สำหรับการเดินทางที่เหลือนั้น หวังเอ้อได้ระวังตัวมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ และรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด ทั้งกลุ่มก็ไปถึงลำห้วยที่อยู่เบื้องหน้าป่าหิน
หวังเอ้อรีบไปล้างแผลในแม่น้ำในทันที ในขณะที่เจ้าหน้าที่พากันหัวเราะในใจกับภาพที่เห็น
พวกเขาเคยเจอกับคนที่ดวงซวย แต่ว่านี่มันเป็นครั้งแรกเลย
“ลูกเฉิน ป่าหินอยู่ข้างหน้านี้ ปกติแล้วที่นั่นค่อนข้างเปลี่ยว ถ้าพวกนั้นอยากทำอะไร พวกนั้นก็คงจัดการที่นี่ แต่ด้วยหนามจำนวนมากในป่า มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ม้าของพวกนั้นจะใช้ความเร็ว ดังนั้นเจ้าต้องหาจังหวะหนีให้ดีๆนะ”
“ถ้าเจ้าหนีไปได้สำเร็จ ก็อย่าคิดแก้แค้นใครหล่ะ ตกลงไหม? แค่ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปก็พอแล้ว เข้าใจรึเปล่า?”
เฉินชานและภรรยาของเขาไม่มีเวลามาหัวเราะเรื่องของหวังเอ้อ พวกเขารู้ดีว่าป่าหินเป็นยังไง เหตุผลเดียวที่พวกเขาไม่ได้คัดค้านข้อเสนอของเจ้าหน้าที่โจวในการพามาที่นี่ก็เพราะเฉินเฉินมีโอกาสหนีจากที่นี่มากกว่าที่อื่น
ในการหนีจากที่อื่นม้าเป็นสิ่งจำเป็น แต่การขโมยม้ามันจะไปสำเร็จง่ายๆได้ยังไงกัน?
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ ข้าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวท่านก็จะได้เห็นเอง” เฉินเฉินปลอบโยนในขณะที่เขามองหวังเอ้อกำลังล้างแผลถัดจากแม่น้ำ ด้วยรอยยิ้มแปลกๆที่เบ่งบานบนหน้าของเขา
หนึ่งนาทีต่อมา
ในที่สุดหวังเอ้อก็ทำแผลเสร็จ และในขณะที่เขากลับมานั้น เขาก็จ้องเฉินเฉินด้วยสีหน้าร้ายกาจ
ในขณะที่กำลังล้างแผล เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเฉินเฉินมีส่วนรับผิดชอบกับอาการบาดเจ็บของเขา
ไม่มีทางหรอกที่เขาจะวิ่งไปรอบๆโดยไม่มีเหตุผล ไม่อย่างนั้นเขาจะทำแบบนี้ไปทำไม?
ในเมื่อป่าหินอยู่ข้างหน้าแล้ว เขาก็ไม่อยากปกปิดอะไรอีก ด้วยความคิดนี้ในหัว เขาก็พูดกับเฉินเฉิน “เจ้าจบเห่แล้วหล่ะ!”
สิ่งที่มาด้วยกันกับคำกล่าวนี้ก็คือรอยยิ้มอันชั่วร้าย
เฉินเฉินแกล้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้สังเกต แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้าและก้อนเมฆสีขาวแทน ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขราวกับว่าเขากำลังออกไปท่องเที่ยว
ซึ่งนี่ทำให้หวังเอ้อยิ่งโกรธเข้าไปอีก
“พ่อบ้านหวังถ้าท่านเรียบร้อยแล้วก็ ‘ไป’ กันต่อเถอะครับ”
เจ้าหน้าที่โจวที่เป็นคนนำกลุ่ม เน้นคำว่า ‘ไป’ เป็นพิเศษ ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่ากำลังแอบซ่อนอะไรอยู่อย่างเห็นได้ชัด
พ่อบ้านหวังพยักหน้าอย่างหงุดหงิด แล้วเดินตามกลุ่มไป
ครั้งนี้ ด้วยความที่ได้รับบทเรียนแล้ว เขาไม่ใช่แค่เดินตามกลุ่มตลอดเวลา แต่เขายังให้ความสนใจที่พื้นด้วย เขาเดินด้วยความระมัดระวังเหมือนกับว่ากำลังเดินอยู่บนสะพานไม้แผ่นเดียว
เขาไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเจอเรื่องซวยๆอีกถ้าระวังตัวขนาดนี้!
