ตอนที่ 427 สามีของตนตนก็รัก
เฝิงเยี่ยไป๋เพียงแกล้งนางเล่น นั่นเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา เขาที่เป็นพ่อจะใจร้ายเช่นไรก็ไม่อาจไล่เขาไป
เพียงคำพูดล้อเล่นของเขาประโยคเดียวก็แสดงความรักลูกได้เช่นนี้ ฐานะของตัวเองในบ้านในอนาคตไม่ต้องคิดก็รู้ได้เลย
“พรุ่งนี้ข้ายังต้องไปข้างนอกอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้พาเจ้าไปไม่ได้ เจ้าอยู่บ้านบำรุงครรภ์ให้ดีๆ”
เฉินยางขมวดคิ้ว ไม่ค่อยยินดีเท่าไรนัก “ไม่ใช่ว่าเพิ่งกลับมาหรือ ไฉนถึงต้องออกไปอีก ฮ่องเต้สั่งให้ท่านไปทำอะไรอีกแล้ว”
เฝิงเยี่ยไป๋ไม่คิดจะปิดบังนาง เขาลูบท้องของนางพูดว่า “ซู่หยางและเฟินหยางอ๋องนอกด่านทั้งสองคนแอบสะสมกำลังทหาร ฮ่องเต้กลัวพวกเขาจะร่วมมือกันเป็นภัยกับราชสำนัก จึงให้ข้าไปสืบกำลังทหารของพวกเขา”
คนเป็นภรรยา ยามนี้ก็แสดงได้ว่าเอาแต่ใจแล้ว อย่างไรเสียก็เป็นสามีของตัวเอง คนอื่นไม่รัก นางรักอยู่ ไปครั้งนี้ใช้เวลาเดือนเศษ ต่อให้เป็นม้ายังต้องพักหายใจบ้างเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคน เพิ่งจะกลับมาก็ถูกสั่งให้ออกไปอีก ฮ่องเต้ผู้นี้ช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริง
“ราชสำนักมีคนมากมายเช่นนี้ ไฉนถึงสั่งท่านไป คนอื่นเล่า ฮ่องเต้เลี้ยงไว้เปลืองข้าวสุกหรือไร”
เฝิงเยี่ยไป๋เพิ่งจะสังเกตว่า เจ้าเด็กคนนี้เมื่อปกป้องคนของตัวเองขึ้นมา แทบจะยิ่งกว่าเขาเสีย รู้จักรักเขา ในใจคิดถึงเขา รอเขากลับมา ความผูกพันของพวกเขาจะต้องแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เขาปลอบเสียงอ่อน “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ข้าไปครั้งนี้สิบกว่าวันก็กลับมาได้”
เฉินยางมุดอยู่ที่อกเขาพยักหน้า นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามอีก “เช่นนั้นเว่ยหมิ่นเล่า วันนี้ท่านได้เห็นนางแล้วหรือไม่ นางดีอยู่หรือไม่”
คราวนี้ฮ่องเต้ทุ่มเทสุดแรงแล้ว และก็กลัวจะหาข้ออ้างดีๆ ไม่ได้ที่จะแยกพวกเขาออกจากกันถึงได้ใช้แผนชั่วเช่นนี้ เขาส่ายหน้า ทั้งแค้นทั้งจนใจ “ฮ่องเต้กักบริเวณนางไว้ที่ตำหนักอวี้ชิ่ง ไม่ให้นางออกไป และไม่ให้คนไปเยี่ยมนาง ครั้งก่อนที่เกือบจะแท้งลูกนั้น คาดว่าก็คงเป็นฮ่องเต้ที่สั่งคนทำ”
นางกัดฟันหึเบาๆ “นี่เป็นฮ่องเต้อะไรกัน ตรัสแล้วคืนคำ ตอนแรกที่ประทานงานสมรสของเว่ยหมิ่นให้กับเหลียงอู๋เย่ว์ก็เป็นพระองค์ ตอนนี้คนที่ไปแย่งภรรยาคนอื่นก็เป็นพระองค์อีก พระองค์เป็นฮ่องเต้ประสาอะไร เลวที่สุดเลย มิน่าถึงมีคนคิดจะก่อกบฏ”
เฉินยางพูดถึงตรงนี้ก็เดือนพล่านยิ่งนัก ส่ายไปมาอยู่บนขาของเขา เฝิงเยี่ยไป๋กลัวนางจะตกลงไป จึงอุ้มนางไว้เหมือนดั่งอุ้มเด็ก แล้วกอดนางขยับเข้ามา เขาถูปลายจมูกของนางพูดว่า “เวลาของพระองค์ใกล้จะจบสิ้นแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวล ในเมื่อพระองค์ไร้คุณธรรม พวกเราก็ต้องต่อต้าน คนข้างล่างที่คิดจะกบฏนั้นมีมากมาย ขอเพียงผลัดอีกเล็กน้อย ก็สามารถทำเอาพระองค์กลิ้งตกจากบัลลังก์ได้”
