บทที่ 1850+1851

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1850 สหายเก่ากลายเป็นบ่าว 5

หลงซือเย่ตอบอย่างเฉยชา “ข้าไม่ปรารถนา”

ประโยคเดียวก็ตอกให้จิ้งเอ๋อร์กระอึกกระอักอยู่ตรงนั้นได้แล้ว นางนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง “จวนองค์หญิงหาใช่ที่ที่เจ้าบอกจะมาก็มา จะไปก็ไปได้งั้นหรือ! ในเมื่อเจ้าเข้ามาเป็นคนเลี้ยงม้าของจวนองค์หญิงแล้ว ไหนเลยจะกระทำตามอำเภอใจได้…”

“วันนั้นก่อนที่องค์หญิงจะรับข้าเข้าวัง เคยตรัสไว้ว่าจวนองค์หญิงจะอยู่จะไปก็แล้วแต่ใจประสงค์ ทำไมเล่า? เพียงไม่นานคิดจะกลับคำแล้วหรือ?” ใบหน้าหล่อเหลาของหลงซือเย่เยียบเย็นลงเช่นกัน

จิ้งเอ๋อร์เงียบไปแล้ว

องค์หญิงหย่าก็นิ่งไปแวบหนึ่ง นางกล่าวอย่างเยือกเย็น “เจ้านึกว่าเปิ่นกงต้องการตัวเจ้านักหรือ? เพียงผู้ที่โบยบินขึ้นมาคนหนึ่งเท่านั้น! เจ้าอยากจะไปก็ไปเถิด เปิ่นกงจะไม่ขวางเจ้า เพียงแต่ แม้แต่จวนของข้ายังไม่อาจรองรับเจ้าได้ เจ้านึกว่าที่อื่นจะกล้ารับเจ้าไว้งั้นหรือ?”

สายตานางร่อนลงบนร่างของหมิงหล่าง “หมิงหล่าง จดเขาลงในบัญชีรายชื่อผู้ถูกอัปเปหิ บอกว่าเป็นคนที่จวนองค์หญิงของข้าไล่ออก ที่ไหนกล้ารับเขาไว้จะต้องมีเรื่องกับจวนองค์หญิงของข้า!”

วาจานี้ของนางเท่ากับเป็นการปิดตายทางถอยทั้งหมดบนดินแดนเบื้องบนของหลงซือเย่ โหดเหี้ยมอย่างยิ่ง

หลงซือเย่หลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลย เอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าไม่ได้จะไปทำงานที่จวนของผู้อื่น ข้าจะติดตามนาง…”

เขายืนอยู่ข้างกายของกู้ซีจิ่วแล้ว

หัวใจของกู้ซีจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าต่อให้หลงซือเย่เสียความทรงจำไปแล้ว ก็ยังคงเชื่อใจเธอถึงเพียงนี้

องค์หญิงหย่ากลับเสมือนว่าถูกคนตบหน้าเข้าอย่างจัง ใบหน้าเพริศพริ้งแดงก่ำแล้ว “นางรึ? นางนับเป็นตัวอันใดกัน? เป็นเพียงเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่ถึงกาลดับขันธ์ของโลกเบื้องล่างเท่านั้น! เจ้าติดตามนางแล้วจะมีอนาคตอันใด? หรือว่าเจ้าคิดจะติดตามกลับลงไปยังโลกเบื้องล่างอีก?”

“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า?” หลงซือเย่เอ่ยประโยคเดียวก็อุดปากนางได้แล้ว

องค์หญิงหย่ากำมือเล็กน้อย จะอย่างไรก็คาดไม่ถึงเลยว่าบุรุษผู้นี้ก็มีช่วงเวลาที่เฉียบแหลมเช่นนี้ด้วย

เห็นกันอยู่ชัดๆ…เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าคราแรกที่องค์หญิงหย่าได้พบเขา เขาเป็นคนที่มืดมนยิ่งนัก คนอื่นหลังจากขึ้นมาแล้วล้วนมองซ้ายมองขวา สีหน้าเปี่ยมด้วยความปีติยินดี มีเพียงเขาเท่านั้นที่ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้ง สีหน้าคล้ายว่าโศกตรมปวดร้าวและไม่รับรู้อะไร คล้ายว่ามิได้ต้องการโบยบินขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่ราวกับถูกผู้อื่นเตะส่งขึ้นมา!

