บทที่ 3 บทที่ 3 ตอนที่ 21 ผมคิดจะช่วยคุณ

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 21 ผมคิดจะช่วยคุณ โดย Ink Stone_Fantasy

 

เมื่อหลี่ว์อีอวิ๋นกลับไปที่ห้องของหลี่ว์ปู้ไห่อีกครั้งกลับไม่เห็นลั่วชิวอยู่ที่นี่

สาวน้อยขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่เธอยังคงเดินไปข้างหน้าหลี่ว์ปู้ไห่ คุณปู่เธอยังคงอยู่ในท่าเดิม

แต่ก็เหมือนไม่ใช่ท่าเดิม หลี่ว์อีอวิ๋นสัมผัสได้ว่าหลี่ว์ปู้ไห่ไม่เหมือนปกติเล็กน้อย เขาเงียบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

สาวน้อยถึงขนาดมองไม่เห็นความมีชีวิตชีวาเพียงน้อยนิดในดวงตาของคุณปู่ ราวกับว่าที่อยู่ตรงนี้มีเพียงร่างกายเท่านั้น

ฉับพลันนั้นเธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

สาวน้อยมองดูดวงตาที่ขุ่นมัวไปหมดคู่นี้ ก่อนค่อยๆ ถอยหลังไปทีละก้าวทีละก้าว แล้วปิดปากของตัวเองเบาๆ จนกระทั่งเธอชนเข้ากับหน้าต่างในที่สุด

หลี่ว์อีอวิ๋นเปิดหน้าต่างออกทันที เธอไม่ได้คิดจะเผชิญหน้ากับอาการของหลี่ว์ปู้ไห่เช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงยื่นหัวออกไปสูดอากาศนอกหน้าต่าง

ต้องมีสักวันที่เขาจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป ญาติของเขา บ้านของเขา ทุกๆ อย่างของเขา จนกระทั่งตัวเขาเอง ผลพวงสุดท้ายของโรคอัลไซเมอร์นี้ก็เป็นแบบนี้แหละ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้เลย

สาวน้อยรู้เรื่องพวกนี้มาตั้งนานแล้ว ด้วยยุคสมัยที่สารสนเทศพัฒนาไปไกล เด็กวัยรุ่นจึงศึกษาทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ มากมายได้ง่ายด้วยการค้นหาผ่านอินเทอร์เน็ต

รู้มาตั้งนานแล้วนี่

เพียงแต่ เพียงแต่หวังว่าวันนี้จะมาถึงช้าอีกหน่อย หนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งวัน หรือหนึ่งชั่วโมงก็ยังดี

เธอสูดอากาศบริสุทธิ์ของทะเลเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า อากาศนั้นมีกลิ่นเค็มและสดชื่นเฉพาะตัวของทะเลปนเปอยู่ด้วย แต่กลับไม่ได้ทำให้สาวน้อยคนนี้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด

สุดท้ายหลี่ว์อีอวิ๋นก็ไม่ได้เข้มแข็งแบบที่ตัวเองคิดไว้

น้ำตาของเธอไปไม่ถึงทะเลที่อยู่ข้างหน้า เพียงแค่ไหลลงสู่กลางฝ่ามือของตัวเธอเอง จากนั้นก็ไหลเปื้อนบนขอบหน้าต่าง ไหลรินโดยไร้เสียงร่ำไห้ ทว่าฉับพลันเธอก็เห็นชายวัยรุ่นคนนั้นกำลังมองอะไรอยู่ที่สนามหญ้าข้างๆ

หลี่ว์อีอวิ๋นเปิดประตูระเบียงข้างๆ ออก แล้วเดินลงไปจากบันไดเล็กๆ ข้างๆ ระเบียงไปถึงสนามหญ้า

เธอเดินมาอยู่ที่ข้างๆ วัยรุ่นคนนี้อย่างเผลอไผล

เธอเพิ่งจะรู้สึกตัว…จึงแอบรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่บ้าง เพราะมองไปจากทิศนี้ ก็คือบริเวณผาฟังเสียงคลื่นนี่เอง

“ข้างบนนั้นคงจะกำลังวุ่นวายมากเลยนะ”

ลั่วชิวหันตัวมามองหลี่ว์อีอวิ๋น พลางพูดเสียงเบาๆ

“คุณทำอะไรคุณปู่ฉันหรือเปล่า หรือว่าพูดอะไรไป?”