ยามนี้นางก็แสดงได้เห็นแก่ตัวแล้ว รู้สึกอยู่ตลอดว่าการก่อกบฏเป็นเรื่องของคนอื่น พวกตนไม่ยุ่งเกี่ยว เพียงนั่งรอพวกเขาสู้กันเองก็พอ ใครแพ้ใครชนะ ก็ไม่เกี่ยวกับพวกตน อย่างไรเสียขอเพียงพวกเขาสู้กันเองขึ้นมา พวกตนก็มีทางรอด
เพียงแต่วันนี้รู้ว่าสามีตัวเองก็จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวแล้ว นางก็รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว กลัวเขาจะเกิดเรื่องขึ้นมา จึงดึงมือเขาพูดว่า “พวกเราไม่ยุ่งเกี่ยวได้หรือไม่ ในมือท่านไม่มีทหาร และก็ไม่มีอำนาจเหมือนพวกเขา หากว่า… ท่านบาดเจ็บขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร”
เฝิงเยี่ยไป๋จ้องมองนางลึกซึ้ง สุดท้ายก็พูดด้วยความรู้สึกดีใจว่า “เจ้าวางใจได้ หากไม่มั่นใจ ข้าไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่นอน กลับเป็นเจ้า ดูเจ้าตอนนี้สิ ยิ่งเหมือนกับยายจอมจุ้นแล้ว เพียงแต่… ข้าก็ชอบยายจอมจุ้นเช่นเจ้านี้เหมือนกัน”
ตอนที่ 428 ในวังมีจดหมายมา
รุ่งเช้า ยามที่เฉินยางตื่นมานั้น เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่อยู่แล้ว บอกว่าต้องเข้าวังเข้าราชกิจแต่เช้า จากนั้นก็เดินทางจากวังเลยไม่กลับบ้านแล้ว เห็นนางหลับสนิทอยู่ จึงไม่ได้ปลุกนาง
ในใจของนางเกิดความรู้สึกเศร้าหมองขึ้นมา อาหารเช้าก็กินข้าวต้มเพียงสองคำด้วยความเหนื่อยหน่าย ก็ไม่รู้สึกอยากกินแล้ว ให้นางออกไปเดินเล่นที่สวนก็บอกไม่มีอารมณ์ เพิ่งจะตื่นขึ้นมา ก็นอนลงที่เตียงอีกครั้ง นางมองเพดานด้วยแววตาเหม่อลอย ตั้งแต่เขาไปในใจก็หวาดระแวงอยู่ตลอด
ซั่งเหมยอุ้มครอบครัวต้าหมี่มา ต้าหมี่เป็นสีขาว ลูกที่คลอดออกมานั้นกลับมีทั้งขาวและเหลือง จึงเดาไม่ยากว่าพ่อของพวกมันมีสีอะไร
ต้าหมี่จำคนได้ มันทิ้งลูกที่รอกินนมอยู่แล้วกระโดดขึ้นมาบนเตียง เอาตัวไปถูเฉินยาง เฉินยางนวดศีรษะของมัน เห็นลูกแมวครอกหนึ่ง ความเศร้าหมองในใจก็หายไปทันที นางอุ้มตัวหนึ่งไว้บนตัก ชอบท่าทางที่ทำเอาคนรักเสียจริงๆ
ต้าหมี่ไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้รังของมันนัก แต่กลับใจกว้างกับเฉินยาง ถึงขั้นขยับลูกของตัวเองไปหานาง ที่คอก็ร้องกรู่ๆ แทบอยากจะให้ลูกทั้งครอกพิงที่ตัวนาง
ซั่งเหมยยิ้มพูดว่า “เมื่อครู่ข้าไปอุ้มนั้น ต้าหมี่ไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้เลย แถมยังข่วนข้าอีก กับนายหญิงกลับสนิทนัก ดูเหมือนว่าแมวนี้ไม่ได้เลี้ยงเสียเปล่า เลี้ยงจนจำคนได้ รู้จักสนิทกับคนแล้ว”
เฉินยางพูดว่า “อย่างน้อยข้าก็เลี้ยงมันมานานเช่นนี้ ให้กินดีอยู่ดี หากลืมข้าอีก ก็ไม่ควรแล้ว”
ขณะที่พูดอยู่นั้น น่าอวี้ก็เข้ามาจากข้างนอก วันนี้ที่ข้างนอกลมแรง พัดจนหน้าต่างเกิดเสียงดัง น่าอวี้เข้ามาคำนับนาง แล้วถอดผ้าคลุมศีรษะให้อวี๋เอ๋อร์ นางเห็นลูกแมวครอกหนึ่ง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มโดยไม่รู้สึกตัว “นี่ล้วนเป็นลูกของต้าหมี่หรือ ครอกนี้มีไม่น้อยเลยนะ!”