หลังจากขึ้นมาแล้วคนอื่นได้พูดคุยกับเขา พูดไปสิบประโยคเขาไม่ตอบรับเลยสักประโยค มักจะสื่อสารด้วยถ้อยคำที่ยากจะเข้าใจได้ จึงถูกคนอื่นเรียกว่าท่อนไม้

องค์หญิงหย่าก็เห็นว่าวรยุทธ์ของเขาไม่เลวเลย อีกทั้งเห็นแก่ที่มีรูปโฉมหล่อเหลา จึงเรียกตัวเขามาเป็นคนเลี้ยงม้าในจวนของตน

หลายวันมานี้ที่อยู่ในจวนของนาง เขาก็ราวกับเป็นน้ำเต้าไม่มีปากเช่นกัน แทบจะไม่ปริปากเลย ถูกกลั่นแกล้งก็ไม่โต้ตอบ ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้จิ้งเอ๋อร์ตะโกนด่าทอเขาได้ถึงเพียงนี้…

ที่แท้เขากลับไม่โง่งมเลยสักนิด!

รูปลักษณ์ของหลงซือเย่เลิศล้ำ ต่อให้เป็นที่ดินแดนเบื้องบนแห่งนี้ ก็ยังเป็นอันดับต้นๆ เช่นกัน ยามนี้ความมืดมนบนใบหน้าของเขาหายไปแล้ว ทั้งตัวคนราวกับหยกงามที่เช็ดคราบฝุ่นธุลีออกแล้ว ยืนอยู่ตรงนั้นดูมีสง่าราศีเป็นตัวเองประการหนึ่ง

จู่ๆ นางก็สำนึกเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่พอใจอยู่บ้าง นางมองกู้ซีจิ่วจากนั้นก็มองหลงซือเย่ พลันหัวเราะหยันออกมา “เจ้าเชื่อนางจริงๆ น่ะหรือ? คนผู้นี้นับตั้งแต่ขึ้นมาก็เก็บหัวซ่อนหางเอาไว้ตลอด แม้แต่ใบหน้าก็ยังไม่กล้าเปิดเผย อาจจะไม่ใช่สหายของเจ้าก็ได้ แต่เป็นศัตรูของเจ้า…”

หลงซือเย่ตอบอย่างเฉยชา “ข้าเชื่อนาง”

ถึงอย่างไรก็พัวพันกับกู้ซีจิ่วมาถึงสองภพสองชาติ ตอนนี้ต่อให้เขาจำเธอไม่ได้แล้ว ก็ยังเชื่อใจเธออย่างน่าประหลาด สัญชาตญาณบอกว่าเรื่องที่เธอพูดเป็นความจริง

“เก็บหัวซ่อนหางไว้เช่นนี้ แม้แต่ใบหน้าก็ยังไม่กล้าเผย เจ้ามองจากเสื้อผ้าที่นางสวมใส่สิ แม้แต่รูปร่างก็ไม่เห็นชัดเจน ผู้ที่แต่งตัวเช่นนี้มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่จะอัปลักษณ์จนให้ผู้อื่นพบเห็นไม่ได้ ติดตามคนอย่างนางจะมีความก้าวหน้าอันใดเล่า? หรือเจ้าคิดจะเป็นชายบำเรอของนาง?” จิ้งเอ่อร์เริ่มพูดจาไร้ขอบเขตแล้ว

ก่อนหน้านี้นางเสียเปรียบครั้งใหญ่ภายใต้น้ำมือของกู้ซีจิ่ว ยามนี้จึงฉวยโอกาสโจมตีเธอด้วยคำพูด

กู้ซีจิ่วยังไม่ทันพูดอะไร จู่ๆ ก็มีเสียงเยือกเย็นแจ่มชัดสายหนึ่งแว่วมาแต่ไกล “หย่าเอ๋อร์ สาวใช้คนนี้ของเจ้าต้องโดนตบปากเสีย!”

