ตอนที่ 553 จวนชางไห่ปรากฏ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ประตูห้องถูกผลักออก และหน้าประตูก็มีชายชรากลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้วยท่าทีที่โหดร้ายเหมือนจะคุกคาม

“นายน้อย จะไม่ชี้แจงให้พวกเราทราบสักหน่อยเหรอ!”

“นายน้อยเช่นนี้ ยากที่จะแบกรับภารกิจสำคัญ”

“……”

ชายชราแต่ละคนแก่จนจะต้องฝังดินอยู่แล้ว ทันทีที่เข้ามาต่างก็ชี้นิ้วไปที่โม่ซางคง

มู่เฉียนซีพบว่ากองกำลังระดับหนึ่งของเสียโจว กับกองกำลังระดับหนึ่งของเซี่ยโจวนั้นมีความแตกต่างกันมากยิ่งนัก

ในตอนนั้น สำนักอวิ๋นเยียนเป็นสำนักนิกายระดับหนึ่ง หนึ่งเดียวในเซี่ยโจว ถือดีว่าตนเองเหนือคนทั้งปวง คำพูดของเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนนั้นเป็นคำขาด พูดคำไหนคำนั้น

ทว่า ในเสียโจวกลับมีความแตกต่างกันมาก อำนาจของเหล่าผู้อาวุโสนั้นยิ่งใหญ่นัก!

โม่จิ่นกล่าวว่า “ให้ข้าเป็นคนชี้แจงเถอะ! ข้าถูกส่งตัวไปยังเกาะวิญญาณมรณะ หวังว่าทุกท่านคงมิได้ตาบอดหรอกกระมัง”

“สาเหตุที่ข้าออกมาจากเกาะวิญญาณมรณะได้นั้น ก็เป็นเพราะว่า……”

แรงกดดันของขั้นมหาจักรพรรดิได้แผ่ซ่านออกมาจากร่างของโม่จิ่น โม่จิ่นทำเสียงฮึดออกจากจมูก ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าคิดว่า หากพวกเจ้ามีสมอง ก็คงไม่จำเป็นต้องให้ข้าชี้แจงต่อแล้วกระมัง!”

สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสพลันเปลี่ยนไปมาก “พลังวิญญาณขั้นมหาจักรพรรดิ!”

“นี่เจ้าทะลวงพลังวิญญาณขั้นมหาจักรพรรดิได้แล้ว!”

“เป็นไปไม่ได้ เกาะวิญญาณมรณะ ไม่มีผู้ใดสามารถทะลวงพลังวิญญาณขั้นมหาจักรพรรดิได้เด็ดขาด”

“ข้านั้นโชคดี พวกเจ้าจะฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้รึ ?”

คนของตำหนักโม่อวี่เหล่านั้นต่างก็หันไปมองผู้อาวุโสสูงสุด ในพวกเขามีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดผู้เดียวเท่านั้นที่มีพลังวิญญาณขั้นมหาจักรพรรดิ และมีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นที่จะตีเสมอกับโม่จิ่นได้

ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มพลางกล่าวว่า “เสี่ยวจิ่น พรสวรรค์เป็นเลิศจริง ๆ สามารถทะลวงพลังขั้นมหาจักรพรรดิได้ ยินดีด้วย ยินดีด้วย!”

ตาเฒ่าผู้นี้เปลี่ยนสีหน้าได้เร็วกว่าพลิกหน้ากระดาษซะอีก เขาได้เก็บงำความก้าวร้าวเอาไว้ และได้กลายเป็นผู้ที่ใจดีอย่างหาที่เปรียบมิได้

โม่ซางคงกล่าว “อาจิ่น ยินดีกับเจ้าด้วย!”

“เหอะ! ดูเหมือนว่าตำหนักโม่อวี่ของพวกเจ้า คิดจะปล่อยสัตว์ร้ายตัวนี้แล้วสิ”

ชายชราผู้ที่มีเคราสีขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ข้างกายเขาก็คือชิงฮุ้ยในอาภรณ์สีแดง ในตอนนี้ใบหน้าของนางยังคงโกรธเกรี้ยวอยู่ “เจ้าเศษเดนนรกผู้นี้ทำร้ายพี่สาวของข้าจนป่วยหนักมาจวบจนถึงวันนี้ ถึงแม้ว่ามันจะทะลวงพลังขั้นมหาจักรพรรดิได้แล้ว แต่ความผิดของมันก็มิอาจยกโทษให้ได้!”

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวว่า “หนุ่มสาวย่อมมีช่วงเวลาที่วู่วาม มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ตำหนักโม่อวี่ของพวกเราก็ได้ลงโทษโดยการส่งไปยังเกาะวิญญาณมรณะแล้ว เรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานแล้ว ข้าว่าหอชิงลั่วคงจะไม่ติดใจเอาความอะไรอีกกระมัง!”

