ภายในกระท่อมฟาง โดย Ink Stone_Fantasy
คลื่นโลหิตแผ่กระจายท่วมท้นโลกน้ำแข็ง มีผลึกน้ำแข็งบางส่วนที่ยามถูกไหลท่วมยังไม่แตกกระจาย แต่ก็ทานทนได้เพียงชั่วขณะ ท้ายที่สุดก็ยังสูญสลาย เพราะใน ‘บริเวณค่ายสังหาร’ ความเสียหายที่ได้รับจะทวีขึ้นไม่หยุด ทั้งยังผ่านการ ‘บำเพ็ญในห้วงนิทรา’ มาอีกด้วย ในห้วงนิทรานั้นมีการบำเพ็ญและการต่อสู้อยู่ตลอด ทำให้ ‘บริเวณค่ายสังหาร’ ได้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้มามากมายนับไม่ถ้วน จึงทวีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ทะเลโลหิตที่ล้อมรอบแผ่กระจายกวาดไปรอบทิศทาง ผลึกน้ำแข็งก็มิอาจคุกคามต่อไปได้อีก
“ในที่สุด…ในที่สุดก็ต้านทานการจู่โจมของคลื่นระลอกแรกได้เช่นนี้เองหรือ” ชายชราผมขาวตกตะลึงอยู่บ้าง “เขตแดนที่เขาสำแดงอ้างอิงจากกฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่ม ความเร้นลับที่ใช้ทั้งหมดก็ยังจัดอยู่ในขั้นบุกเบิกเช่นเดิม ทว่ากลับทรงพลังได้ถึงระดับนี้เชียวหรือ”
เช่นเดียวกับผู้ครองชิง การรวมกันของหลายวิถีในยามเป็นผู้เคารพก็สามารถต่อกรกับผู้ปกครองได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตระหนักรู้วิถีสามสาย ส่วนการผนวกรวมกันของวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นนั้นอาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
“พรึ่บๆๆ”
อุณหภูมิยังคงลดต่ำลง
ท่ามกลางคลื่นโลหิตที่แผ่กระจาย ถึงกับมีของเหลวสีดำกลั่นตัวออกมา ของเหลวสีดำหยดแล้วหยดเล่าปรากฏขึ้นภายใน ‘บริเวณค่ายสังหาร’ ถึงแม้ว่าจะมิได้แตกสลายไปทันทีภายในระยะเวลาอันสั้น หากแต่ดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่น! อีกทั้งจำนวนของของเหลวสีดำยังเพิ่มมากขึ้นตามอุณหภูมิที่ลดต่ำลงด้วย
“การทดสอบการเอาตัวรอดระลอกที่สองเริ่มต้นขึ้นแล้ว” ชายชราผมขาวส่ายศีรษะมอง “คราวนี้อาจจะอันตรายยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว”
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว
ตอนนี้ของเหลวสีดำที่ควบแน่นออกมาหยดแล้วหยดเล่า ในที่สุดก็สามารถเบียดเข้ามาในบริเวณค่ายสังหารได้ชั่วอึดใจหนึ่ง แต่เพราะว่าของเหลวสีดำเกิดเพิ่มขึ้นมาไม่หยุด ดังนั้นพอเวลาผ่านไปของเหลวสีดำในบริเวณค่ายสังหารอันกว้างใหญ่ก็เพิ่มพูนขึ้นไม่หยุด แม้ว่าพวกมันจะมิได้โจมตี แต่ชัดเจนว่ากำลังสะสมพลัง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกถึงได้ภัยคุกคามลางๆ
“ใช้ได้นี่ มาเถิด มาดูกันว่าจะร้ายกาจสักเพียงใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง อย่างมากตนก็หลบเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม อาศัยฟ้าดินโลกเทียมและวิธีการทางด้านอากาศในการหลบซ่อน ถึงแม้ว่าจะมีเศษเสี้ยวพลังสามารถโจมตีตนได้ แต่ด้วยร่างกายของตนก็สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดายยิ่ง
แต่ว่า…
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความมั่นใจในตนเองเป็นอย่างมาก ตนมิได้ถูกบีบบังคบจนทำได้เพียงหลบซ่อนตัวเพื่อเอาชีวิตรอด
“ปัง!!!”
ของเหลวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันขยับเขยื้อน เคลื่อนผ่านระลอกคลื่นสีแดงโลหิตกลางบริเวณค่ายสังหารแล้วพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกัน
“ปรัชญาคลื่นลมตอนที่สอง!” ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันสะเทือนบนผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง ระลอกคลื่นอันไร้ที่สิ้นสุดหลอมรวมกับทั้งบริเวณค่ายสังหารในทันที แล้วพุ่งออกไปรอบทิศทาง ยามที่สัมผัสกับของเหลวสีดำ ปัง ปัง ปัง!!! ของเหลวสีดำทุกหยดต่างก็ระเบิดออกหมด หยดของเหลวสีดำแทบทั้งหมดก็สูญสลายไปในทันใด
นี่ก็คือตอนที่สองของปรัชญาคลื่นลม ศาสตร์ลับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างขึ้นเอง ผนวกรวมกันกับเคล็ดสังหารของบริเวณค่ายสังหาร
บริเวณค่ายสังหารก็เป็นการผนวกรวมกันของวิถีเข่นฆ่ากับวิถีระลอกคลื่น!
ศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมก็เช่นเดียวกัน
ณ ช่วงเวลาที่บำเพ็ญในห้วงนิทรา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นำทั้งสองสิ่งผนวกรวมกันขึ้นมา ทำให้พลังคุกคามของบริเวณค่ายสังหารเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล นี่ก็คือปรัชญาคลื่นลมเพียงหนึ่งเดียวที่สร้างขึ้นโดยบริเวณค่ายสังหารล้วนๆ
“นี่ นี่มัน…” ชายชราผมขาวมองด้วยดวงตาอันเบิกโพลง ของเหลวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นระเบิดออกแทบหมดสิ้นในชั่วขณะเดียว นี่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง “ท่านเจ้าของสรรสร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมาจนถึงบัดนี้ นี่คือยุคจักรวาลที่แปดแล้ว ในยุคนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกได้เลย ถึงแม้ว่าทั้งเจ็ดยุคก่อนหน้าก็มีคนผ่าน แต่ก็มิได้อุกอาจเช่นนี้เสียหน่อย”
ใช่แล้ว ตัวการทดสอบเองก็อุกอาจยิ่งนัก การจู่โจมอย่างมืดฟ้ามัวดินนับครั้งไม่ถ้วน ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็ควรหลบซ่อนตัวเพื่อรักษาชีวิต
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับบดขยี้การจู่โจมทั้งหมดจนแตกกระจุยอย่างซึ่งๆ หน้า
“ระลอกที่สาม แล้วก็เป็นระลอกสุดท้ายแล้ว” ชายชราผมขาวมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างคาดหวัง
พื้นน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาลของโลกน้ำแข็งกลับกลายเป็นละลายตามอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นกับตาว่าดินแดนอันหนาวเหน็บหลอมละลายกลายเป็นของเหลวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ของเหลวสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วแล้วเปลี่ยนแปรเป็นสัตว์ร้ายขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่ง สัตว์ร้ายตัวสีดำคล้ายกับมังกรเกล็ดสีดำ เพียงแต่กรงเล็บหน้าทั้งคู่ของมันใหญ่โตน่ากลัวเป็นพิเศษ
“เด็กดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองสัตว์ร้ายสีดำที่แปลงมาจากพื้นน้ำแข็งทั้งหมด สัตว์ร้ายสีดำจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วส่งเสียงคำรามก้องโลกเสียงหนึ่ง
พร้อมกันนั้นมันก็บินเข้ามาในทันใด
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งเสียงเฮอะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาพลันสั่นสะท้าน บริเวณค่ายสังหารก็โจมตีออกไปรอบทิศทางอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลได้จู่โจมบนร่างของสัตว์ร้ายสีดำที่บินเข้ามาตัวนั้น พื้นผิวร่างกายของสัตว์ร้ายสีดำล้วนถูกสั่นสะเทือนจนทลาย มีของเหลวสีดำสายแล้วสายเล่าไหลออกมา แต่ก็ยังสามารถรักษาร่างกายมหึมาหาใดเปรียบของมันเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
“ปรัชญาคลื่นลมบทที่สาม ทำลาย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงสับมือขวาลงอย่างเดือดดาลในทันใด แขนข้างขวาเงื้อขึ้นสูง ปิดฟ้าบังตะวัน จากนั้นก็สับฝ่ามือขวาลงอย่างเดือดดาลราวกับขวานใหญ่ปื้นหนึ่ง แล้วสัตว์ร้ายมหึมาสีดำก็เงื้อกรงเล็บหน้าตะปบไปทางฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิง
ปึง!