…
“ในกอหญ้า แปดเมตรออกมาจากทางตรง มีกับดักสัตว์อยู่ที่นั่น”
“ข้างหลังต้นไม้ มีขี้หมาป่าอยู่”
…
ข้างในป่า จำนวนรายการสร้างความวุ่นวายที่ระบบรายงานนั้นได้เพิ่มขึ้นในทันที
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินแค่ดูความระมัดระวังของหวังเอ้อ ก็รู้แล้วว่าเขาจะไม่โดนกับดักพวกนี้อีก
ดังนั้นเขาจึงไม่พยายามพาหวังเอ้อออกจากกลุ่ม แต่เลือกที่จะรอหาโอกาสดีๆแทน
“มีรังผึ้งห่างออกไปข้างหน้าสิบสามเมตร เมื่อสัมผัสมัน มันจะตกลงมา”
เมื่อได้ฟังคำเตือนของระบบ เฉินเฉินก็หันไปทางขวาในทันที
ตามที่คาดเอาไว้ บนต้นไม้ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีรังผึ้งอยู่
ถ้าพวกเขาเดินตามปกติ พวกเขาก็คงจะไม่ไปโดนรังผึ้งอยู่แล้ว
แต่เฉินเฉินจะปล่อยให้กลุ่มเดินไปตามปกติรึไงหล่ะ? แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว
เฉินเฉินแอบหยิบหินก้อนเล็กขึ้นมาในขณะที่เขาเดิน แล้วในตอนที่เขาไปอยู่จุดที่ใกล้รังผึ้งมากที่สุด เขาก็ใช้นิ้วดีดก้อนหิน
เปี้ยะ!
รังผึ้งตกลงมาในทันที
หึ่งงงง!
มีผึ้งนับร้อย แต่ละตัวมีขนาดเท่าถั่วเม็ดใหญ่ แห่ออกมาจากรังและเจอกลุ่มพวกเขาในเวลาไม่นาน
เจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงแปลกๆ และพอมองไปยังต้นตอ พวกเขาก็แทบจะหัวใจวาย
“ผึ้ง! หนีเร็ว!” เจ้าหน้าที่โจวตะโกนในขณะที่เขาวิ่งหนีไปด้วยม้าของเขา
ณ จุดๆนี้ เขาไม่สนใจอะไรอื่นอีกแล้ว
ผึ้งป่าไม่ใช่ศัตรูที่เอาชนะได้ง่ายๆ ถ้าถูกโจมตีจากกลุ่มผึ้ง นอกจากจะเสียโฉมแล้วอาจจะถึงขั้นตายได้เลย มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายเช่นนี้
เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าหัวหน้าของพวกเขาหนีไปแล้ว ก็ไม่ห่วงเรื่องอื่นเหมือนกัน และหนีตามหัวหน้าของพวกเขาไปในทันที
และด้วยเหตุนี้เอง ครอบครัวของเฉินเฉินและหวังเอ้อก็ถูกทิ้ง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เร็วเข้าเถอะครับ พวกเราต้องหนีแล้ว!”
เฉินเฉินลากพ่อแม่ของเขาแล้ววิ่งตามหลังพวกเจ้าหน้าที่ไปในขณะที่พูด และปล่อยให้หวังเอ้อยืนงงอยู่คนเดียว
เขาเองก็อยากจะวิ่ง แต่อาการบาดเจ็บที่เท้าของเขาทำให้เขาวิ่งไม่เร็วพอ
ในขณะที่เขามองดูฝูงผึ้งบินมาหาเขา หวังเอ้อก็ตะโกนเรียก “รอข้าก่อน!”
เขาพยายามจะไล่ตามครอบครัวของเฉินเฉิน แต่ความเร็วของเขาไม่เพียงพอ และเขาก็ถูกผึ้งไล่ตามทันในเวลาไม่นาน
ไม่นานนัก เสียงร้องของหวังเอ้อก็ดังก้องไปทั่วทั้งป่า
…
“พ่อ พวกเราใช้โอกาสนี้หนีกันเลยดีไหม?” ฉินโหลว เห็นว่าไม่มีใครตามพวกเขาแล้วก็เลยอดถามขึ้นมาไม่ได้
เฉินชานได้ยินเธอแล้วมีท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่จำเป็นหรอก ถึงยังไงพวกเราก็ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ ต่อให้พวกเราไปยังที่ทำการก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ หมู่บ้านหินเป็นบ้านของเรา และพวกเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วจะวิ่งหนีไปทำไมกันหล่ะครับ?