เฉินยางเรียกนางมานั่งลง แล้วให้ซั่งเหมยซั่งเซียงออกไป ถึงได้พูดว่า “ก็ไม่ใช่หรือ ตอนแรกข้ายังรู้สึกแปลก ไฉนช่วงนั้นมันถึงติดข้านัก พอมาคิดดูตอนนี้ ก็เป็นดั่งข้า ท้องแล้ว ขี้เกียจ อยากจะหาที่สบายนอน”
นางนึกถึงเรื่องเมื่อวาน มือที่ลูบหลังต้าหมี่อยู่ก็ชะงัก นางถามว่า “เจ้าบอกท่านพี่แล้วหรือ เมื่อคืนเขากลับมาบอกว่ายินดีกับเรื่องของพวกเจ้าสองคน เพียงแต่ตอนนี้ในฐานะเจ้ายังคงเป็นผู้หญิงของเขา ดังนั้นแล้วกับอิ๋งโจวก็…”
คำว่า ‘ลักลอบเจอกัน’ นางไม่ได้พูดออกจากปาก กลัวจะทำให้น่าอวี้เสียใจ จึงยั้งเอาไว้ทัน ทุกคนรู้อยู่แก่ใจเป็นพอ
น่าอวี้กุมมือนาง “ข้ารู้ เรื่องใดสำคัญข้ายังแยกออกอยู่ ท่านวางใจได้ วันหลังพวกเราจะเจอกัน จะไม่ให้คนอื่นเห็นอีก”
คำพูดสุดท้ายนั้นมีความหมายเชิงล้อเล่น บรรยากาศสบาย ทั้งสองคนพูดคุยสนุกสนาน ยามเที่ยงก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตอนบ่ายนั้น มีคนส่งจดหมายถึงที่บ้าน บอกว่าเป็นจดหมายของพระชายาในจวน เฉาเต๋อหลุนเห็นคนนั้นคุ้นตา เพียงแต่ก็นึกไม่ขึ้นว่าเป็นใคร ยังไม่ทันที่จะเรียกเขามาถามอย่างละเอียด เขาก็ทิ้งจดหมายไว้แล้ววิ่งไปเสียแล้ว
แม้ว่าจะนึกไม่ขึ้นว่าคนนั้นเป็นใคร เพียงแต่ต้องเป็นคนที่มาจากในวัง มีเพียงคนที่มาจากในวังถึงมีนิสัยที่เจอคนแล้วก็จะก้มศีรษะอ้าปากก็คือ ท่าน
ระเบียบที่ถูกฝึกมาหลายปี ล้วนฝังอยู่ในกระดูกจนกลายเป็นนิสัยแล้ว ลืมไม่ลง
เพียงแต่ในวังนั้นจะเป็นใครที่สามารถเขียนจดหมายให้เฉินยางได้เล่า
เขาถือจดหมายกลับไป เฉินยางเพิ่งตื่น มื้อกลางวันก็ไม่ได้กินอะไรมากมาย ยามนี้รู้สึกหิว กำลังกินขนมอยู่ เขาโค้งตัวส่งจดหมายไป “นายหญิง จดหมายนี้มีคนข้างนอกส่งมา บอกว่าเป็นจดหมายของท่าน”