ฝ่ามือหนึ่งตะปบลงมา
ร่างกายของสัตว์ร้ายสีดำพลันสั่นสะท้าน จากนั้นก็แตกสลายกลายเป็นของเหลวสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด แล้วสูงขึ้นไปตามอุณหภูมิของฟ้าดิน ของเหลวสีดำกระจัดกระจายกลายเป็นกระแสอันหนาวเหน็บไร้ที่สิ้นสุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บบริเวณค่ายสังหารแล้ว แต่ยังคงยืนขมวดคิ้วอยู่ที่เดิม
“ปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่…คงจะหมดจดยิ่งกว่านี้อีก” ในห้วงความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดมากมายกระทบกระแทกกันโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้วเขาก็ไม่กล้าบำเพ็ญเลย ด้วยกลัวว่าหากไม่ระวัง ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็จะบรรลุไปถึงขั้นผู้ปกครอง! หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบของขั้นบุกเบิกอีกต่อไปแล้ว
และตอนนี้เนื่องจากเขาสำแดงปรัชญาคลื่นลมเพื่อการต่อสู้ ได้สำแดงความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของปรัชญาคลื่นลมออกมาอย่างเต็มที่ จนเริ่มกระทบเข้ากับสิ่งที่เขาได้รับรู้มาเป็นจำนวนมากก่อนตนจะเข้าสู่การบำเพ็ญในห้วงนิทรา จึงย่อมเกิดความคิดบางอย่างเกี่ยวกับปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่ของตนขึ้นมาเป็นธรรมดา
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีด้วย เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว” ชายชราผมขาวตกตะลึงเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเข้ามาแสดงความยินดี
“ถ้าหากตอนนี้ข้าบรรลุถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว ก็สามารถได้รับของขวัญจากท่านบรรพชนเช่นเดียวกันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าก็ผ่านการทดสอบแล้ว ตอนนี้การบรรลุไปถึงขั้นผู้ปกครองอีก ก็ย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ชายชราผมขาวเอ่ยอย่างประหลาดใจ “อะไรกัน จะบรรลุแล้วหรือ ก็ถูก การใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของเจ้ามาถึงระดับขั้นนี้ การบรรลุก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”
ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะกำลังสนทนากับชายชราผมขาว ทว่าภายในห้วงความคิดนั้น ความคิดมากมายยังกระทบกระแทกกันอย่างห้ามไม่อยู่ การตระหนักรู้อันมหาศาลในอดีต และการตระหนักรู้ในการบำเพ็ญในห้วงนิทรากระทบและหลอมรวมกันไม่หยุดหย่อน พูดได้ว่าความคิดในใจเก้าสิบเก้าอย่างล้วนอยู่ข้างบนนี้
“พวกเราออกไปกันไหม” ชายชราผมขาวถามกระตุ้น
“ไปสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ และในขณะนี้เขาดื่มด่ำอยู่ท่ามกลางการกระทบกันของการตระหนักรู้อันมหาศาลไปพร้อมกันกับอีกสองร่าง
……
ชายชราผมขาวพาตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากโลกน้ำแข็งแห่งนี้ไปด้วยกัน เขายังส่งเสียงจุ๊ๆ อยู่ข้างๆ “ท่านบรรพชนยังทิ้งการทดสอบนี้เอาไว้ เป็นการทดสอบความสามารถในการเอาตัวรอดรักษาชีวิตของเจ้า ในท้ายที่สุดเจ้าก็สามารถรับมือกับการทดสอบทั้งหมดอย่างซึ่งๆ หน้าได้ ช่างร้ายกาจเสียจริง ร้ายกาจยิ่งกว่าเจ้าเด็กที่เชี่ยวชาญกาลมิติผู้นั้นมากมายเหลือเกิน”
“เชี่ยวชาญกาลมิติหรือ ประมุขเกาะกาลมิติน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดพูดขึ้นมามิได้
“อืม อย่าพูดถึงเขาเลย” ชายชราผมขาวชี้ไปยังกระท่อมฟางสามหลังที่อยู่ไกลออกไปด้วยสายตาเป็นประกาย “โอกาสดีของเจ้ามาถึงแล้ว รีบไปเสีย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เขาคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบรรพชนเทียนอวี๋จะทิ้งอะไรเอาไว้ให้ศิษย์รุ่นหลังอย่างพวกเขาบ้าง
ยามที่อยู่ห่างจากกระท่อมฟางเพียงร้อยสองร้อยเมตร โลกบริเวณรอบๆ ก็เริ่มจะบิดเบี้ยวตามระยะทางที่ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีประสบการณ์จากครั้งก่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบสงบเช่นเดิม ผ่านโลกที่บิดเบี้ยวชั้นแล้วชั้นเล่า เดินผ่านการปกป้องของโลกชั้นแล้วชั้นเล่านี้ ก็มาถึงด้านหน้าของกระท่อมฟางหลังซ้ายสุด
“เข้าไปเถิด” ชายชราผมขาวพูดยิ้มๆ
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
กระท่อมฟางสามหลังนั้น หลังทางด้านซ้ายก็คือหลังที่ผู้ผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ ส่วนหลังกลางนั้นผู้ผ่านการทดสอบขั้นผู้ปกครองจึงจะสามารถเข้าได้ สำหรับหลังทางขวาก็คือคลังสมบัติ
เอี๊ยด… ตงป๋อเสวี่ยอิงผลักประตูไม้ของกระท่อมฟางเบาๆ ประตูไม้ดูเหมือนจะธรรมดาทั่วไป แต่ภายในกระท่อมฟางกลับเต็มไปด้วยความมืดหม่นราวกับน้ำวน ยากจะมองเห็นได้ชัด
ย่างเท้าก้าวเข้าไปในวังน้ำวนอันมืดหม่นนี้
“พรึ่บ”
ฉากตรงหน้าแปรเปลี่ยน
นี่คือบ้านอันแสนธรรมดา ภายในมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง มีเบาะรองนั่งอยู่หนึ่งอัน บนโต๊ะมีเสื้อคลุมสีม่วงอยู่ชุดหนึ่ง เช่นเดียวกับป้ายห้อยสีม่วงอันหนึ่ง
แต่บนเบาะรองนั่งกลับมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด
นั่นคือชายชราที่มีลักษณะหลังค่อมคดผู้หนึ่ง เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม “เจ้าเด็กรุ่นหลัง ว่ากันแล้วจักรวาลของพวกเจ้าก็เป็นข้านี่แหละที่สร้างขึ้นมา สิ่งมีชีวิตในจักรวาลก็นับได้ว่าข้าเป็นผู้สร้างขึ้น เจ้าสามารถผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกมาถึงที่นี่ได้ ก็เป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงแห่ง ‘วังทวีสูญ’ของข้าแล้ว อ้อ วังทวีสูญคือสำนักหนึ่งที่ข้าก่อตั้งขึ้นในตอนแรกที่ข้ารับคำเชิญของ ‘ท่านบรรพชนคีรีมาร’ และ ‘ท่านประมุขเหยากวง’ มายังโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแห่งนี้”