“แล้วก็ เหลาเฮยยังอยู่ที่บ้านอยู่เลย ถ้าพวกเราหนีไป เอ้อหยาคงให้อาหารมันจนอิ่มไม่ไหวหรอกครับ” เฉินเฉินหัวเราะในขณะที่วิ่ง
มีผึ้งมากมายพยายามจะเข้ามาต่อยเฉินชานกับภรรยาของเขา แต่ภายใต้พลังการจ้องของเฉินเฉิน พวกมันก็กลับไปเล็งหวังเอ้อในทันที
การฝึกตนนั้นคือการเพิ่มลำดับขั้นของชีวิต เขาสามารถสร้างการห้ามปรามที่เด็ดขาดกับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างผึ้งได้แล้ว
หลังจากที่ได้ฟังเช่นนี้ เฉินชานก็อยากพูดอะไรขึ้นมา แต่เขาไม่ได้พูดขึ้น
เฉินเฉินส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ท่านพ่อ เชื่อข้าเถอะ อยู่กับข้าท่านจะไม่เป็นอะไรแน่ รู้ไหมครับว่าข้าไปทำอะไรเมื่อคืนนี้?”
“ไม่นานนี้ ข้าฝันเห็นเซียนผู้นึงลางๆ เซียนผู้นั้นบอกให้ข้าไปพบเขาในที่แห่งนึง ซึ่งข้าก็ได้มองข้ามมันไปเหมือนเป็นแค่ความฝันมาตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ แต่เมื่อข้าลองไปดูที่นั่นในคืนก่อน เซียนก็อยู่ที่นั่นจริงๆ
“ว่าไงนะ? ลูกเฉิน เจ้าไปเจอเซียนมาหรอ!
เฉินชานและฉินโหลวต่างก็ประหลาดใจ ในสายตาของพวกเขา มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างถึงที่สุด
“ครับ ไม่อย่างนั้นข้าจะออกไปกลางดึกทำไมกันหล่ะ? หลังจากได้พบกับเซียน ข้าก็ได้เรียนรู้หลายๆสิ่งมาจากเขา ไว้ใจข้าเถอะ ข้ามีพลังมากพอที่จะปกป้องพวกท่าน” เฉินเฉินอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง
เขาพูดอะไรไม่ได้นอกจากสร้างเรื่องโกหกห่วยๆนี้ขึ้นมา ณ จุดนี้ เขาต้องสละความน่าเชื่อถือที่เขาสั่งสมมาหลายสิบปี
ถึงยังไงเขาก็ต้องบอกพ่อแม่ของเขาเรื่องการฝึกยุทธ์อยู่แล้ว มณฑลเสฉวนนั้นเล็กเกินกว่าที่เขาจะใช้ระบบได้อย่างเต็มที่
ตามแผนของเขา สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดก็คือพื้นที่ที่มีเซียนอยู่ พร้อมกับภูเขาอันยิ่งใหญ่และน้ำที่ใสบริสุทธิ์ ด้วยการใช้ระบบ เขาจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องที่สุดได้อย่างแน่นอน
เมื่อถึงจุดนั้น เขาก็คงจะจากบ้านไป
ความกังวลเดียวของเขาก็คือพ่อแม่ของเขา
“เซียน! ข้านึกไม่ถึงเลยว่าลูกชายของข้ากำลังฝึกตนอยู่!”
ฉินโหลวตื่นเต้นมาก สีหน้าของเธอกำลังบ่งบอกว่า “ลูกชายของข้ายอดเยี่ยมที่สุดในโลก!”
เฉินชานนั้นยังคงเงียบอยู่ แต่เขาไว้ใจในตัวลูกชายอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้จดจำความเป็นชายของเขา
แน่นอนว่าเหตุผลหลักก็เพราะมันไม่ใช่เวลามาพูดคุยกัน ทั้งพ่อและแม่ของเขาไม่ได้รู้เรื่องการฝึกตนเลย
…
หลายนาทีต่อมา ผึ้งก็จากไป
พวกเจ้าหน้าที่ที่หนีไปข้างหน้าก็ได้ย้อนกลับมา
สายตาของเจ้าหน้าที่โจวแสดงความประหลาดใจในตอนที่พบว่าครอบครัวของเฉินเฉินยังไม่หนีไปไหน
“พ่อบ้านหวังไปไหนแล้วหล่ะ?” เจ้าหน้าที่ถาม
เฉินเฉินชี้ไปข้างหลังเขาในตอนที่ได้ฟังคำถาม
ณ จุดนี้ หวังเอ้อกำลังนอนแผ่อยู่กลางทาง ศีรษะของเขาปูดจนใหญ่พอๆกับหัวหมู และร่างของเขาก็ชักไม่หยุด
เขาดูน่าสมเพชอย่างถึงที่สุดแล้ว