——————————————————————–

บทที่ 1851 บุพเพสันนิวาสสุขียั่งยืน

ฝูงชนได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้น มองเห็นหนึ่งคนหนึ่งอาชาเหาะทะยานมาแต่ไกล

หัวใจของกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหวขึ้นมา!

ม้าคืออาชาสวรรค์ขาวพิสุทธิ์ อานม้าคืออานหยกขาว ยามที่กระพือปีกก่อให้เมฆาบนฟากฟ้าปั่นป่วนได้ รอบกายคล้ายมีไอมงคลอยู่

คนสวมอาภรณ์ม่วงมงกุฎทอง อาภรณ์ม่วงชุดนั้นโบกสะบัดไปตามสายลม ราวกับเมฆาม่วงที่ทอดยาวไหวเอน

คนผู้นั้นมาถึงรวดเร็วนัก มาถึงลานจัตุรัสแทบจะในชั่วพริบตา อาชาสวรรค์หุบปีก ร่อนลงสู่พื้น

คนผู้นั้นพลิกตัวลงจากอาชาสวรรค์ ยืนอยู่ด้านหน้าของพวกกู้ซีจิ่วพอดี

หยกนภาแสดงเครื่องหมายอัศเจรีย์หลายอันพลางเอ่ยขึ้นในหูกู้ซีจิ่ว “เป็นบุรุษที่หล่อเหลาเหลือเกิน! เจ้านาย เจ้านาย…”

คนผู้นั้นหล่อเหลายิ่งนักจริงๆ ริมฝีปากบางหยักโค้งดั่งจันทรา จมูกโด่งเป็นสัน เบ้าตาลึก ขับเน้นให้ดวงตาของเขาดูลุ่มลึกอย่ายิ่ง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย ยามมองดูผู้คนราวกับแฝงระลอกวารีไว้

คนผู้นี้ดูหล่อเหลาและแฝงความสง่างามสูงศักดิ์เอาไว้

ยามที่กู้ซีจิ่วมองเห็นอาภรณ์สีม่วงนั้น หัวใจพลันบีบรัดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด! ผงะไปเล็กน้อย

สายตาหยุดนิ่งอยู่บนใบหน้าคนผู้นี้กว่าสองวินาที

ผู้คนรอบข้างคุกเข่าลงไปอีกครั้ง กู้ซีจิ่วทราบจากคำเรียกขานของพวกเขาว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้คือโอรสองค์เล็กของจักรพรรดิเซียนเซียวเหยาอ๋อง…อวิ๋นเยียนหลี

จักรพรรดิเซียนมีโอรสอยู่สององค์ องค์โตอภิเษกแล้ว และเป็นองค์รัชทายาทที่เช่นที่ร่ำลือกัน

ส่วนองค์เล็กก็คืออวิ๋นเยียนหลีผู้นี้ ยังมิได้อภิเษกสมรส ไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ ชมชอบการท่องเที่ยวล่าสัตว์ ระดับบำเพ็ญบรรลุขั้นจินเซียนแล้ว

เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นหยกนภาที่บอกเล่าแก่กู้ซีจิ่ว

กู้ซีจิ่วเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยถามหยกนภา ‘เจ้ารู้เรื่องราวของดินแดนเบื้องบนแห่งนี้ได้อย่างไร?’