แต่การพูดจาของสาวน้อย กลับเป็นการคลำไปถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงบางเรื่อง

ลั่วชิวแสดงรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาคิดจะให้สาวน้อยคนนี้ได้เงียบสงบลงที่นี่ตอนนี้ อีกทั้งยังพูดว่า “คุณคิดว่าผมจะทำอะไรคุณปู่คุณ หรือพูดอะไรล่ะครับ?”

เริ่นจื่อหลิงเป็นคนที่เข้าหาได้ง่ายมากๆ หลีจื่อก็เป็นคนที่ค่อนข้างเรียบง่ายและอ่านใจได้ไม่ยาก ส่วนคนที่ชื่อโยวเย่คนนั้นกลับดูลึกลับ นี่เป็นเรื่องที่สาวน้อยสัมผัสได้จากการคลุกคลีในช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับลึกลับและเข้าหายากยิ่งกว่า

“ฉัน!” หลี่ว์อีอวิ๋นเบนสายตาออกไปทางทะเลทันที “ฉันไม่รู้”

ลั่วชิวพยักหน้า ก่อนมองไปทางผาฟังเสียงคลื่นอีกครั้ง “อู๋ชิวสุ่ยยังไม่ได้กลับมา ซึ่งก็หมายความว่า แม่ของคุณอาจถูกชาวบ้านโยนลงไปได้ตลอดเวลา ผมว่าคุณเหมือนไม่ได้เป็นห่วงเท่าไรนะ”

“จะเป็นไปได้ยังไง” หลี่ว์อีอวิ๋นกัดฟันพูด “ฉันก็ไปมา…เพียงแต่ เพียงแต่คุณปู่คนเดียว ฉัน…”

“ไม่อยากให้เธอถูกโยนลงไปเหรอครับ?” ครั้งนี้ลั่วชิวเหมือนจะพูดตรงยิ่งกว่าเดิม

“ไม่อยาก” หลี่ว์อีอวิ๋นเงยหน้ามอง

“แต่เธอไม่ใช่แม่แท้ๆ ของคุณนะ”

“ฉัน ฉันก็เพิ่งรู้!”

“คุณกินข้าวหรือยัง?”

“อะไรนะ? กินแล้ว…”

“กินอะไรมา? ใครเป็นคนทำ? กินกี่โมง? กินไปแค่ไหน? บะหมี่หรือข้าว? ปกติกินข้าวได้มากเท่าไร? คุณสมัครใจสอบเอ็นทรานซ์ที่ไหน? มีคนสมัครใจกรอกใบสมัครเหมือนกับคุณหรือยัง? คุณรู้มานานแล้วว่าไม่ใช่แม่แท้ๆ ของคุณ แล้วคุณมีความรักในวัยเด็กไหม? คุณมีความรักในวัยเด็กเมื่อไร?? รู้ตัวตอนไหน? คนที่ชอบคือใคร? สูงเท่าไร? ชื่ออะไร? อีกฝ่ายชอบคุณไหม?”

