวิวัฒนาการสำเร็จขึ้นมา ก็จะเป็นสัตว์พาหนะระดับสูงที่เหาะได้ เพียงรอดูผลลัพธ์การวิฒนาการของมัน ว่าการตื่นตัวของสายเลือดจะเอนเอียงไปทางมังกร หรือจะเอนเอียงไปทางอาชาสวรรค์
สัตว์พาหนะที่ยังรักษาสติปัญญาไว้ได้ประเภทนี้ เหนือกว่าสัตว์พาหนะประเภทที่โดนลดสติปัญญาให้หลับหูหลับตายอมรับเจ้าของ พวกมันมีการปรับตัวให้มีความสามารถในการเป็นฝ่ายรุกโจมตี
สัตว์เทพดีๆ ราคาแพงเกินไปแล้ว จะไม่ให้แพงก็ไม่ได้ สัตว์เทพดีๆ ตัวหนึ่งมีค่าเท่ากับชีวิตคนคนหนึ่งในยามคับขัน ราคาไม่ได้ต่ำกว่าเกราะรบผลึกแดงหนึ่งชุดเลย เพื่อสัตว์เทพตัวหนึ่งที่โดนลดสติปัญญาแล้ว เขารู้สึกว่าการจ่ายเงินมากขนาดนั้นไม่คุ้มค่า
ที่จริงก็ไม่ได้เป็นเพราะมีเงินหรือไม่มีเงิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เหมียวอี้ไม่ค่อยสนใจสัตว์พาหนะเท่าไรนัก เขารอการตื่นรู้ทางสายเลือดของเฮยทั่นมาตลอด เฝ้ารอเจ้าอ้วนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา เจ้าอ้วนที่วิ่งมาตรงหน้าเขาพร้อมบาดแปลเต็มตัวตอนอยู่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ในด้านอารมณ์ความรู้สึก เขากำลังเฝ้ารอมันมาตลอด
ดังนั้นสัตว์เทพหลายตัวที่เขาได้มาจากการทดสอบหนึ่งร้อยปีจึงมอบให้พวกอวิ๋นจือชิวไปหมด ให้พวกนางไว้ป้องกันตัว เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะได้หนีได้ไว้
ตอนกลับมาจากการทดสอบก็เห็นผีจวินจื่อขุดทางใต้ดินใหม่ หลังจากถามอะไรบางอย่างกับผีจวินจื่อแล้ว ตอนที่เขากลับไปหาพวกอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก มอบสัตว์เทพทั้งหมดให้ไปเลย ไม่เหลือไว้สักตัว
ตอนนี้พอถึงเวลาที่จะใช้งานถึงได้แค้นที่ขาดแคลน ในขณะที่หมดทางเลือก จึงทำได้เพียงเรียกหลิงเทียนให้มาหาก่อน
เมื่อได้อินทรีเทพมาไว้ในมือ เหมียวอี้ก็หยิบท่อนไม้สีขาวที่เหมือนเลอะรอยเลือดออกมา เก็บอินทรีเทพเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วพลิกดูท่อนไม้ที่มีขนาดใหญ่เท่าครึ่งฝ่ามือ ตอนที่พลิกดูได้กลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้จิตใจสดชื่น
หลิงเทียนที่อยู่ข้างๆ ถามอย่างแปลกใจว่า “คุณชายห้า นี่มันของอะไรกัน?”