หยกนภาชะงักไป มันไม่กล้าพูดออกไปว่าเป็นเสียงลึกลับนั้นที่บอกแก่มัน ดังนั้นจึงทำได้เพียงเอ่ยอ้อมแอ้มออกไปว่า ‘ข้าคือหยกนภาผู้รอบรู้นี่นา…’

กู้ซีจิ่วเพ่งพิศอวิ๋นเยียนหลีผู้นั้นอีกสองสามครา เอ่ยถามหยกนภาอีก ‘เช่นนั้นเขาเคยลงไปยังโลกเบื้อล่างหรือไม่?’

หยกนภาตอบไปว่า ‘นี่…เรื่องนี้…ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพรายได้!’

ถ้าอ้างอิงตามที่เสียงลึกลับนั้นบอก อวิ๋นเยียนหลีผู้นี้สมควรต้องถูกขับลงไปยังทวีปซิงเยวี่ยในอีกสองร้อยปีให้หลัง มีบุพเพสันนิวาสสุขียั่งยืนกับกู้ซีจิ่ว ครองคู่โบยบินด้วยกัน…

หยกนภาก็นึกไม่ถึงเลยเช่นกันว่ากู้ซีจิ่วเพิ่งจะขึ้นมา ก็ได้พบกับโอรสองค์เล็กของจักรพรรดิเซียนแล้ว หรือนี่จะเป็นโชคชะตา?

หยกนภาพิศดูเจ้านายตนอย่างละเอียดอีกครั้ง กู้ซีจิ่วยังคงสวมหน้ากากไว้ หยกนภาจึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง

เพียงแต่นางสอบถามเรื่องคนผู้นี้จากมันอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก แสดงว่านางหวั่นไหวต่ออวิ๋นเยียนหลีผู้นี้เล็กน้อยแล้วใช่หรือไม่?

ข้อวินิจฉัยสารพัดแวบขึ้นมาในใจของหยกนภา

อันที่จริงหยกนภายังคงสนใจอยู่ว่าหลังจากตี้ฝูอีดับขัน์ไปแล้วได้มาที่นี่หรือไม่ ยามที่เสียงลึกลับถ่ายทอดความรู้พื้นฐานของดินแดนเบื้องบนบางส่วนแก่มัน มันจึงถือโอกาสสอบถามเล็กน้อย

แต่เสียงลึกลับนั้นกลับไม่ตอบคำถามข้อนี้เลย กล่าวไว้เพียงประโยคเดียว ‘เจ้าคงไม่ได้คิดจะสานวาสนารักให้แก่นายของเจ้ากับเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูกระมัง? ข้าขอกล่อมให้เจ้าถอดใจในเรื่องนี้เสียเถิด เขากับนางเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว! วาสนาในชาตินั้นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูที่ฝืนช่วงชิงมา การฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์เช่นนี้ทำให้เขาต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักหนาสาหัส ดับขันธ์ก่อนกำหนดหลายสิบปี…ดังนั้นเจ้าต้องถอดใจต่อเรื่องนี้ซะ!’

หยกนภาได้รับความสะเทือนใจอยู่บ้าง ‘อันที่จริงข้าก็แค่อยากถามว่าเขาอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนแห่งนี้หรือไม่!’

เสียงลึกลับนั้นไม่สนใจมันแล้ว!

หลังจากอวิ๋นเยียนหลีมีบุพเพสันนิวาสสุขียั่งยืนผู้นี้มาถึงที่นี่ ได้จัดการเรื่องของจิ้งเอ๋อร์ผู้เป็นสาวใช้ขององค์หญิงหย่าก่อน

เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงหย่าเชื่อฟังเขา สั่งการให้สาวใช้อีกคนเข้ามา แล้วนำตัวจิ้งเอ๋อร์ไปตบปากกว่าสิบที

เดิมทีใบหน้าของจิ้งเอ๋อร์ผู้นั้นถูกกู้ซีจิ่วตบจนบวมแล้ว ยามนี้ยิ่งไม่น่ามองกว่าเดิม ขดตัวอยู่ด้านข้างไม่กล้าพูดสักคำ

————————————–