“โจ๊ก” “ฉันทำเอง” “ตอนเช้าตีห้ากว่าๆ” “หนึ่งชาม” “โจ๊ก” “หนึ่งชาม” “มหาวิทยาลัยสือกวง” “รู้มานานแล้ว” “เปล่า” “เปล่า” “ไม่มีรักวัยเด็ก” “ก่อนสอบเข้ามหา’ลัย” “ฉันบอกไปแล้วว่าไม่มีคนชอบ” “ไม่รู้ค่ะ” “ไม่รู้ค่ะ” “บอกไปแล้วว่าไม่มีคนชอบ ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร…ล่ะ”

ถึงถามทุกอย่างรวดเดียว สาวน้อยก็ตอบกลับได้รวดเร็วเป็นพิเศษ เธอไม่แน่ใจว่าทำไมตัวเองถึงตอบคำถามของอีกฝ่ายรวดเร็วแบบนี้เหมือนกัน

ด้วยเหตุนี้ คำถามเป็นชุดข้อแล้วข้อเล่าก็ทำให้เธอ…ปิดปากของตัวเองเอาไว้

รู้มานานแล้ว

ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย

“คุณ…คุณเล่นลูกไม้กับฉัน!” สาวน้อยมองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง

ลั่วชิวส่ายหน้าพูด “ผมไม่ได้บังคับคุณ และก็ไม่ได้ให้คุณตอบผมทันที ทำไมคุณต้องตอบให้ทันคำถามผมด้วยครับ?”

หลี่ว์อีอวิ๋นชะงักไป

ฉับพลันนั้นลั่วชิวพูดก็พูดอีกครั้งว่า “พ่อคุณไม่ได้อยู่ที่คลินิกแล้ว”

หลี่ว์อีอวิ๋นเผลอพูดว่า “เป็นไปได้ยังไง!”

“เดิมทีพ่อของคุณก็ไม่ได้หายตัวไปจากคลินิกเหรอครับ? ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?”

“เพราะ!”

หลี่ว์อีอวิ๋นขยับริมฝีปากอีกครั้ง แต่กลับพูดไม่ออก

“ทำไมหลี่ว์เฉาเซิงถึงช่วยคุณ…หรือจะบอกว่าทำไมคุณต้องช่วยเขา?” ลั่วชิวถอนหายใจถาม

หลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้า เธอรู้ว่าเรื่องบางอย่างไม่อาจปิดเอาไว้ได้ เพียงแต่ว่าเธอยังคงสงสัยมากจริงๆ “คุณ…คุณรู้ตอนไหน เป็นเพราะว่าตอนอยู่ที่ครัวมองเห็นฉัน…ยิ้มเหรอคะ”

“ตอนนั้นก็ยืนยันได้ว่าคุณมีปัญหาบางอย่าง” ลั่วชิวพูดเสียงเรียบเฉย “ส่วนที่บอกว่าสงสัย คงจะเป็นเมื่อวานนี้”

หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างประหลาดใจ “เมื่อวาน?”

ลั่วชิวพยักหน้าพูด “เมื่อวานตอนที่อยู่ร้านบะหมี่ ท่าทางของคุณต่างออกไปเล็กน้อย”

หลี่ว์อีอวิ๋นยังคงพูดอย่างไม่เข้าใจ “ฉันมีท่าทางอะไรคะ?”

ลั่วชิวพูด “ตอนที่เห็นคนติดโรคคนที่สอง ว่าตามเห็นผล คุณเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ควรจะหันไปแล้วตกใจมากขนาดนั้น แต่ความจริงคือ…คุณหันไป แล้วเป็นจังหวะพอดีกับที่มีคนหนึ่งเดินเข้ามา”

ลั่วชิวพูดอย่างละเอียด “เด็กคนนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ เป็นหลานของคนที่ติดโรค ในเมื่อพวกคุณอายุใกล้เคียงกัน นั่นก็หมายความว่าพวกคุณรู้จักกัน ที่หมู่บ้านนี้มีเพียงโรงเรียนประถมประจำหมู่บ้านแห่งเดียว จะเข้าเรียนมัธยมต้นและปลายทำได้แค่ไปเรียนที่เมืองด้านนอก พวกคุณคงจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันล่ะสิ? คุณเลยไม่อยากให้เด็กผู้ชายคนนั้นเห็นคุณ”

หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างไม่คาดคิดว่า “เพราะแค่รายละเอียดปลีกย่อยนี้เหรอ?”