“ไม่รู้ว่าเป็นของอะไร ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่เฟิงเป่ยเฉินจะนำมาสู้กับข้า” เหมียวอี้ตอบ
“ใช้ไม้ท่อนเดียวมาสู้กับคุณชายห้าเหรอ?” หลิงเทียนถามอย่างสงสัย แล้วจ้องมองพลางครุ่นคิด
เหมียวอี้โยนท่อนไม้ไว้บนพื้น แล้วโบกมือเรียกทวนเกล็ดย้อนออกมา ก่อนจะร่ายอิทธิฤทธิ์แทงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ท่อนไม้ที่ถูกเสียบอยู่บนหัวทวนถูกถือขึ้นมา หลิงเทียนก็ยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ เช่นกัน มันถูกแทงทะลุได้ง่ายมาก เหมือนจะไม่ได้แปลกประหลาดอะไร
เหมียวอี้ดึงท่อนไม้ออกจากหัวทวน ปรากฏว่าเห็นรอยแผลที่โดนแทงทะลุบนท่อนไม้กลับมาหลอมประสานกันอีกครั้ง ค่อนข้างแปลกจริงๆ แต่ต้านทานการโจมตีของทวนเกล็ดย้อนไม่ไหวเลย
เหมียวอี้จึงโยนท่อนไม้ลงบนพื้นแล้วแทงซ้ำอีกหลายครั้ง ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม
ตอนที่เก็บของขึ้นมาอีกครั้งเขาก็เริ่มกลุ้มใจแล้ว ของสิ่งนี้สามารถต้านทานการโจมตีจากทวนวิเศษของตนได้เหรอ?
เขาจำเป็นต้องหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับฉินซีอีกครั้ง ถามว่านางเข้าใจผิดหรือเปล่า
ฉินซีตอบว่า : ไม้ที่หนาเท่าฝ่ามือย่อมต้านทานการโจมตีของเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว ใช้ดาบฟันก็เข้าไปได้แค่นิ้วเดียว แต่ถ้ามันหนาเพียงพอ ความแข็งแรงยืดหยุ่นก็สูงมาก อาศัยให้เฟิงเป่ยเฉินให้วรยุทธ์ทั้งหมดที่มีฟันไปหนึ่งครั้ง แต่ก็ยังฟันได้ไม่ลึกเท่าไร เฟิงเป่ยเฉินต้องการจะนำทั้งต้นมาทำเป็นอาวุธ เจ้าอย่าประมาทเชียวนะ!
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! หลังจากเหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้ว ก็หยิบหินผลึกไขมันเพลิงออกมาก้อนหนึ่ง เขาร่ายอิทธิฤทธิ์จุดไฟ แล้วควบคุมไฟให้เผาท่อนไม้ท่อนนั้น
เป็นอย่างที่ฉินซีบอกไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ ท่อนไม้นี้ติดไฟได้ยากมาก ไม่ใช่ว่าเผาแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ใช้เวลานานมากกว่าจะติดไฟ มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือยิ่งเผายิ่งหอม กลิ่นหอมมาก
แต่ถ้าต้องสู้กับเฟิงเป่ยเฉินขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เฟิงเป่ยเฉินจะรอให้ท่อนไม้ถูกเผาหมดก่อนค่อยสู้กับเจ้า
หลิงเทียนที่กำลังดูอยู่พยักหน้าบอกว่า “ท่อนไม้นี้ค่อนข้างแปลกจริงๆ”
เหมียวอี้กลับเก็บหินผลึกไขมันเพลิงแล้ว ใช้ฝ่ามือรองท่อนไม้ท่อนนั้นขึ้นมา แล้วจู่ๆ เปลวเพลิงที่ใสโปร่งแสงเหมือนน้ำกลุ่มหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากฝ่ามือ มาครอบเผาไม้ท่อนนั้น
หลิงเทียนตาเป็นประกาย เห็นเพียงท่อนไม้ในฝ่ามือเหมียวอี้เลื้อยราวกับมีชีวิตขึ้นมา จู่ๆ ก็เริ่มงอเบี้ยวหดลง กำลังเผาไหม้อย่างรุนแรง ไม่นานก็หดกลายเป็นถ่านสีดำก้อนหนึ่ง
เปลวเพลิงน้ำหดกลับเข้าไปในฝ่ามือเหมียวอี้ พอเหมียวอี้กำมือก็เกิดเสียงดังกรอบ พอแบมืออีกครั้ง ท่อนไม้เล็กก้อนนั้นก็กลายเป็นเถ้าปลิวไปแล้ว
เหมียวอี้โค้งมุมปากยิ้ม อีกประเดี๋ยวเฟิงเป่ยเฉินอย่าร้องไห้ก็แล้วกัน!