มหาจักรพรรดิที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปี อัจฉริยะเช่นนี้จักต้องมีไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบขี้หน้าโม่จิ่น แต่ก็จำต้องปกป้องมันไว้อยู่ดี

ยอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิ เป็นไพ่เด็ดสำคัญของกองกำลังเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งมียอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นกองกำลังระดับสองมากยิ่งขึ้น

ตำหนักโม่อวี่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะปกป้องโม่จิ่น ผู้อาวุโสรองแห่งหอชิงลั่วกล่าวอย่างโหดเหี้ยมว่า “หอชิงลั่วของพวกข้า จะไม่ยอมลืมมันไปง่าย ๆ เช่นนี้แน่”

มู่เฉียนซีที่นั่งเป็นผู้ชมที่ดีอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ เห็นการกระทำที่ย้อนแย้งของผู้อาวุโสสูงสุดก็รู้ทันทีว่า ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะความแข็งแกร่งของโม่จิ่นทั้งสิ้น

ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นอาหารของผู้แข็งแกร่ง นี่คือกฎในการมีชีวิตรอดในโลกใบนี้

ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มพลางกล่าว “นายน้อยกับโม่จิ่น จะไม่เชิญข้านั่งสักหน่อยเหรอ ?”

โม่ซางคงกล่าว “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด เชิญด้านในขอรับ”

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “ในตอนแรก ตำหนักโม่อวี่ของเราก็ถูกบีบบังคับให้กระทำเช่นนั้น หวังว่าเสี่ยวจิ่นคงจะไม่ถือโทษโกรธ วันนี้เจ้าก็ได้ออกมาแล้ว ออกมาแล้วก็แล้วหล่ะ ออกมาแล้วก็ดีแล้ว”

โม่จิ่นปริปากกล่าวถามว่า “เดิมทีข้าคิดว่าจะพักอยู่ที่เกาะใต้สักพัก แล้วค่อยไปพบพวกเจ้าที่ตำหนักโม่อวี่ นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอกับผู้อาวุโสสูงสุดและอาคงที่เกาะใต้ หรือว่าจวนชางไห่จะปรากฏขึ้นแล้วงั้นเหรอ”

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “เสี่ยวจิ่นเดาถูกแล้วหล่ะ จวนชางไห่กำลังจะปรากฏขึ้นในไม่ช้า เจ้าเพิ่งจะทะลวงพลังขั้นมหาจักรพรรดิได้ หากเจ้าโชคดี หาทักษะวิญญาณของตัวเองได้ ก็จะทำให้ความแข็งแกร่งของเจ้าก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น”

มุมปากของโม่จิ่นยกยิ้มขึ้น “เช่นนั้นก็ขอให้เป็นดั่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวก็แล้วกัน”

หลังจากที่ผู้อาวุโสสูงสุดทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้เผชิญหน้ากับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของโม่จิ่น และความเมินเฉยจากโม่ซางคง จนในที่สุดก็รู้สึกหดหู่ และทำได้เพียงจากไป

มู่เฉียนซีกล่าว “จวนชางไห่คือสิ่งใดกัน ?”

โม่จิ่นกล่าว “จวนชางไห่ เป็นจวนที่จักรพรรดิชางไห่หลิงเต้ทิ้งไว้ให้เป็นมรดก ในเสียโจว มีสถานที่สองแห่งที่ได้ซ่อนทักษะวิญญาณเอาไว้มากมาย ที่แรกเป็นกองกำลังระดับสอง ก็คือสำนักศึกษาซวนเสีย และสถานที่ที่สองก็คือจวนชางไห่ จักรพรรดิชางไห่หลิงตี้เคยเป็นผู้ที่มีความรู้มากที่สุดในเสียโจว”

มู่เฉียนซีกล่าว “เป็นผู้ที่มีความรู้มากที่สุดงั้นเหรอ ? ดูเหมือนข้าจะสนใจเข้าแล้วสิ”

เพิ่งจะออกมาจากเซี่ยโจว นางนั้นไม่ค่อยจะเข้าใจเกี่ยวกับแดนใต้และโลกสี่ทิศมากนัก  ดังนั้นจึงต้องรีบไปสถานที่ที่เติมพลังสักหน่อย

“ข้าเป็นผู้อาวุโสพลังขั้นมหาจักรพรรดิผู้หนึ่ง จะนำคนคนหนึ่งไปจวนชางไห่ด้วย ผู้อาวุโสเหล่านั้นคงจะไม่ถือสาอะไรหรอกกระมัง บางครั้งการได้เป็นผู้อาวุโสนี่ก็ดีเหมือนกันนะ” โม่จิ่นยิ้มพลางกล่าว

“จวนชางไห่ ชื่อเสียงมากเพียงนี้ หากทันทีที่ปรากฏขึ้น กองกำลังทุกกองกำลังจะไม่มารวมตัวกันเหรอ!”