ลั่วชิวส่ายหน้าพูด “เปล่า ตอนแรกผมแค่รู้สึกแปลกๆ ว่าเพราะอะไรคุณถึงไม่อยากให้เพื่อนร่วมชั้นเห็นคุณ ต่อมาลองคิดๆ ดูอาจจะเป็นเพราะครอบครัวคุณไม่ได้รับการต้อนรับจากหมู่บ้าน หรือบางทีอาจเป็นเพราะชีวิตที่โรงเรียนไม่ค่อยดีประมาณนั้น ก็เลยไม่ได้เก็บเอาไปคิดอะไร แต่ผมก็ยังติดใจอยู่นิดหหน่อย จนกระทั่งเห็นคุณยิ้มตอนได้ยินเสียงโวยวายนอกประตูบ้านเมื่อตอนรุ่งเช้า”

เขาจ้องจาของเธอพลางพูดว่า “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอครับ? นอกจากคุณจะยิ้มไปเล็กน้อยแล้ว สายตาก็แน่วแน่ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าคุณรู้ทุกอย่างมาตั้งนานแล้ว”

“งั้น…คุณถามเรื่องพ่อของฉัน…”

“ผมก็แค่ถามไปตามน้ำ ถ้าเป็นการสอบสวนของตำรวจตามปกติ ก็คงจะเป็นแบบนี้” ลั่วชิวส่ายหน้า “ไม่สิ จะต้องชำนาญกว่านี้”

มีพ่อเป็นตำรวจมันยังไงน่ะเหรอ?

นั่นก็คือที่บ้านจะเต็มไปด้วยตำราเทคนิคการสืบสวนสอบสวนหลายอย่าง

ตอนนี้เป็นเจ้าของสมาคมแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นที่เคยมีความฝัน เคยมีวิสัยทัศน์ต่ออนาคต เคยมีความมุ่งมั่นอยากจะสืบทอดอุดมการณ์ของพ่อ และลุ่มหลงกับตำราหนังสือที่ยากจะเข้าใจพวกนั้นอย่างเต็มที่

สายตาของหลี่ว์อีอวิ๋นเปลี่ยนไป

เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง เหมือนพลังและจิตวิญญาณเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ฉับพลันนั้นท่าทางของเธอก็เปลี่ยนเป็นดูผู้ใหญ่ขึ้น สายตาดุดันกล่าว “ฉันคิดมาตลอดว่าเริ่นจื่อหลิงดูน่าจะระวังมากที่สุด คิดไม่ถึงว่าเป็นคุณต่างหาก”

ลั่วชิวกลับพูดเสียงเบา ดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาด “ไม่ ผมแค่ไม่เหมือนกับเธอนิดหน่อย คุณระวังเธอไว้ก็ถูกต้องแล้ว เพราะไม่ช้าก็เร็วผู้หญิงคนนี้จะรู้ความจริง ก็เหมือนกับหนูนั่นแหละ เธอสามารถดมกลิ่นสิ่งที่เธอต้องการได้ทั้งนั้น”

มือของหลี่ว์อีอวิ๋นค่อยๆ วางไปที่ข้างหลัง เธอกำลังมองลั่วชิวอย่างสงบพร้อมพูดว่า “ไม่ว่าเป็นใคร รู้แล้วก็คือรู้แล้ว ถูกต้อง ฉันเป็นคงเสี้ยมให้หลี่ว์เฉาเซิงซ่อนพ่อฉันไว้ และก็บงการเขาให้แพร่กระจายเชื้อโรคพวกนี้ ก่อนตาย ฉันจะบอกคุณไว้หน่อย แม้กระทั่งอาเป่ากงฉันก็ควบคุมไว้ทั้งนั้น…”

“แต่ผมคิดจะช่วยคุณ”

“อะไรนะ?”

สาวน้อยคิดจะชักมือที่อยู่ด้านหลังออกมา แต่ก็ต้องชะงักกึกทันที

เพราะว่า…เธอไม่มีทางคาดเดาได้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่!