หลิงเทียนทำสายตาเหมือนถามว่าสิ่งที่โผล่ออกมาจากฝ่ามือเหมียวอี้เมื่อครู่นี้คืออะไร
เหมียวอี้ไม่ได้อธิบาย ทั้งสองมองไปรอบๆ เช่นกัน ท่อนไม้นั่นถูกเผนทำลายไปแล้ว แต่กลิ่นหอมที่กระจายออกมากลับดึงดูดสัตว์เล็กในป่าภูเขารอบๆ ให้มาทางนี้
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าท่อนไม้นี้จะมีสรรพคุณที่อัศจรรย์ขนาดนี้ หลิงเทียนร่ายอิทธิฤทธิ์โบกมือ ไล่สัตว์เล็กที่อยู่รอบๆ ให้แยกย้ายออกไป
หลิงเทียนหันกลับมาถามว่า “คุณชายห้า จะลงมือเมื่อไรขอรับ?”
เหมียวอี้ปัดขี้เถ้าในมือแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ฝั่งอวิ๋นจือชิวให้พวกเรารอสักหน่อย ต้องรอให้ยอดฝีมือของแดนอู๋เลี่ยงไปรวมตัวที่นภาอู๋เลี่ยงให้หมดก่อน รอให้กองทัพใหญ่บุกโจมตีจนอีกฝ่ายหมดพลานุภาพ แล้วค่อยลงมือทีหลัง รอก่อนแล้วกัน จะได้ถือโอกาสรอให้พวกพี่ใหญ่มาด้วย ถึงตอนนั้นจะขุดรากถอนโคนกำลังสำคัญของเฟิงเป่ยเฉินให้หมดเพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง”
ที่จริงเขาไม่อยากรอนานเลย เป็นห่วงฉินเวยเวยที่ตกอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉิน กลัวว่าปล่อยให้เวลายืดเยื้อแล้วจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ถ้าไม่ใช่เพราะมีฉินซีคอยดูอยู่ แล้วบอกว่าจะติดต่อเขาทันทีที่เกิดเหตุไม่ชอบมาพากล เขาก็คงจะรอไม่ไหวจริงๆ…
ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น เงาคนคนหนึ่งแวบออกมา มาเหยียบลงที่ตำหนักอู๋เลี่ยง เป็นเฟิงเป่ยเฉินนั่นเอง
ฉินซีที่ตัดต้นไม้รอเงียบๆ อยู่ในลานบ้านเอียงหน้าเล็กน้อย ถามเสียงเรียบว่า “ทำเสร็จแล้วเหรอคะ?”
พอเฟิงเป่ยเฉินใช้สองมือเรียกออกมา ท่อนไม้กลมใหญ่สองชิ้นที่ยาวครึ่งจั้งก็ปรากฏอยู่ในมือเขาแล้วโบกไปมา
ฉินซีที่เย็นชามาตลอดกระตุกมุมปากเล็กน้อย นี่นับว่าเป็นอาวุธอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นไม้กระบองใหญ่สองด้าม เป็นไม้กระบองใหญ่ที่ผู้หญิงในโลกมนุษย์ใช้ซักผ้าริมลำธาร แต่เป็นแบบที่ขยายให้ใหญ่ขึ้น
ที่จริงก็เป็นแค่ลำต้นที่กำจัดเปลือก ใบและกิ่งทิ้งไปแล้ว แล้วค่อยฟันให้ขาดครึ่งเป็นสองท่อน ส่วนปลายถูกตัดแต่งให้เป็นสองจุดที่จับถือได้สะดวก เหมือนไม้กระบองใหญ่สองด้ามมาก
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ฉินซีที่นิสัยเย็นชาก็ยังทำท่า ‘ตกตะลึง’ เฟิงเป่ยเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น “อย่าไปมองว่ามันน่าเกลียดนะ มันใช้ดีกว่าอะไรทั้งนั้น”
…………………………