โม่จิ่นกล่าว “เคยมีกองกำลังหลายแห่งต่อสู้กันในจวนชางไห่ ทำให้ของล้ำค่าในจวนเกิดความเสียหายขึ้น สำนักศึกษาซวนเสียจึงได้ออกหน้า สำนักนิกายระดับหนึ่งทั้งสิบแปดสำนักแห่งเสียโจว ทุกครั้งที่จวนชางไห่ปรากฏขึ้น จะเข้าไปได้ทีละสามสำนัก แต่ละครั้งก็ต้องต่อแถวกันเข้าไป”

เซี่ยโจวมีสำนักอวิ๋นเยียนสำนักเดียว ที่เป็นสำนักนิกายระดับหนึ่ง แต่เสียโจวมีตั้งสิบแปดสำนัก ไหนจะมีกองกำลังระดับสองอีก แท้ที่จริงแล้ว บนโลกใบนี้ เซี่ยโจวเป็นดินแดนที่ล้าหลังเกินไปจริง ๆ!

โม่จิ่นมองโม่ซางคงและกล่าวว่า “นอกจากตำหนักโม่อวี่ กับหอชิงลั่วแล้ว ยังมีสำนักไหนอีก ?”

“สำนักเทียนกัง!” โม่ซางคงตอบ

ไม่ได้เจอสหายรักมาหลายปี ถึงแม้ว่าโม่ซางคงจะไม่ได้กล่าวอะไรมาก ทว่าพวกเขายังอยากจะพูดคุยกันต่อ

มู่เฉียนซีไม่อยากรบกวน จึงได้กลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม

นางได้เลือกห้องชั้นบนที่ดีที่สุด เปิดหน้าต่างก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ของมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ นางพึมพำว่า “จวนชางไห่เหรอ ? ไม่รู้ว่าจะได้พบเบาะแสอะไรที่มีประโยชน์บ้าง ?”

“คัมภีร์หมื่นคำสาป ไหนจะมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์อีก โดยเฉพาะ มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ธาตุอัคคี”

กองกำลังทั้งสามมารวมตัวกัน เตรียมพร้อมที่จะเดินทางจากเกาะใต้ไปยังจวนชางไห่

“นี่นางมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ?” ชิงฮุ้ยสังเกตเห็นสตรีที่มากับโม่จิ่น นางรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

มู่เฉียนซีเลิกคิ้วพลางกล่าว “ทำไมข้าจะอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ?”

“เจ้าไม่ใช่คนของตำหนักโม่อวี่ เจ้าเป็นเพียงแค่หญิงสาวชาวป่าที่โม่จิ่นพามาก็เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปในจวนชางไห่ด้วยซ้ำ……”

ชิงฮุ้ยกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด แต่ร่างในชุดม่วงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ขาซ้ายกวาดเพียงครั้งเดียว

ตูม! เสียงร่างที่ตกลงไปในน้ำดังขึ้น

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ในที่สุดก็เงียบได้สักที”

มู่เฉียนซีลงมือได้อย่างรวดเร็วจนนางมิอาจตั้งตัวทัน ทำให้พวกเขาตกใจผงะไปครู่หนึ่ง

ผู้อาวุโสรองชิงซ่านของหอชิงลั่วกล่าวว่า “สาวน้อย เจ้าบังอาจยิ่งนัก กล้าลอบกัดคุณหนูรองของพวกข้า”

มูเฉียนซีกล่าว “หญิงผู้นั้น ไร้การอบรมสั่งสอนเช่นนั้นคงมิใช่ลูกเมียหลวงแน่นอน เป็นเพียงลูกเมียรองกระมัง ข้าทำไปแล้วก็คือทำไปแล้ว หวังว่าหอชิงลั่วของพวกเจ้า คงไม่รู้อยากต่อกรกับโม่จิ่นเพื่อบุตรสาวของเมียน้อยผู้เดียวหรอกกระมัง ?”

สีหน้าของชิงซ่านเขียวคล้ำด้วยความโกรธ

“อีกอย่าง โดนข้าลงมือไปแค่กระบวนท่าเดียวก็ลอยแล้ว คนไร้ประโยชน์เช่นนี้ ยังกล้ามีหน้ามาว่าข้าไม่มีสิทธิ์เข้าไปในจวนชางไห่ แล้วคนเยี่ยงนางมีสิทธิ์อะไรเหรอ!”

“เจ้า! เจ้ายืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวเช่นนี้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายคนอื่นโดยไร้สาเหตุเด็ดขาด ครั้งนี้ ต่อให้ตำหนักโม่อวี่ยอมให้เจ้าไปจวนชางไห่ แต่หอชิงลั่วพวกข้าจะไม่มีทางยอมเด็ดขาด!”